รอจนกระทั่งแรงกดดันคลายลง ไคลน์ถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่งหน้าประตู อยู่ฝั่งตรงข้าม ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์พอดิบพอดีโดยมีห้องโถงคั่นกลาง
แม้ราชาโจรสลัดรายนี้จะมีส่วนสูงกว่า 1.9 เมตรและนั่งบนบัลลังก์ที่วางอยู่บนพื้นยกสูงสีดำ วางตัวองอาจน่าเกรงขาม แต่ไคลน์กลับมิได้เสียขวัญ เพียงขยับหมวกทรงสูงกลับเข้าที่
เงียบงันสักพัก นาสต์ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เอิร์ลแห่งเมเปิ้ลขาว กล่าวด้วยน้ำเสียงสง่างาม
“ขอเหตุผลที่ข้าต้องตอบคำถาม”
รางบางๆ ของไคลน์เอนไปด้านหลังและกล่าว
“เหตุผลก็คือ หากเรามีโอกาสได้ทำธุรกิจกันในอนาคต คุณจะไม่ได้ยินคำขอเช่นนี้อีก”
แสงสีแดงสดในดวงตานาสต์สว่างขึ้น ตามด้วยกล่าว
“นักบุญทุกคนบนโลก ข้าล้วนรู้จักทั้งหมด แต่ไม่มีเจ้ารวมอยู่ในนั้น”
ไคลน์ลูบหน้ากากขนนกที่ปิดหน้า ยิ้มพลางตั้งคำถาม
“เคยเจอกับซาราธมาแล้วใช่ไหม?”
“เคยเจอกันสองครั้งในวังของจักรพรรดิโรซายล์ นอกจากนั้นยังเคยคิดต่อกับสมาชิกของลัทธิเร้นลับอีกหลายคน” ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ตอบด้วยน้ำเสียงขึงขังและสง่างาม
สมาชิกหลายคนของลัทธิเร้นลับ… ถ้ามีโอกาส ช่วยแนะนำฉันให้พวกมันรู้จักบ้างสิ… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะแดกดันในใจ
มันยิ้มและกล่าว
“ทางนี้ก็เคยพบซาราธ”
นาสต์ยกมือขึ้นมาลูบเคราสีดำ ร่างกายใหญ่โตของมันคล้ายกับพองขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้ห้องกัปตันถูกบรรยากาศปริศนากดทับ หม่นหมองลงและอึมครึม
ผ่านไปหลายวินาที มันมองลงไปทางไคลน์และกล่าว
“ความประทับใจที่ข้ามีต่อจักรพรรดิโรซายล์นั้นไม่ซับซ้อน: ไม่มีใครเหมาะที่จะเป็น ‘จักรพรรดิมืด’ มากไปกว่าพระองค์”
มันมิได้อธิบายความหมายของจักรพรรดิมืด หรือพยายามพูดเข้าประเด็น ไม่แยแสว่าครึ่งเทพฝั่งตรงข้ามจะเข้าใจหรือไม่
อย่างนี้นี่เอง… จากคำตอบของราชาแห่งห้าห้วงสมุทร แม้จักรพรรดิจะเขียนไว้ในไดอารีว่า เขาเพิ่งจะตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นเส้นทางจักรพรรดิมืดในช่วงบั้นปลายชีวิต แต่ในความเป็นจริง เขามีข้อมูลและความเอนเอียงมายังเส้นทางนี้ตั้งแต่ต้น จึงวางรากฐานไว้หลายสิ่งโดยไม่รู้ตัว… ไคลน์ไตร่ตรอง
มันเชื่อว่า นี่คือความประทับใจทั้งหมดที่ ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์มีต่อจักรพรรดิโรซายล์ เพราะท้ายที่สุด อีกฝ่ายได้เข้าเฝ้าเพียงสองสามหน ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ในช่วงบั้นปลายชีวิต พระองค์ได้สั่งให้บิดาของคุณทำอะไรอย่างลับๆ บ้างไหม?”
มงกุฎยอดแหลมบนศีรษะของนาสต์สั่นระริกเล็กๆ ขณะตอบ
“มีคนเคยถามแบบเดียวกันมาก่อน…”
ไคลน์หัวเราะ เสี่ยงคาดเดา
“แบร์นาแดต?”
