Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 984 : การตอบสนองเชิงบวก

ไคลน์ไม่ได้กลับไปยังบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนทันที แต่พา ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนมายังทะเลแห่งหนึ่งเพื่อหาที่ซ่อนตัวและสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลด้วยน้ำเสียงไพเราะ

จากนั้น มันถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่สายหมอกสีเทา กวักมือเรียกให้กระดาษคนลอยไปหา

มันหยิบไพ่เย้ยเทพใบหนึ่งบนโต๊ะทองแดงยาว สอดไว้ในร่างกาย

เพียงพริบตา ไคลน์สวมเสื้อคลุมสีแดง ประหนึ่งถูกย้อมด้วยเลือดจำนวนมหาศาลที่คละคลุ้งกลิ่นสนิมและควันดินปืน บนใบหน้าปกคลุมด้วยหน้ากากสีทองเข้ม ดูขัดแย้งกับบนศีรษะที่สวมมงกุฎซึ่งประดับไปด้วยอัญมณีสีแดง เขียว และน้ำเงินเรียงชิดกัน

นี่คือการแปลงโฉมที่เกิดจากไพ่นักบวชสีชาด

หลังจากทดสอบดูหลายครั้ง ไคลน์ยืนยันว่าคุณสมบัติของไพ่นักบวชสีชาด สอดคล้องกับการแทรกแซงของ ‘เทวทูตกระดาษ’ ในเชิงชะตากรรม ช่วยให้อำนาจของมิติหมอกแสดงผลได้ดีขึ้นในขอบเขตนี้ มันจึงถูกเลือกมาใช้ก่อนไพ่จักรพรรดิมืดและไพ่ทรราช

หลังจากเตรียมการเสร็จ ไคลน์ที่กลายเป็นนักบวชสีชาด หยิบกระดาษคนขึ้นมาสะบัดแผ่วเบา เคลื่อนพลังลึกลับบนมิติหมอกเข้าไปผสาน จากนั้นก็ส่งออกไปทางจุดแสงที่เกิดจากการสวดวิงวอน

กระดาษคนขยายขนาดอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นเทวทูตอาบแสงสีทอง ด้านหลังมีเปลวไฟบริสุทธิ์ผุดผ่องกำลังลุกท่วมปีกสิบสองคู่

เทวทูตสงครามรายนี้อาศัยการเชื่อมต่อลับๆ ที่สร้างขึ้นจากคำสวดวิงวอน เสด็จลงมายังโลกมนุษย์และห่อหุ้มไคลน์พร้อมกับ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนด้วยปีกเปลวเพลิง

เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์คลายความกังวลลง รีบเก็บไพ่นักบวชสีชาดและส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง

มันออกไปหาอาหารสำหรับยุบพองหิวโหยสักพัก จากนั้นก็ส่งตัวเองและ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนกลับบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน คนหนึ่งแปลงโฉมเป็นดอน·ดันเตส ส่วนอีกคนกลับไปเป็นหนุ่มลูกครึ่ง

หลังจากสางผมเล็กน้อย ไคลน์เดินทางระเบียงห้องนอนใหญ่ มองไปยังทิศทางของบ้านส.ส. มัคท์และเห็นแสงไฟ ยืนยันว่างานเลี้ยงเต้นรำยังไม่จบลง

ตามปรกติแล้ว งานเลี้ยงเต้นรำยุติหลังเที่ยงคืน แต่นอน แขกสามารถกลับไปได้ก่อนหน้านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงคนหนุ่มสาวที่ยินดีจะเต้นยาวตลอดทั้งคืน

