ถูกโจมตี พลังชีวิต -0.3!
โดย
หมอแมว
คืนนั้นรอนทดลองอะไรบางอย่าง เขาหยิบเป้ที่คุณพ่อเตรียมไว้สำหรับเวลาฉุกเฉินไปด้วย เป็นเป้ที่ใส่อาหารและน้ำดื่มสำหรับ3วัน ไฟฉาย และ เครื่องใช้ส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ , นอกจากนั้นเขายังใส่นาฬิกาข้อมือ สวมเสื้อยืดทับลงไปบนเสื้อที่ใส่อยู่ และใส่ถุงเท้าและรองเท้ากีฬา
จากนั้นเขาก็ถือหนังสือและเป้รอเวลา….
ในห้องศิลา รอนวางเป้และหนังสือลงจากนั้นสำรวจตัวเอง
นาฬิกายังอยู่
รองเท้าถุงเท้าอยู่ครบ
เสื้อที่สวมตัวในยังอยู่แต่ตัวที่สวมทับไปภายหลังหายไป
ส่วนในเป้ ….
เขาเปิดดูในเป้ ทั้งอาหารและน้ำดื่มยังอยู่ครบดีทุกอย่าง เขาลองเปิดไฟฉายดูไฟฉายยังใช้ได้ปกติ ถ่านข้างในอยู่ครบถ้วนดี
ตอนนี้ความกังวลเรื่องอาหารและน้ำหมดไปแล้ว … ถึงแม้ว่าน้ำผึ้งและน้ำในไหจะยังเพียงพอสำหรับการกินอีกเป็นสัปดาห์ แต่ก่อนนี้ตอนที่เขายังไม่รู้วิธีห้ามตัวเองไม่ให้ถูกดูดมาที่นี่ได้เขายังกังวลเรื่องนี้อยู่ลึกๆว่าจะทำอย่างไรหากอาหารและน้ำหมด
รอนยังไม่แน่ใจนักว่าระบบการตัดสินว่าของที่จะข้ามมาได้เป็นยังไง แต่เขาคิดว่าของที่ถูกจัดกลุ่มรวมกันเกิน1-2เดือนจะถือเป็นของชิ้นเดียวกัน ดังนั้นครั้งถัดๆไปเขาก็เพียงซื้ออาหารหรือน้ำที่บรรจุมาเป็นลังใหญ่ก็ได้แล้ว
เมื่อความกังวลลดลงไปแล้ว เขาก็ปลดนาฬิกาข้อมือ เข็มชี้เวลาที่เที่ยงคืน5นาที เขานั่งอ่านหนังสือเรียนต่อด้วยความสบายใจ
…
..
.
เช้าวันถัดมา รอนไปโรงเรียนแต่เช้า ไปนั่งตรงหน้าห้องและทบทวนเนื้อหาอีกครั้งก่อนเข้าห้องสอบ
เขานั่งลงอ่านสรุปโน็ตย่อวิชาวิทยาศาสตร์ … แม้จะอ่านมาแล้วหลายเที่ยวแต่ก็จะประมาทไม่ได้ … เด็กหนุ่มนั่งลงอ่านเงียบๆข้างเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ … เขานั่งอยู่พักนึงก่อนจะรู้สึกได้ว่าคนที่นั่งข้างๆหาของในกระเป๋านานกว่าปกติ
รอนเงยหน้าขึ้นมา เด็กหญิงผมสั้นกำลังหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า ดวงตาใสภายใต้กรอบแว่นสีเงินบ่งบอกว่ากำลังกังวลอย่างเต็มที่
“แพท หาอะไรอยู่เหรอ” รอนถาม
“เราหาเครื่องอัดเสียงไม่เจอ …” เด็กหญิงตอบ เพื่อนๆที่นั่งรอบๆละสายตาจากหนังสือที่อ่านขึ้นมามองทันทีรวมถึงรอน
รอนเป็นหนึ่งในคนที่คะแนนสอบอยู่ท้าย แต่เขาไม่ใช่คนท้ายที่สุด … คนที่ได้คะแนนรั้งท้ายที่สุดในห้องก็คือแพท เด็กหญิงที่กำลังอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้
