ความจริงอันน่าสะพรึง แค่จับกินทำอะไรมันไม่ได้
โดย
หมอแมว
ขบวนรถม้าเคลื่อนมาจนถึงหน้ากำแพงหมู่บ้านโอลเซ่นอย่างเชื่องช้า ทหารม้าที่คุ้มกันลงจากหลังม้าแล้วนั่งพักลงกับพื้นถอดหมวกเกราะทิ้งอย่างไม่สนใจสิ่งใด ขณะที่รอนและโรล่าเองก็เปิดประตูรถม้าก้าวออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เศษซากตั๊กแตนหลายตัวหล่นออกมาจากภายใน
“เอารถม้าไปทำความสะอาดก่อน” หัวหน้ากลุ่มทหารม้าสั่ง “คุณรอนเข้าหมู่บ้านก่อนเถอะครับ”
รอนและโรล่าหันกลับไปมองสภาพรถม้าที่ตนเองโดยสารมา สภาพรถม้านั้นไม่น่าดูเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าสถาพของทหารม้าที่คุ้มกันที่เต็มไปด้วยร่องรอยของแมลงมากมาย
บ้าจริง!
ใครกันที่เริ่มต้นความคิดว่าถ้าจับตั๊กแตนกินก็แก้ปัญหาตั๊กแตนได้
หลังจากที่เห็นฝูงตั๊กแตนสีน้ำตาลดำ และผีเสื้อประหลาดเหล่านั้น รอนก็ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เมื่อกลับไปที่โลกก็ลองเอาไปโพสต์ถามในเพจแมลง จึงได้ความว่า
ผีเสื้อที่เขาพบ เป็นผีเสื้อกลางคืนที่คล้ายกับผีเสื้อหนอนกระทู้ศัตรูพืช
ส่วนตั๊กแตนที่ว่า เป็นตั๊กแตนทะเลทรายที่กลายสภาพจากสีเขียวเข้าสู่สีเข้มขึ้น บ่งบอกว่ามันกำลังเปลี่ยนเป็นฝูงตั๊กแตนหิวโหยที่กำลังจะทำลายพื้นที่การเกษตร
ตอนแรกเด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาลองค้นในอินเตอร์เนท ก็พบว่าเมื่อสามสิบปีก่อนก็เคยมีตั๊กแตนปาทังก้าระบาดในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอินเตอร์เนทยังเขียนไว้ว่า หลังจากที่ชาวไร่ชาวนาช่วยกันจับกินไล่ล่าเอาไปทอดกรอบเหยาะซอส ภัยพิบัติก็สิ้นสุดลง
นั่นคือสิ่งที่หาเจอในอินเตอร์เนท รอนเลยไม่คิดอะไรเดินทางต่อ
และนั่นคือความผิดพลาดแรก
เมื่อเดินทางเข้าใกล้เมืองแอมโบรเซีย ฝูงตั๊กแตนรวมกลุ่มขนาดมหึมา ตั๊กแตนลงกัดกินป่าใกล้เมืองโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอย่างไร
รอนที่เดินทางผ่านไปจึงแนะนำให้ทหารประจำเมืองและชาวเมืองช่วยกันจับตั๊กแตนมากิน
ผลก็คือ
“จับยังไงกันล่ะท่านรอน”
“ยิง ยิงเข้าไป”
“ข้าแต่เทพโบริส โปรดใช้ห่าน้ำแข็งกำจัดศัตรูของข้า [Blizzard]”
ชาวเมืองและทหารต่างใช้การยิงลูกหินจากหนังสติ๊ก
ใช้ไม้ที่ขึงเชือกเอ็นเหมือนไม้เทนนิสไล่ตี
ใช้เวทมนตร์ยิงใส่ฝูงแมลง
ใช้กระสุนระเบิดเวทมนตร์ยิง
แม้ระดมคนทั้งเมืองมาก็กำจัดตั๊กแตนไม่ได้ พวกเขาฆ่าตั๊กแตนมากมายจนเกลื่อนพื้นเกือบครึ่งหน้าแข้ง แต่ฝูงตั๊กแตนที่หนาแน่นกินพื้นที่นับสิบกิโลเมตรมากเกินกว่าที่คนในเมืองเมืองเดียวจะกำจัดได้ ฝูงตั๊กแตนกัดกินป่าใกล้เมืองจนหมดสิ้นไม่เหลือใบไม้แม้แต่ใบเดียว