“ใช่…” นาสต์กล่าวพลางจับบัลลังก์เหล็กดำด้วยมือทั้งสองข้าง “ในตอนนั้นเธอยังเด็กมาก จึงถามออกมาโดยขาดการไตร่ตรอง… ลองพิจารณาจากสถานะและลำดับของจักรพรรดิโรซายล์ในช่วงบั้นปลายชีวิตของพระองค์ หากต้องการทำอะไรอย่างลับๆ มีเหตุอันใดต้องใช้งานบิดาของข้า? พระองค์ทำด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?”
กำลังจะบอกว่า เรายังเด็กและขาดการไตร่ตรองเหมือนแบร์นาแดต? ไคลน์ถอนหายใจพลางยิ้ม
“สำหรับผู้คนที่คลางแคลงใจในเรื่องนี้ แม้จะมีความหวังเพียงริบหรี่ แต่ก็ไม่อยากละทิ้งมันไป”
นี่คือเหตุผลที่มันต้องการเข้าพบราชาแห่งห้าห้วงสมุทรพลังจากอำพรางเรือโดยสารด้วยมนต์ลวงตา
บนโลกความจริง มันต้องการสืบหาเบาะแสของประตูแห่งแสงที่อยู่เหนือมิติหมอก นอกจากจะหาหลักฐานเพื่อยืนยันว่าใครคือผู้เดินทางข้ามโลกคนที่สาม มันเชื่อว่าตนควรสืบหาเบาะแสของจักรพรรดิโรซายล์อย่างละเอียด นั่นคือหนึ่งในตัวเลือกที่เหลืออยู่ไม่มาก!
แสงสีแดงในดวงตานาสต์ดับลงและสว่างขึ้น
“เจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับจักรพรรดิโรซายล์?”
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก ถอนหายใจ
“ก็คง… สหายเก่า”
เพราะเหนือสิ่งอื่นใด พวกมันล้วนถูกแขวนไว้ในรังไหมลึกลับเหนือประตูแห่งแสง มีเพียงผนังบางๆ ของรังไหมกั้นแบ่ง ใช้ชีวิตอย่างใกล้ชิดกันมานานนับร้อยนับพันปี
ความสัมพันธ์เช่นนี้อ้างอิงจากทางกายภาพและทางใจ ไคลน์ที่ได้อ่านไดอารีจักรพรรดิโรซายล์หลายแผ่น ย่อมมองอีกฝ่ายเป็นเพื่อนแท้จากจิตใต้สำนึก เป็นบุคคลที่แบ่งปันชะตากรรมและอารมณ์ระหว่างกันและกัน
นาสต์จ้องมองครึ่งเทพแผ่นบางๆ ที่หน้าประตูอยู่พักหนึ่ง ถอนสายตากลับ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มีคำถามอีกไหม”
ไคลน์เตรียมตัวไว้แล้ว กล่าวอย่างเชื่องช้า
“ตามความคิดของคุณ มีความผิดปรกติเกิดกับจักรพรรดิโรซายล์ในช่วงบั้นปลายชีวิตหรือไม่?”