ฟู่ว… อามุนด์น่ากลัวมาก… ขอเพียงมีครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ มันสามารถสัมผัสถึงได้ทันที… ทั้งที่ฝ่ายหนึ่งอยู่ในเมือง อีกฝ่ายอยู่นอกชานเมือง… หรือว่าในระดับของมันจะมีความอ่อนไหวต่อกฎการดึงดูดของพลังในเส้นทางใกล้เคียงมากเป็นพิเศษ? อา… แต่อาจเป็นเพราะครึ่งเทพคนนั้นใกล้คลุ้มคลั่ง เกิดการกลายพันธุ์ ส่งผลให้อามุนด์ตรวจพบ… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พลางกังวลว่าตัวเองจะหันไปเห็นชายสวมแว่นขาเดียวกำลังนอนบนเก้าอี้หลังด้านหลังตน

มันรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองกลายเป็นครึ่งเทพแล้ว สามารถลบร่องรอยของมิติหมอกบนโลกความจริง ไม่อย่างนั้น หากอามุนด์สังเกตเห็นสายหมอก เกรงว่าเหยื่อในเหตุการณ์ดังกล่าวจะถูกเบนเข็มมาทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์แทนที่จะเป็นครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม หากเป็นกรณีหลัง การหลบหนีออกมาคงไม่ราบรื่นขนาดนี้

เนื่องจากทราบว่าอามุนด์ในเบ็คลันด์เป็นร่างโคลน ไคลน์เชื่อว่าลำพังเทวทูตกระดาษเพียงพอที่จะลบร่องรอยได้มิดชิด ต่อให้เป็นราชาเทวทูต แต่ก็ไม่น่าจะตามมาถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนถูก

แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้มันวางใจได้เต็มร้อย เพราะครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมคนดังกล่าวก็เคยมีความเกี่ยวข้องกับถนนเบิร์คลุนแห่งนี้

หล่อนเคยเผชิญหน้ากับพลเรือเอกโลหิต เคยลงมือจุดชนวนระเบิดด้วยตัวเองเพื่อรักษาชีวิต หลังจากนั้นก็ไปเป็นปรสิตในตัวหนู… นอกจากนั้น หล่อนยังเคยถูกกระจกวิเศษตักเตือนให้ทราบว่า ในกรุงเบ็คลันด์มีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมกำลังฟื้นฟูพลัง รวมถึงเรื่องที่ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์กำลังตรงมาที่นี่… หล่อนไม่ยอมตอบคำถามของอาโรเดส ก็เลยถูกฟ้าผ่า หลังจากนั้นก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์กวางมูส… และเมื่อไม่กี่วันก่อน หล่อนพยายามเข้าสิงร่างเฮเซลที่เป็น ‘ศิษย์’ และในค่ำคืนที่ผ่านมา เฮเซลค้นพบความผิดปรกติของภาพลวงตา จึงเดินทางไปแจ้งให้หล่อนทราบโดยตรงถึงคฤหาสน์… เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมาประกอบกัน มีโอกาสอย่างมากที่อามุนด์จะแวะมาเยี่ยม… ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งพบว่าถนนเบิร์คลุนไม่ปลอดภัย

จากมุมมองของมัน ลำพังส่วนที่ว่า ‘มีเทวทูตของเส้นทางนักจารกรรมกำลังฟื้นฟูพลัง’ ก็มาพอที่จะให้อามุนด์เฝ้าจับตามองถนนเส้นนี้ไปอีกสักระยะ!

แน่นอน ยังมีโอกาสเล็กๆ ที่ครึ่งเทพรายดังกล่าวจะหนีรอดจากเงื้อมมืออามุนด์ ไม่แพร่งพรายข้อมูลใดออกไป แต่โอกาสดังกล่าวมีน้อยมาก เพราะแม้แต่ไคลน์ยังมั่นใจว่าตนจะจัดการได้ นับประสาอะไรกับร่างโคลนอามุนด์ที่รู้ทุกซอกทุกมุมของเส้นทางนักจารกรรม!