และที่เธอได้คะแนนสอบแย่ที่สุด ไม่ได้เป็นเพราะไม่ขยันหรือติดเกมเหมือนรอน หากแต่เพราะเธอมีปัญหาในการอ่าน … แพทอ่านตัวหนังสือได้ช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆหลายเท่า จนเธอต้องทำสรุปวิชาต่างๆเป็นเสียงแล้วเปิดฟังเอา เวลาสอบเธอก็อ่านคำถามได้ช้ากว่าเพื่อนคนอื่นมาก ดังนั้นผลก็คือแพทมักจะได้คะแนนต่ำกว่าเพื่อนๆเสมอ … จะมียกเว้นก็เพียงวิชาคณิตศาสตร์ ที่เธอได้คะแนนท็อปของชั้น! เพราะเมื่อเธอเข้าใจหลักทางคณิตศาสตร์ใด เมื่อเวลาสอบมาถึง หากข้อสอบที่ออกมีแต่ตัวเลข เธอจะใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวในการตอบข้อสอบ
ดังนั้นการลืมเครื่องเล่นเสียงในวันที่สอบวิชาสังคมและวิทยาศาสตร์แบบนี้ เรียกได้ว่าเป็นหายนะสำหรับเธอเลยทีเดียว
“งั้นเดี๋ยวผมอ่านสรุปให้ฟังก็ได้” รอนเสนอ … ยังไงเขาก็อ่านเจ้าวิชาวิทยาศาสตร์และสังคมวนไปวนมา4รอบจนแทบจะท่องเนื้อหาได้อยู่แล้ว
ว่าแล้วรอนก็ไม่รอคำตอบ เขาหยิบสรุปเนื้อหาที่ทำไว้เมื่อวานนี้ออกมาอ่านให้เด็กสาวฟัง … หลายๆคนเริ่มวางหนังสือลงและนั่งฟังไปด้วยพร้อมๆกัน
[การพูดในที่สาธารณะ :Lv2 0/100]
‘เอ๊ะ แบบนี้ก็ได้เรอะ’ เด็กหนุ่มคิดในใจไปพร้อมๆกับการอ่านต่อไปอย่างไม่หยุด เขานั่งอ่านต่อไปเรื่อยๆ บางคนเริ่มสังเกตว่ารอนพลิกเปิดจากหนังสือเอาและพลิกหน้าไปเรื่อยๆโดยไม่ได้สรุปเอาไว้ในสมุด
“นายจดยังไงวะ ขอดูหน่อย” เสียงเพื่อนดังมาจากด้านหลัง “เฮ้ย จดไว้ตรงไหนวะ … นี่นายอ่านตรงๆเลยเหรอ!”
ที่เพื่อนๆแปลกใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะที่รอนสรุปออกมานั้นสรุปได้ดี และพูดได้ลื่นไหลเป็นประโยคจนคนที่ฟังต่างคิดว่าเขาอ่านจากที่เขียนไว้แล้ว ไม่มีใครคิดว่าเขาจะอ่านมาจากหนังสือโดยตรง
“นี่ไง … เราขีดเอาไว้แล้วเราก็อ่านเฉพาะจากที่ขีด ตรงไหนไม่ขีดก็ข้ามไป”
ทุกคนที่ได้ยินต้องแปลกใจ … การขีดเนื้อหาที่สำคัญนั้นเป็นสิ่งที่ใครๆก็ทำกัน แต่ว่าก็มักใช้ปากกาไฮไลท์หลายหลากสี แต่หนังสือตรงหน้านี้ถูกขีดไปด้วยปากกาน้ำเงินอย่างเดียว และการอ่านเฉพาะตรงที่ขีดให้เป็นประโยคต่อกันก็เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก ยิ่งการพูดให้คนอื่นฟังเป็นประโยคจากเฉพาะที่ขีดยิ่งยากใหญ่
รอนซึ่งเป็นคนครองตำแหน่งรั้งท้ายของห้องพัฒนาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“นายไปหัดวิธีนี้มาจากไหนวะ คนอื่นเค้ายังต้องเขียนกันอยู่เลย”
“คือกูขี้เกียจเขียนว่ะ เขียนแล้วมันเมื่อยมือ เราเลยใช้ขีดเอา”
ทุกคนมองอย่างไม่เชื่อสายตา ‘หน้าหนา! หน้าด้านสุดๆ … นี่ตกลงที่ขีดแล้วอ่านแบบนี้ได้ไม่ใช่ว่าเป็นเทคนิกพิเศษ แต่ว่าเป็นเทคนิกที่เกิดขึ้นเพราะความขี้เกียจของนายงั้นเรอะ!”