นาสต์เจ้าของหน้าผากย่นเล็กๆ ตอบหลังจากเงียบไปนาน
“ข้ามิได้รู้จักพระองค์มากนัก จึงมิอาจสัมผัสถึงความผิดปรกติ… สิ่งเดียวที่ทำให้ข้าแปลกใจก็คือ ในตอนที่ข้าและบิดาเข้าเฝ้า ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น พระองค์จะยืนริมหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานเสมอ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มองออกไปยังสถานที่ห่างไกล… และไม่ใช่แค่ห้องเดียวที่มีหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน”
“ตะวันตก… ในที่ห่างไกล… ทะเลหมอก?” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง แต่คล้ายกับต้องการให้อีกฝ่ายได้ยินและช่วยยืนยัน
มันยังจำเกาะโบราณลึกลับที่จักรพรรดิกล่าวถึงในไดอารีได้ดี รวมถึง ‘นรก’ ที่ซ่อนอยู่สักแห่งภายในทะเลหมอก
‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์พยักหน้าแผ่วเบา
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ไตร่ตรองสักพัก มันลุกขึ้นพูด
“หมดคำถามแล้ว ได้โปรดยกโทษให้กับการเข้าพบที่เสียมารยาทครั้งนี้… ท่านเอิร์ล ลองบอกความประสงค์ของท่านมา บางทีข้าอาจช่วยเหลือได้”
มันกำลังทำตามสัญญา
นาสต์เงียบสองสามวินาที
“หาไพ่เย้ยเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืดให้ข้า”
เป็นเวลาครู่หนึ่งที่ไคลน์สงสัยว่าตนกำลังถูกทดสอบ แต่เมื่อลองวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เป็นเรื่องยากที่นาสต์จะเชื่อมโยงครึ่งเทพไร้หัวนอนปลายเท้าเข้ากับไพ่จักรพรรดิมืด จึงทำเพียงยิ้มและกล่าว
“จะพยายามอย่างสุดฝีมือ… แต่คำถามในวันนี้ไม่คุ้มกับมูลค่าของไพ่เย้ยเทพ หากทางนี้มีโอกาสครอบครองมัน จะใช้เนื้อหาภายในเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน หรือบางที ผมอาจช่วยคุณแจ้งเบาะแสของมัน”
นาสต์ลูบที่เข้าแขนของบัลลังก์เหล็กดำ ตอบอย่างไร้อารมณ์
“ตกลงตามนั้น”
ไคลน์ถอดหมวกอีกครั้ง คำนับเล็กน้อยและเปิดประตูออกไป กลับไปยังดาดฟ้าเรือ
ภายใต้การจ้องมองของไวเคาต์แห่งความกลัว เบิร์ด·มัสแตงและโจรสลัดที่เหลือ มันยกแขนขึ้น
ร่างกายหดกลับอย่างรวดเร็ว หน้ากากขนนกขยายออก เพียงสองสามวินาที มันกลายเป็นนกอินทรีทะเลหัวแดงธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง
นกอินทรีทะเลหัวแดงกระพือปีก บินเฉียงขึ้นไปในกระแสลมและสายฝนที่มืดครึ้ม อันตรธานหายไปท่ามกลางสายตาของเหล่าโจรสลัดแห่งเรือจักรพรรดิมืด
นี่คือครึ่งเทพ… เบิร์ด·มัสแตงแหงนมองท้องฟ้า ถอนหายใจสักพัก
แม้การเลื่อนขึ้นมาเป็นลำดับ 5 จะเพิ่มความเสี่ยงในการคลุ้มคลั่ง รวมถึงมีโอกาสประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับล้มเหลว แต่คำว่าครึ่งเทพก็ยังน่าดึงดูดใจเสมอ เพราะตราบใดที่ประสบความสำเร็จและได้รับเศษเสี้ยวพลังเทพ ระดับตัวตนทางธรรมชาติจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นด้านอายุขัยหรือฝีมือ มนุษย์จะไม่มีทางเทียบติด
ภายในเรือโดยสารไฮบริดไอน้ำและใบเรือ ไคลน์หยุดการควบคุมนกอินทรีทะเลหัวแดง ปล่อยให้มันตกลงไปในทะเลที่ไม่มีใครมองเห็น กลายเป็นอาหารปลา
ณ ปัจจุบัน ผู้โดยสารบนเรือกำลังตึงเครียดสุดขีด เพราะเรือจักรพรรดิมืดกำลังแล่นเข้ามาใกล้
อันที่จริง นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เรือจักรพรรดิมืดกลับเลิกสนใจเรือโดยสาร เพียงแล่นตรงผ่านไปราวกับไม่มีตัวตน ทว่า แทนที่เรือโดยสารจะถือโอกาสแล่นหนี มันกลับแล่นตามเรือจักรพรรดิมืดไปโดยรักษาระยะห่างไว้หลายร้อยเมตร
หลังจากสถานการณ์พิสดารเช่นนี้เกิดขึ้นระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป เรือทั้งสองลำแล่นเข้าหากันโดยมีระยะห่างเพียงไม่กี่สิบเมตร
จนกระทั่งเรือจักรพรรดิมืดแล่นผ่านเรือโดยสารไปทางด้านข้าง หันหัวเข้าไปในพายุลมฝนและไม่ย้อนกลับมาอีกเลย
ผู้โดยสารและลูกเรือมองหน้ากันด้วยสายตาว่างเปล่า ผ่านไปหลายนาทีกว่าจะได้สติ
เรือจักรพรรดิมืดหายไปแล้ว! พวกมันไม่ได้ลงมือปล้นเรือ!
ผู้โดยสารบางคนส่งเสียงยินดี บางคนหลั่งน้ำตา บางคนทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง มีเพียงไม่กี่คนที่รักษาความเยือกเย็นไว้ได้ ผุดคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แน่นอน ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะมีคำตอบให้กับทุกคน พวกมันทำได้เพียงกุเรื่องขึ้นมาปลอบใจ
เรือจักรพรรดิมืดคงเพิ่งเสร็จการปล้นมาจากที่อื่นและกำลังอิ่มหนำ จึงไม่แยแสเรือโดยสารเล็กๆ ที่มิใช่เรือบรรทุกสินค้า ไม่มีการชายตามอง!
ความยินดีกำลังแผ่ซ่านไปทั่วลำเรือ ไคลน์ที่อยู่ในร่างดอน·ดันเตสหันหน้าไปทางทิศเหนือ
เมื่อเทียบกับราชาแห่งห้าห้วงสมุทรที่ได้เห็นจักรพรรดิโรซายล์แค่ไม่กี่ครั้ง ยังมีอีกหนึ่งคนที่คุ้นเคยกับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่มากกว่า
‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต!
สตรีผู้นี้เป็นราชาโจรสลัดในระดับทัดเทียมนาสต์ แถมในระยะหลังยังอยู่ที่เบ็คลันด์!
ไว้กลับถึงเบ็คลันด์เมื่อไร ค่อยบอกให้พลเรือเอกดวงดาวติดต่อกับราชินีเงื่อนงำ นัดพบกันอีกครั้ง… ไคลน์ถอนสายตากลับ ขึงผ้าม่านและนอนลงบนเตียง
…
น่านน้ำของหมู่เกาะรอสต์ บนอนาคตกาล
ในที่สุด ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาก็ได้รับคำตอบจาก ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดต
เธอไม่ทราบว่าผู้ส่งสารล่องหนมาถึงตอนไหน แต่นั่นก็มิได้ทำให้ความยินดีลดลง
เปิดซองจดหมาย หลังจากคลี่กระดาษ แคทลียารอไม่ไหวแล้วที่จะอ่านบรรทัดแรก:
“นั่นคือทายาทของชิเอล…”
ช่างฝีมือรายนั้นเป็นทายาทสายเลือดแท้ของจักรพรรดิโรซายล์… เราจะไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปพัวพันกับสาวกดวงจันทร์บรรพกาลอีก เขาจะต้องถูกพาขึ้นมายังอนาคตกาล… แคทลียาพยักหน้าเล็กๆ พลางครุ่นคิด
หลังจากตัดสินใจหนักแน่น เธอนึกทบทวนเกี่ยวกับนิสัยที่ชวนให้ปวดหัว รวมถึงศีลธรรมของช่างฝีมือนามว่าชาฟฟ์ และตระหนักว่าตนต้องอบรมสั่งสอนด้านวินัยสักเล็กน้อย
ครุ่นคิดสักพัก แคทลียาเดินไปที่หน้าต่างห้องกัปตัน มองออกไปด้านนอก
เมื่อค้นพบบางสิ่ง เธอชำเลืองไปทางกราบเรือ เห็นแฟรง·ลีกำลังเคี้ยวเห็ด
“แฟรงค์” แคทลียาตะโกน
แฟรงค์ในสภาพพันแขนเสื้อขึ้น ได้สติกลับมาทันที
“กัปตัน มีอะไรหรือ?”
แคทลียากล่าวเสียงขรึม
“ฉันจะหาผู้ช่วยให้คุณ”
แฟรงค์อึ้งไปสักพัก จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแสนสดใส
“ตกลง!”
………………………………………………..