ถึงตอนนั้นเองที่รอนรู้แล้วว่าพลาดไป หลังจากการวาร์ปครั้งถัดมาเขาจึงเอายาฆ่าแมลงใส่แกลลอนขนาดใหญ่ขนติดมาด้วย ทำการผสมน้ำ จากนั้นให้จอมเวทน้ำร่ายเวทบอลน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วให้จอมเวทลมสร้างเวทพายุ และเวทอัดอากาศ ก่อเกิดเป็นพายุยาฆ่าแมลง และระเบิดหมอกยาฆ่าแมลง
ตั๊กแตนมากมายตายไปก็จริง แต่ว่าก็เป็นเพียงส่วนน้อย
นอกจากนี้ฝูงผีเสื้อหนอนกระทู้ก็บุกเจาะทำลายพืชผักไร่สวนเมืองแอมโบรเซีย ขนาดที่เล็กจิ๋วของพวกมันทำให้กำจัดยากเสียยิ่งกว่าตั๊กแตน
สุดท้ายรอนทำได้แต่เพียงพ่นยาฆ่าแมลงใส่ไร่นา รักษาพื้นที่การเกษตรของแอมโบรเซียได้เพียงรัศมี1กิโลเมตรรอบเมือง ก่อนที่เขาจะออกเดินทางต่อมุ่งหน้ามาที่เมืองโอลเซ่น รอนสั่งให้เดินทางโดยไม่หยุดพักทั้งวันทั้งคืน ฝูงตั๊กแตนก็เหมือนจะเคลื่อนตัวติดตามพวกเขามาช้าๆ
“คุณเบรเซอร์” รอนเข้าไปในที่ทำการหมู่บ้าน
“เกิดอะไรกันรึท่านรอน” พ่อเฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านถามอย่างงงงวยในสภาพของรอน
“สั่งการชาวไร่ชาวนาในหมู่บ้านทั้งหมด ให้รีบเก็บเกี่ยวผลผลิตเท่าที่จะทำได้ครับ” รอนสั่ง
“อะไรกัน แต่ผลผลิตยังไม่พร้อม จะเก็บยังไง” เบรเซอร์บอก
“ตั๊กแตนครับ ตั๊กแตนบุก อะไรเก็บเกี่ยวได้ก็เก็บเกี่ยวไปก่อน อะไรเก็บไม่ได้ก็ยังไม่ต้องเก็บครับ” รอนบอก “ไม่มีเวลาแล้ว ฝูงตั๊กแตนไล่หลังผมมาแค่วันเดียว”
สีหน้าของคนในที่ทำการหมู่บ้านซีดเผือดเมื่อได้ยินคำว่าฝูงตั๊กแตน ยิ่งเห็นซากตั๊กแตนที่ติดตามตัวของรอนมาด้วยทุกคนยิ่งแน่ใจ
“ตีระฆังเตือนภัย ตีระฆังเดี๋ยวนี้” เบรเซอร์สั่ง
เก้ง ๆ ๆ ๆ ๆ.
ระฆังประจำหอหมู่บ้านดังก้อง ชาวหมู่บ้านและพ่อค้านักผจญภัยทั้งหลายต่างงงงวยในตอนแรก แต่เมื่อรู้ว่าฝูงตั๊กแตนกำลังมา สภาพอันเงียบสงบของเมืองก็เปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวาย ชาวไร่ชาวนาจัดกลุ่มกัน นักผจญภัย ทหารรับจ้าง พ่อค้า คนที่ผ่านทางมาในเมืองต่างหยุดงานทุกอย่างและเตรียมตัวช่วยกันเก็บเกี่ยว
สภาพดังกล่าวทำให้รอนงง
“เอ่อ คุณเบรเซอร์ แต่เรื่องเท่านี้ถึงกับต้องตีระฆังสัญญาณเลยเหรอครับ … แล้วจะว่าไปทำไมทุกคนดูตื่นตัวกันขนาดนี้” รอนถาม
“ท่านรอนไม่รู้อะไร เมื่อ30ปีก่อนที่ราชาอันเดทโจมตีอาณาจักรมนุษย์ทั้งสาม มันใช้ตั๊กแตนฝูงมหึมาบุกโจมตี” พ่อเฒ่าบอก “ไร่นาทุกแห่งล่มสลาย ผลผลิตที่เก็บไม่มิดชิดถูกทำลาย สีเขียวของต้นไม้ที่เราเห็นในตอนนี้จะกลายเป็นสีน้ำตาลไกลสุดลูกหูลูกตา”
“คนที่อดอยากล้มตายจากโรคระบาดและตั๊กแตน เผลอๆจะมากกว่าคนที่ตายจากกองทัพอันเดทและมอนสเตอร์เสียอีก” เบรเซอร์บอก
“ไม่มีเวลาแล้ว ทุกคนเก็บเกี่ยวผลผลิตให้หมดเดี๋ยวนี้”