เฮ้อ… เราไม่น่าไประแวงปู่ในตัวเลียวนาร์ดเลย เป็นเพราะเรากังวลว่าเขาจะทำร้ายเลียวนาร์ดหลังจากฟื้นคืนพลัง ปัญหานี้ก็จะไม่เกิด ไม่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ถูกอามุนด์เฝ้าจับตามอง… เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นตัวตนดอน·ดันเตสลำบากแน่ และไม่ใช่แค่ดอน·ดันเตส แต่ยังรวมถึงชาวบ้านบนถนนเบิร์คลุนและเลียวนาร์ดบนถนนพินสเตอร์ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าอามุนด์จะไม่เข้าสิงใครส่งเดช… ท่ามกลางกระแสความคิดมากมาย สีหน้าไคลน์พลันดำมืดขณะพยายามหาทางขจัดร่างโคลนอามุนด์ออกไป

ความคิดแรกก็คือ ติดต่อกับเลียวนาร์ด ร่วมงานกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์เพื่อคิดแผนการขจัดอามุนด์ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครแนะคำใดดีไปกว่าประสบการณ์จากปากเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม

ไคลน์หยิบปากกาหมึกซึมและกระดาษขึ้นมาเตรียมเขียน แต่ตวัดไปได้สองสามหนก็ต้องชะงัก

มันพบว่าวิธีนี้โจ่งแจ้งเกินไป เพราะการบรรยายเนื้อหาอย่างละเอียด อาจเกิดการชักนำทางชะตากรรมจนไปดึงดูดความสนใจของอามุนด์เข้า!

วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ดึงเลียวนาร์ดขึ้นมาบนมิติหมอก บอกให้อีกฝ่ายช่วยเป็นสะพานในการติดต่อสื่อสารกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์… นอกจากวิธีนี้ เรายังมีทางเลือกอีกไหม? รายงานโบสถ์รัตติกาลและให้พวกเขาออกปฏิบัติการ ‘ขจัดเชื้อโรค’ ทั่วเบ็คลันด์? ไคลน์วางปากกาลง ครุ่นคิดหาวิธีอื่นๆ

เพียงไม่นาน มันตัดวิธีรายงานให้โบสถ์รัตติกาลทราบออกไป เนื่องจากคุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดไม่ยอมใช้วิธีนี้ตั้งแต่แรก แปลว่าน่าจะมีข้อบกพร่อง หรือไม่ก็อาจเกิดอันตรายถึงตัว

คงต้องถามเลียวนาร์ดก่อน ตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้น จากนั้นค่อยตัดสินใจ… ไคลน์คิดไวทำไว

มันอดใจไม่ติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดส หรือวิล·อัสตินผ่านนกกระเรียนกระดาษ หลังจากบังคับเอ็นยูนให้เดินออกไปนอกห้อง ชายหนุ่มเข้าห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ ถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก

ในตำแหน่งเดอะฟูล ไคลน์เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และบังคับให้สวดวิงวอน:

“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ได้โปรดบอกกับเลียวนาร์ด·มิเชลว่า มีการพบร่องรอยใหม่ของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ ผมต้องการให้เขามาในอาณาจักรของท่านโดยเร็วเพื่อปรึกษาหาวิธีรับมือ ให้เขาเป็นฝ่ายกำหนดเวลานัดได้ตามสะดวก”

หลังจากเปลี่ยนภาพการสวดวิงวอนให้เป็นกระแสพลังและโยนเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเลียวนาร์ด ไคลน์เปล่งด้วยเสียงของเดอะฟูลตามหลัง

“ไม่ต้องปิดบังเรื่องนี้จากพาลีส·โซโรอาสเตอร์”

ณ รอบนอกเขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์ ภายในป่าโปร่ง

เลียวนาร์ดเหยียดมือขวาออก จับเงาที่โปร่งใสและคลุมเครือของหมาป่า

หมาป่าส่งเสียงครวญครางสักพัก ก่อนที่เปลวไฟในดวงตาจะดับลงและกลับเป็นปรกติ

รางของมันเริ่มเลือนรางและจางหายไปกับสายลม แต่มิได้จากไปด้วยความรู้สึกกระหายเลือดเหมือนในตอนแรก มีเพียงความสุขสงบและเยือกเย็น