แต่ทุกคนก็ยังฟังต่อไป เพราะใช่ว่าคนที่ขี้เกียจและทำแบบนี้จะทำสำเร็จทุกคน
ที่รอนต้องทำแบบนี้ส่วนนึงก็เพราะตอนที่เขาข้ามไปฝั่งนั้นเขาลืมพกสมุดไปด้วย และการอ่านทั้งหมดก็มาเกิดขึ้นช่วงสามวันนี้เท่านั้น จึงไม่มีทางที่เขาจะจดลงสมุดได้ทันเลย
เก๊งๆๆๆ …… เสียงระฆังบอกเวลาเข้าห้องสอบมาถึง ทุกคนทยอยเก็บหนังสือและเตรียมดินสอ
“เฮ้ ไม่จริงน่า นี่เราไม่ได้เอากล่องดินสอมาเหรอเนี่ย”
รอนค้นอย่างกระวนกระวาย
“เอาของเราไปใช้ก่อนก็ได้” มือเล็กๆยื่นดินสอสองแท่งและยางลบครึ่งก้อนมาให้ …
“ขอบใจนะแพท” รอนตอบพลางมองไปที่ยางลบครึ่งก้อนที่เหลือ ในถุงดินสอของเด็กสาว
เธอยิ้มให้อีกครั้งก่อนเข้าห้องสอบ
สอบวันนี้ก็เหมือนเมื่อวันก่อน … รอนใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงทำข้อสอบแล้วออกจากห้องสอบไป เขารู้สึกได้ว่าครั้งนี้ข้อสอบง่ายกว่าสอบทุกครั้งที่ผ่านมา
เขานั่งกินขนมปังไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วยเตรียมสอบวิชาถัดไปช่วงบ่าย ตาเหลือบไปเห็นแพทกำลังเปิดหนังสือพยายามอ่าน … รอนขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะนึกได้ว่าเธอลืมเอาเครื่องเล่นเสียงมา
“แพท … ให้เราอ่านให้เอาไหม”
แทนคำตอบ เด็กหญิงพยักหน้าให้อย่างขอบคุณ รอนหยิบหนังสือสังคมออกมาแล้วลงมืออ่านเนื้อหาที่เขาสรุปไว้ออกมาอีกครั้ง … ระหว่างพูดไป รอนลองเช็คดู
[การพูดในที่สาธารณะ :Lv2 54/100]
ดีแฮะ …
เขาสอนต่อไปจนเข้าห้องสอบ … วิชาสังคมครั้งนี้ง่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำถามที่ถามทั้งหมดล้วนเคยผ่านตาการอ่านมาแล้วทั้งนั้น ดังนั้นรอนจึงไม่ลังเลที่จะฝนคำตอบลงกระดาษคำตอบอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไป30นาที เขาก็ทำเสร็จ … ตรวจคำตอบและความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะลุกไปส่งกระดาษคำตอบ แต่ละคนในห้องชำเลืองดูรอน
ถ้าเป็นแต่ก่อนทุกคนคงคิดว่ารอนทำไม่ได้จนต้องฝนคำตอบมั่วๆ
แต่จากที่เห็นเขาติวให้แพทก่อนเข้าห้องสอบวันนี้ เกือบทุกคนเริ่มจะเชื่อแล้วว่าเขาทำข้อสอบเสร็จจริงๆ …
ยกเว้นแต่ครูดุษฎี ที่ไม่ได้เห็นการติวเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ
” ตรวจคำตอบหรือยัง ” ครูถามขณะรับกระดาษคำตอบจากมือของรอน
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“…”
รอนส่งกระดาษคำตอบและเดินออกจากห้องไป … เขาเก็บของและเดินกลับไปขึ้นรถสองแถวกลับบ้าน แวะร้านขายของชำใกล้บ้านและขอซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบกล่องใหญ่กลับบ้าน อาม่าเจ้าของร้านมองอย่างแปลกๆนิดนึงแต่ก็ขายให้โดยไม่ได้ว่าอะไร
ที่ห้องนอน เขาเตรียมหนังสือที่จะอ่านและเก็บปากกาดินสอที่ลืมเอาไปเมื่อเช้านี้ไว้ลงกระเป๋า … มือสัมผัสกับของภายในกระเป๋า
“อ้าว ลืมคืนดินสอให้แพท”
เขารวมดินสอและยางลบครึ่งก้อนที่แพทให้ยืมไว้ที่ช่องหน้ากระเป๋า และเขียนกระดาษโน๊ตติดไว้กันลืม
…
..
.
รอนกลับมาที่ห้องศิลาอีกครั้ง … เขาวางกล่องและหนังสือภาษาไทยลงที่เตียง เอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปวางไว้ที่มุมห้องรวมกับน้ำและอาหารอื่นๆ จากนั้นก็เริ่มอ่านหนังสือต่อ …. เขาอ่าน ทำโน๊ตย่อ ขีดเส้นใต้เน้นคำ
เวลาผ่านไปช้าๆ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองนาฬิกา เขานั่งอ่านมาแล้ว6ชั่วโมง เหลือเวลาอีก6ชั่วโมง … เขาตั้งท่าจะอ่านทวนอีกครั้ง
[ภาษาประจำชาติ : Lv 4 0/100]
“ได้ระดับความสามารถเพิ่มอีกแล้ว … ว่าแต่เราจะรู้ได้ยังไงว่า’ระดับความรู้’ตอนนี้เป็นเท่าไหร่ … แล้วเมื่อไหร่จะถึง 15 จะได้เปิดประตูนี่ได้เสียที”
[ระดับความรู้ : 15 ]
“อ๊ะ ….”
เขาอุทานเบาๆ … เมื่อครู่ที่ระดับความรู้ภาษาไทยเพิ่มขึ้นคงทำให้ระดับความรู้โดยรวมของเขาเพิ่มขึ้นไปด้วย รอนลุกไปที่ประตู เตรียมจะเปิดประตู
… ว่าแต่ข้างหลังประตูมีอะไร
รอนคิดในใจ … ถ้าหากมีเสียงดัง มีระดับ มีประสบการณ์ … หรือเป็นโลกแบบเกม … อีกฝั่งก็อาจจะมีมอนสเตอร์รึเปล่า
… เขาลองเคาะประตูดู ก๊อกๆๆ แล้วเงี่ยหูฟัง ในมือถือไฟฉายไว้
ไม่เห็นมีเสียงอะไรเลย … เขาจับเข้าไปที่มือจับของประตู จากนั้นดึงเข้าหาตัวเอง
ประตูแง้มออกช้าๆ แสงภายในห้องสาดส่องเข้าไปในทางเดินหินที่มืดสนิท ที่พื้นไกลออกไปประมาณ10เมตรไม่มีอะไรอยู่ มีเพียงแสงสะท้อนสีแดงเล็กๆบนเพดานที่แกว่งไกวไปมาเต็มไปหมด … มันแกว่งช้าๆเบาๆทั้งๆที่ไม่มีลมพัด
เขาพยายามเพ่งมองแสงเล็กๆนั่นเพื่อดูว่ามันคืออะไรก่อนจะฉายไฟ
กี๊ดๆๆๆๆๆๆ
แสงไฟฉายตกกระทบค้างคาวจำนวนมาก แสงที่สว่างอย่างกระทันหันทำให้มันปล่อยตัวและออกบินไปทุกทิศทาง รอนผลักประตูปิดทันที
…. “โอ๊ย”!
รอนสะบัดแขน ค้างคาวหลุดปลิวออกไปและบินอยู่กลางห้อง
เสียงดังขึ้นมาในหัวทันที
[พลังชีวิต -0.3]