ด้วยเมล็ดพืชและอุปกรณ์ที่รอนนำมาจากโลกทำให้ไร่นาของหมู่บ้านโอลเซ่นกินพื้นที่ใหญ่หลายสิบกิโลเมตร ถือเป็นพื้นที่การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรแอสคาลอน
แต่ว่าผลผลิตที่กินได้ยังมีไม่มาก
ถั่วเหลือง BTเพิ่งออกดอก ยังเก็บเกี่ยวไม่ได้
ฝ้าย BT เพิ่งติดออกใบเขียวขจีและเริ่มมีดอก
มะเขือ BT ก็เพิ่งจะออกผลขนาดเล็ก ยังไม่สุกพอที่จะเก็บเกี่ยว
ส่วนแปลงข้าวโพด BT ไกลสุดลูกหูลูกตา มีเพียงหนึ่งในสามที่ฝักข้าวโพดแก่พอที่จะเก็บเกี่ยว
นอกนั้นก็เป็นแปลงพืชผักสวนครัว พืชกินใบที่สามารถเก็บได้เลยโดยไม่ต้องรอ
ผลผลิตที่เก็บได้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
“ผีเสื้อ!” ชาวไร่คนนึงกรีดร้องขึ้น “มันมาแล้ว”
ฝูงฝุ่นสีขาวที่ขอบฟ้าปกคลุมหนาแน่นเหมือนเมฆฝนและเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา จากนั้นก็โถมมุ่งใส่ไร่ของขาวบ้าน
“Time Stop!”
“[Flame Dragon]”
ซูมมมมม มังกรไฟมหึมาพุ่งกินพื้นที่หลายร้อยเมตร เผาผลาญผีเสื้อกลางคืนที่กำลังบินลงมา
“พวกมันมากเกินไป” ชาวไร่คนนึงร้องขึ้นอย่างสิ้นหวัง
“[Flame dragon]”
เจ้าชายดีโอปลดปล่อยพลังอีกครั้ง มังกรไฟทะยานไปบนท้องฟ้า ฝูงผีเสื้อที่เหมือนจะแตกตัวหนีไปได้ทำให้เปลวเพลิงกำจัดผีเสื้อไปได้อีกเพียง1ใน10
ทำได้เพียงเท่านี้
ทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ
แล้วฝูงผีเสื้อก็ลงสู่แปลงไร่นา พวกมันเกาะ วางไข่ จากนั้นก็ตายลงเหลือเป็นซากเศษเกลื่อนพื้น พืชผักเหมือนกับไม่มีอะไรเสียหาย
แต่ในใจของชาวไร่ชาวนาทุกคนรู้ดีว่าทุกอย่างได้จบลงแล้ว เพราะในอีกไม่กี่วัน หนอนจะฟักออกจากไข่และเจาะทะลวงพืชผักจากภายในโดยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แล้วพืชผักทั้งหมดก็จะเน่าตาย
ไม่นับว่ากำลังมีฝูงตั๊กแตนที่กำลังจะมุ่งหน้ามาอีก
“เราทำได้เพียงเท่านี้แหละ” พ่อเฒ่าเบรเซอร์บอก “อีกฝ่ายใช้พลังของธรรมชาติ และเราก็เป็นเพียงมนุษย์ ไม่อาจหยุดยั้งภัยพิบัติจากธรรมชาติได้”
“อีกฝ่าย พลังธรรมชาติ แพท เปิดแผนที่เร็วเข้า” รอนนึกขึ้นมาได้
“[Battle Map]” แพทเปิดแผนที่ขึ้น ซูมแผนที่ออกเรื่อยๆก่อนจะเห็นสิ่งผิดปกติ “ทางเหนือของเมือง 5 กิโลเมตรมีศัตรู เป็นออร์คค่ะ”
“ออร์ค หรือว่าพวกมันจะใช้ออร์คเมจควบคุมแมลง” เจ้าชายดีโอร้องขึ้น “ทหารม้าทั้งหมด ขึ้นม้าศึก เราต้องจัดการออร์คให้ได้”
“แพท เราสองคนก็ไปด้วยกัน” รอนเรียก
“ไม่ล่ะ เธอไปกับเจ้าชายดีกว่า” แพทบอก
“แต่เราเปิดแผนที่ไม่ได้นะ” รอนขมวดคิ้ว
“ทำไมจะไม่ได้” แพทยื่นหน้าเข้าไปจูบรอน
[มานา +0.5]
เจ้าชายดีโอเหลือบมองจนหางตากระตุก ขณะที่รอนที่หน้าแดงก็เปิดแผนที่ของตนขึ้นจากมานาที่ได้มาใหม่และกระโดดขึ้นม้าของท่านโยฮัน
“รอน ดูเหมือนเธอใช้ค่าพลังไว้แค่200กิโล เธอจะปรับพลังให้เป็นเต็มที่ไหม” แพทยื่นหน้าเข้าไปอย่างมีเลศนัย รอนกำลังจะเห็นดีด้วย ถ้าปรับพลังโจมตีที่ได้จาก Bonus Stat ให้เต็มที่ เขาจะมีแรงหมัดเพิ่มเป็น 4ตัน อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง
…
แต่พอมองหน้ากรุ้มกริ่มของแพทเขาก็นึกได้
“พอแล้วไม่ต้องๆ” รอนหน้าแดงก่ำ “คุณโยฮันครับ ไปกันเร็วครับ”
ทหารม้าโจนทะยานออกไปโดยมีรอนทำหน้าที่บอกเส้นทางที่ออร์คเมจกำลังหลบหนี
ห่างไกลออกไปนับร้อยกิโลเมตร ไวเวิร์น 5 ตัวกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ตรงไปยังธงเวทมนตร์ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า เมื่อบินอยู่เหนือหมู่บ้านแห่งหนึ่งมังกรบินทั้ง5ตัวก็ลดความเร็วลง ปล่อยห่อผ้าห่อหนึ่งลงไป ผ้าคลี่ตัวออกเปิดเป็นเหมือนร่มชูชีพตกลงไป
ข้างล่างนั่น มีทหารอยู่10กว่าคน ทั้งหมดโบกมือให้หน่วยไวเวิร์นก่อนที่จะยุติการใช้ธงเวทมนตร์บอกตำแหน่ง
“นี่เป็นหมู่บ้านที่30แล้วสินะ” ทหารบนหลังไวเวิร์นเอ่ยขึ้น
“ใช่ หวังว่ายาของร้าน ARMAMENT จะใช้ได้ผลนะ” ทหารอีกคนพูดลอยๆ
พวกเขาเป็นหนึ่งในหน่วยไวเวิร์นของแอสคาลอน หลังจากมีการระบาดของโรคเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วอาณาจักร หน่วยไวเวิร์นก็ถูกส่งออกไปพร้อมกับยาที่เชื่อว่าจะรักษาโรคระบาดได้
แม้กระนั้นก็ไม่มีใครคาดหวังอะไรมาก
โรคระบาดนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อนในสงครามระหว่างมนุษย์และอันเดท
และไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนจากเผ่าใด ก็ไม่มีใครที่ผลิตยารักษาโรคนี้ได้
“ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็คงทำให้คนที่กำลังจะตายได้มีความหวังอยู่บ้าง” ทหารอีกนายพูด คำพูดบ่งบอกว่าไม่มั่นใจในตัวยาสักนิดเดียว
“ระวัง! ทุกคนไต่ระดับขึ้น” เสียงทหารที่เป็นหัวหน้าทีมร้องขึ้น ด้วยประสบการณ์ของทุกคน ทหารที่เหลือชักไวเวิร์นให้บินไต่ระดับขึ้นทันที เสียงสั่นสะเทือนมหาศาลดังขึ้น ฝูงเงาสีดำพุ่งผ่านจุดที่พวกเขาอยู่เมื่อครู่ไปอย่างหวุดหวิด
ทหารไวเวิร์นทั้ง 5 บินขึ้นสูงจากตำแหน่งเดิมกว่า 1 กิโลเมตรจนมั่นใจว่าปลอดภัย พวกเขามองลงไปเบื้องล่างอย่างหวาดหวั่น
เบื้องล่างนั่น เงาสีดำขนาดมหึมา แผ่ขยายเป็นวงเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 10 กิโลเมตรกำลังเคลื่อนตัวไปทางใต้
เมื่อมองจากบนท้องฟ้า เส้นทางที่มันเคลื่อนผ่านเปลี่ยนจากสีเขียวขจีเป็นสีน้ำตาลอันปราศจากพืชและชีวิต
“ตั๊กแตน … พวกมันกำลังไปที่ไหนกัน”
“ทางใต้ … พวกมันกำลังลงใต้” หัวหน้าทีมบอก
“ไปทางเมืองกาล่า”