สำหรับทวีปเหนือ หลังจากยุคสมัยไร้ชีวิตชีวา เจ็ดโบสถ์หลักรวมถึงอาณาจักรต่างๆ ล้วนผลักดันให้มีการฝังศพผู้ตายในสุสาน และถูกปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจวบจนปัจจุบัน ส่งให้จำนวนวิญญาณของมนุษย์ที่กลายเป็นภูตผีลดลงมาก อาจมีข้อยกเว้นในกรณีที่ไม่มีใครพบศพ หรือเป็นการจมน้ำตายที่งมศพขึ้นมาไม่ทัน อย่างไรก็ตาม ‘ผี’ ไม่ได้เกิดจากวิญญาณของมนุษย์ที่ตายไปเพียงอย่างเดียว ในบางกรณีอาจเกิดจากวิญญาณของสัตว์ ส่งผลให้พวกมันไม่สามารถถูกฝังในสุสานเหมือนมนุษย์และจากไปอย่างสงบ

และสิ่งนี้มักกลายเป็นตำนานผีสางในแถบชนบท

หลังจากปลอบวิญญาณหมาป่าเสร็จ ทัศนวิสัยของเลียวนาร์ด·มิเชลก็เต็มไปด้วยสายหมอกไร้ก้นบึ้ง มาพร้อมกับภาพการสวดวิงวอนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์

เบาะแสใหม่ของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์… เจ้านั่นยังอยู่ในเบ็คลันด์… เปลือกตาเลียวนาร์ดกระตุกอย่างมิอาจยับยั้ง อากัปกิริยาเผยความตึงเครียด

เนื่องจากมิสเตอร์ฟูลอนุญาต มันจึงไม่ลังเลเลยที่จะลดเสียงลงและพึมพำ

“ตาแก่… เมื่อครู่เห็นอะไรไหม? ได้ยินอะไรไหม?”

เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้นทันที

“ไม่… แม้ข้าจะสัมผัสถึงสิ่งผิดปรกติ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด ไม่ได้ยินอะไร… เว้นเสียแต่เจ้าจะยอมให้ข้าเป็นปรสิตที่ฝังรากลึกกว่านี้และควบคุมวิญญาณดาราของเจ้าโดยตรง”

คิดว่าเราโง่รึไง… ดูเหมือนว่า การตอบสนองของมิสเตอร์ฟูลจะเกิดขึ้นผ่านวิญญาณดารา… เลียวนาร์ดครุ่นคิดสักพัก เรียบเรียงคำพูด

“ตาแก่… ไคลน์บอกว่าเขาพบร่องรอยใหม่ของอามุนด์ ต้องการให้ผมเข้าไปในอาณาจักรของมิสเตอร์ฟูลเพื่อปรึกษาหารือ… คุณมีคำแนะนำไหม?”

พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจยาว

“ถ้าเขาต้องการจะกำจัดร่างโคลนของอามุนด์ในเบ็คลันด์ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘พรแห่งการปกปิด’ ไม่อย่างนั้น เขาเองก็คงจินตนาการผลลัพธ์ออก”

การที่พูดแบบนี้ ตาแก่บอกเป็นนัยว่า จะไม่ยอมร่วมมือหากไม่มีพรแห่งการปกปิด? หัวใจเลียวนาร์ดเริ่มเต้นแรง รีบหามุมอับสายตาและสวดวิงวอนฝากข้อความถึง ‘เดอะเวิร์ล’ ไคลน์ว่าตนพร้อมทุกเมื่อ

สำหรับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับร่างต้นในยามที่จิตไม่อยู่ มันไม่กังวลมากนัก เพราะในตัวมีปรสิตเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมอาศัยอยู่

เพียงไม่นาน แสงสีแดงก็ท่วมท้นการมองเห็น

…………………………………………..

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset