Midterm Fantasy – ตอนที่ 40

ARMAMENT
โดย
หมอแมว

พอถึงเที่ยงวันรอนถูกส่งกลับมายังห้องของตนเอง เขาไปเรียนวันจันทร์ตามปกติ ไม่เห็นกวินหรือเอกชัยเดินผ่านหน้าห้องเลยแม้แต่น้อย … แต่รอนไม่อยากจะสนใจทั้งสองคนนั้นแล้ว เขาติวให้แพทเหมือนเคยและมอบผลึกแกนมอนสเตอร์อีก2ชิ้นให้กับแพทเพื่อเอาไปให้กับพ่อ … เขาสังเกตนิดหน่อยว่าแพทมีสีหน้าไม่สบายใจอะไรบางอย่างเมื่อพูดถึงพ่อ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ถามต่อ
รอนไปที่ร้านอาม่าเพื่อจะซื้อของ … แต่ร้านอาม่าซึ่งปกติจะเปิดทุกวัน มาวันนี้กลับปิดโดยไม่ได้มีแปะป้ายอะไร … รอนเลยตรงไปร้านยี่สิบบาทแทน เขาเดินเข้าไปแล้วก็เจอกล่องกระดาษที่กลุ่มเครื่องมือช่าง ภายในมีกระป๋องสีเหลืองน้ำเงินอยู่5กระป๋อง … รอนหยิบกล่องทั้งกล่องออกมาแล้วเดินไปที่เจ้าของร้าน ควักเงินให้500บาท … พี่เจ้าของร้านเตรียมจะควักเงินทอนให้100นึง
“พี่ครับ พี่มีประทัดที่เอาไว้ไล่นกหรือเปล่า” รอนถาม
…. ทั้งคู่จ้องหน้ากันพักนึง ก่อนพี่เจ้าของร้านจะเดินไปหลังร้านแล้วหยิบกลักพลาสติกทรงกลมพันด้วยเทปพันสายไฟมาให้สองอัน
รอนกลับไปที่หมู่บ้านโอลเซ่นอีกครั้ง  … รอนมองไปในกล่องกระดาษที่พกมา เหลือกระป๋องโลหะภายในนั้น3กระป๋อง อีก2กระป๋องหายไป …
รอนถอนหายใจ … ดูเหมือนในการนำสิ่งของข้ามโลกมาทางฝั่งนี้ยังคงเดิม คือ ของต้องจัดหมู่มาพร้อมกันสักระยะนึง จึงจะถือเป็นชิ้นเดียวกัน … ดูท่าทางว่าน่าจะมีลูกค้าเข้าร้าน20บาท แล้วหยิบกระป๋อง2อันนั้นขึ้นมาดูแล้ววาง เลยทำให้ผิดการรวมสิ่งของ และไม่ข้ามมาด้วย
เอาเถอะ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่นา
จากนั้นรอนล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบระเบิดปิงปองออกมา เพื่อจะพบว่า …. ในกระเป๋าทั้งสองข้างต่างมีแต่ เทปพันสายไฟ …. แบบนี้ก็แปลว่า ระเบิดปิงปองที่ว่าเพิ่งประกอบเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ผิดการเคลื่อนย้าย และเคลื่อนมาแต่ส่วนนอกสุดของมัน ก็คือเทปพันสายไฟ
นี่ถ้าไม่มีเทปพันสายไฟชั้นนอกสุด ของที่ย้ายข้ามมาคงเป็นกลักพลาสติก …. ส่วนดินปืนภายในคงตกกระจายอยู่ในห้องนอนแน่ๆ

เด็กหนุ่มนำกระป๋องโลหะ3กระป๋องที่เหลือไปฝากไว้ที่รถลากของเบรเซอร์ จากนั้นเปิดเป้ หยิบของอย่างสุดท้ายที่เขาหยิบมา นั่นคือ เมล็ดข้าวโพด …. ไม่ใช่ข้าวโพดหวานแบบที่เอาไว้กิน …. แต่เป็นเมล็ดข้าวโพดที่ซื้อมาจากร้านขายอาหารสัตว์ …. ที่เขาเลือกข้าวโพดนี้เพราะว่ามันขายในแพ็คสองกิโลกรัม …. ถ้าเป็นข้าวโพดหวานในร้านค้าที่เขาซื้อได้ก็เห็นแต่ซองเล็กๆมีไม่กี่เมล็ด … และในละแวกบ้านของเขาก็ไม่มีร้านไหนขายเมล็ดข้าวโพดแบบกระสอบด้วย
“คุณเบรเซอร์ครับ … “รอนวิ่งไปพร้อมถุงข้าวโพดในมือ “ผมอยากหาคนนำทางไปพื้นที่ไร่นาของหมู่บ้านครับ”
“ทำไมรึคุณรอน”
“ผมอยากจะปลูกพืชพวกนี้ทิ้งไว้ครับ ” เด็กหนุ่มบอก ” ผมไม่รู้ว่าพวกเราจะไปกันนานแค่ไหน แต่ถ้าปลูกทิ้งไว้แล้วเราไปกันหลายเดือน อย่างน้อยในละแวกหมู่บ้านก็จะมีอะไรที่กินได้บ้าง”
เบรเซอร์พยักหน้ารับ … ถึงอย่างไรตอนนี้หมู่บ้านก็ปราศจากเมล็ดพันธุ์พืชแล้ว จะมีก็แต่เมล็ดพันธุ์ที่รอนนำมาก่อนหน้านี้และข้าวโพดถุงเล็กๆนี่เท่านั้นแหละ
จากนั้นรอนและชาวบ้านอีก3คนก็ออกจากหมู่บ้าน ทั้งหมดตรงไปยังพื้นที่ไร่รอบหมู่บ้าน หลังจากมองดูแล้วว่าไม่มีมอนสเตอร์หลบอยู่ รอนก็เริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ … เขาหว่านข้าวโพดกระจายอยู่ในพื้นที่สามเอเคอร์ จากนั้นในอีก2เอเคอร์ก็คือการเอาเมล็ดพันธุ์ที่ได้จากร้านอาม่าที่เอามาเมื่อคราวก่อนหว่านลงเพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นผักกาดขาว ผักกาดหอม กวางตุ้ง ผักบุ้ง ผักชี ข้าวโพด หัวไชเท้า กระเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก มะเขือเทศ ฯลฯ
รอนใช้เวลาสองชั่วโมง เขาไม่มีเวลาขุดดินแล้วหย่อนเมล็ดอย่างบรรจง ดังนั้นเขาจึงทำแค่เลือกพื้นที่แล้วจัดการหว่านเท่าที่ทำได้ จากนั้นก็ขึ้นกับว่าจะมีฝนตกหรือมีน้ำค้างลงมากพอที่จะให้พืชได้เติบโตหรือไม่
เมื่อหว่านเสร็จทั้งหมดก็เดินมุ่งกลับเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านอีกกลุ่มเข็นรถลากกลับจากแม่น้ำโดยมีน้ำดื่มและปลาที่เพิ่งจับได้ … เป็นการเตรียมหาเสบียงครั้งสุดท้ายก่อนจะออกจากหมู่บ้าน
“กัปตันเรย์ …. ลาดตระเวนเจออะไรบ้างไหมครับ” รอนถามเรย์ที่นั่งพักที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน
” บ่ายนี้พวกเราเจอก็อบลินกับหมาป่าบ้าง แต่ไม่เจอออร์ค” กัปตันหนุ่มตอบ “ว่าแต่เห็นท่านโยฮันบอกว่าท่านถามหาพวกข้าอยู่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือผมอยากจะดูอาวุธของทหารม้าหน่อยครับ”
เรย์พาไปดูที่ม้าลาดตระเวน ม้าแต่ละตัวจะมีสัมภาระกับอาหารของทหารติดอยู่ นอกนั้นก็มีอาวุธเป็นลูกศรคันธนู หอกยาวทหารม้า และหอกไพลั่มอันเป็นหอกซัดติดที่ข้างม้า
“ตามหลักแล้วพวกเราต้องขนหอกซัดนี้มาอย่างน้อย2ชิ้น แต่ว่าท่านนายร้อยโยฮันน่าจะบอกคุณรอนแล้วว่าหอกแบบนี้มันเสียง่ายมากเลย เรียกได้ว่าเราปาครั้งเดียวก็ทิ้งได้เลย เราเลยพกมากันแต่คนละชิ้น”
ม้าในหน่วยมี30ตัว หมายความว่ามีไพลั่มให้ใช้30เล่ม
“ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวผมจะขอคุยกับคุณเรย์ คุณโยฮัน และจอมเวทของหน่วยทหารหน่อยครับ ผมคิดว่าเราพอจะมีวิธีรับมือกับออร์คได้บ้างครับ
** ** ** **
รอนคุยเรื่องแผนการจัดการกรณีหากมีออร์คบุกเสร็จสิ้นแล้ว ใช้เวลามากกว่าที่คิด เพราะตัวเขาเองมองภาพแค่แคบๆว่าจะจัดการศัตรูอย่างไร แต่ไม่มีความรู้เรื่องการเดินทัพ การขี่ม้า การรบในแบบแผนเลย …
ส่วนเรย์และโยฮันก็ทึ่งในความรู้ของรอน … เด็กหนุ่มคนนี้มีความรู้บางอย่างที่ลึกซึ้งหรือคิดนอกกรอบอย่างที่พวกเขาคาดไม่ถึงมาก่อน และในเวลาเดียวกันบางเรื่องที่ควรจะรู้รอนก็กลับไม่รู้เอาเสียเลย
บ่ายวันนั้นกองทหารม้าออกลาดตระเวนอีกและกลับมาพร้อมข่าวที่ไม่ค่อยดีนัก
“เราพบก็อบลินที่มาเป็นกลุ่มมากผิดปกติห่างออกไปประมาณ10ไมล์ และเริ่มพบออร์คปะปนในกลุ่มก็อบลิน” เรย์บอก “ยังดีที่ทิศที่พบไม่ใช่ทิศที่เราวางแผนจะเดินทางไป”
เบรเซอร์สั่งให้ทุกคนกินอาหารเย็นเพื่อจะได้ออกเดินทาง ชาวบ้านทุกคนจัดแจงกินอาหารด้วยความเครียดระคนกังวลเมื่อรู้ว่ามีการพบออร์คเข้ามาใกล้หมู่บ้าน บางส่วนจัดการปิ้งรมควันปลาและเนื้อสัตว์เพื่อเก็บเอาไว้กิน
“คุณโรล่า คุณมาเรีย จะไปไหนครับ”รอนร้องถามเมื่อเห็นทั้งสองเดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน
“เราจะไปที่หลุมฝังศพของหมู่บ้านค่ะ” โรล่าบอก
เด็กหนุ่มพยักหน้าให้และตามไปด้วยเงียบๆ เด็กสาวทั้งสองถือดอกไม้ช่อเล็กๆที่เก็บมาจากบริเวณนั้น ไว้ในมือ ทั้งหมดเดินไปจนถึงหลุมฝังศพที่เรียงรายอยู่ ความเงียบสงบยามเย็นเข้ามาปกคลุมทั่วบริเวณ
รอนยืนมองเด็กสาวทั้งสองวางดอกไม้ที่หลุมศพ … ทั้งคู่วางดอกไม้ที่หลุมศพ4หลุม ซึ่งน่าจะเป็นของเด็กกำพร้าที่อาศัยร่วมกันมา 3หลุมที่ฝังศีรษะของ3เด็กกำพร้าจากหมู่บ้านอัลเลน และทั้งมาเรียและโรล่าก็เดินแยกไปที่หลุมศพอีกสองหลุม
“คุณพ่อคุณแม่คะ หนูกำลังจะเดินทางไปกับทุกๆคน คุณพ่อคุณแม่ที่อยู่บนสวรรค์ช่วยอวยพรให้พวกเราด้วยนะคะ” โรล่าพูดเบาๆ
เด็กหนุ่มยืนฟังอยู่เบื้องหลัง … เขามองโรล่าที่วางดอกไม้ลง ที่หน้าหลุมศพ และมองไปรอบๆ
หากไม่บอกว่าขณะนี้หมู่บ้านกำลังอยู่ในช่วงของการเตรียมการอพยพหนีภัย ภาพเด็กสาวที่มีดอกไม้ขาวในมือกระโปรงผ้าพัดพริ้วไปตามสายลมเบาๆโดยมีแสงอาทิตย์จางๆพาดลงมา จะเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่าในเวลาเช่นนี้ ภาพนี้ช่างดูน่าเศร้า …
รอนสัญญากับตนเอง … เขาจะปกป้องชาวบ้านที่นี่ให้ได้
ทั้งสามคนเดินกลับมาที่หมู่บ้าน ตอนนี้เบรเซอร์สั่งให้ทำการเตรียมขบวนเดินทาง และให้เริ่มทำการนับจำนวนคนแล้ว
กองทหารราบจะเดินนำด้านหน้า ขบวนของชาวบ้านจะอยู่ตรงกลาง โดยมีนักบวชรอคโค่ ผู้หญิง เด็ก และคนแก่ อยู่ด้านในสุด ชาวบ้านคนอื่นๆที่ถืออาวุธได้จะอยู่รอบนอก และด้านหลัง สุดเป็นทหารม้า
ไม่มีการพูดให้กำลังใจ ไม่มีการทำพิธีหรือการปราศรัยก่อนการอพยพ … ทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเชียบ กองทหารค่อยๆออกเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดที่เริ่มเข้ามา ชาวบ้านค่อยๆเดินตามไป … เสียงล้อไม้ของรถลากบดพื้นและเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะ
กัปตันเรย์และทหารม้า ช่วยกันตอกเสาไม้ที่มีธงสีแดงไว้ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน
“เสาอะไรเหรอครับ” เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย
“ธงบนเสานี้เป็นธงของทหารที่บอกให้รู้ว่าหมู่บ้านนี้ทำการอพยพออกไปโดยมีทหารคุ้มกันออกไป” เรย์บอก “จะเป็นสัญลักษณ์ว่าไม่ให้นักเดินทางหรือใครก็ตามเข้าไปยึดมาอยู่อาศัยเอง ทำลายหรือขโมยทรัพย์สิน”
รอนพยักหน้าแล้วถามต่อ “ว่าแต่คนจะเชื่อหรือครับ”
“ฮะฮะ เรื่องขโมยทรัพย์สินหรืออาหารคงห้ามกันไม่ได้หรอกคุณรอน” เรย์ตอบ “แต่อย่างน้อยก็สามารถป้องกันการยึดเอาบ้านมาอยู่อาศัยเอง … เพราะว่าการที่มีธงแดงนี้แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่อันตรายจนกระทั่งทหารต้องมาช่วยอพยพออกไป เมื่อไหร่ที่มีธงแบบนี้ ส่วนมากนักผจญภัยหรือทหารรับจ้างที่ผ่านมาก็มักจะแวะพักแค่วันสองวันแล้วรีบเดินทางต่อทั้งนั้นแหละ”
เรย์ตอบ เขาแน่ใจขึ้นเรื่อยๆว่ารอนไม่ใช่คนที่นี่ เพราะว่าเรื่องธงแดงนี้เป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกคนในทวีปซีแลนเดียก็รู้จักกัน
รอนเดินตามขบวนอยู่ในชุดที่รั้งท้าย หลังจากเดินไปได้ครึ่งชั่วโมง เขาก็เห็นทหารประมาณ 10 คนกำลังยืนคุ้มกันนักเวทประจำกองทหารซึ่งทำอะไรบางอย่างที่พื้นอยู่ ทหารคนนึงถือคบไฟอยู่ด้านบนส่องให้
เด็กหนุ่มล้วงเข้าเป้ เปิดไฟฉายLedของตนแล้วส่องแทนแสงจากคบไฟที่มองไม่ชัด นักเวทยิ้มให้แล้วง่วนกับงานที่ทำอยู่ …
นักเวทใช้แท่งโลหะ ขุดที่ดินให้เป็นร่องหลุมรูปวงกลม จากนั้นขุดพื้นตรงกลางวงกลมจนเป็นรอยเหมือนอักขระบางอย่าง แล้วก็นำผงสีแดงชมพูค่อยๆโรยลงไปอย่างระมัดระวังไม่ให้รอยขาดออกจากกัน … สุดท้ายเมื่อโรยผงเป็นวงแหวนเวทจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาก็นำผลึกแกนมอนสเตอร์ระดับ 2 ออกมา 4 อัน ปักลงไปที่ขอบทั้ง 4 ด้านของวงแหวนเวท
ทหารคนอื่นๆเอาใบไม้จากใกล้ๆนั้นมาโรยปิดทับจนมองไม่เห็น จากนั้นนักเวทก็เข้าไปยกมือขวาเข้าไปใกล้ๆวงแหวนที่ถูกซ่อนอยู่
“”
จากนั้นทุกคนก็ลุกและออกเดินต่อเพื่อให้ทันขบวนที่ทิ้งห่างไปข้างหน้าแล้ว
“วงแหวนเวทนั่นใช้ทำอะไรเหรอครับ” รอนถาม
“มันคือวงแหวนสัญญาณเวท ถ้าหากมีกลุ่มของมอนสเตอร์ที่มีจำนวนมากพอเดินผ่านมา มันจะปล่อยเวทแสงขึ้นไปบนท้องฟ้าครับ”
“แล้วถ้ามีมอนสเตอร์แค่ 1-2 ตัวผ่านล่ะครับ” รอนถาม
“แบบนั้นมันจะไม่ทำงานครับ” นักเวทตอบ “ยกเว้นแต่ว่ามอนสเตอร์ที่ผ่านมาเป็นชนิดที่เลเวลสูงหรือว่ามีพลังเวทในตัวเองมาก แบบนั้นแค่ตัวเดียวก็ทำให้สัญญาณทำงานได้”
รอนพยักหน้า
ความจริงเมื่อตอนบ่ายเขาลองเสนอให้นายกองร้อยโยฮันและกัปตันเรย์วางกับดักตามรายทาง แต่ทั้งคู่ปฏิเสธ เนื่องจากว่าไม่มีทางรู้ว่าจะมีคนเดินทางที่ไม่ใช่มอนสเตอร์ผ่านทางมาหรือไม่
ของพวกนี้หากวางในพื้นที่สัญจรของประชาชนแล้วไม่ได้เก็บกลับไป แม้ภายหลังจะปราบมอนสเตอร์ได้ แต่ประชาชนก็จะมีชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง
หลังจากใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ทุกคนก็เดินทางมาถึงจุดหมายแรกนั่นคือซากที่เหลืออยู่ของหมู่บ้านอัลเลน
ขบวนค่อยๆเคลื่อนเข้าไปในหมู่บ้านที่ปราศจากผู้คน ชาวบ้านจากหมู่บ้านอัลเลนหลายคนหลั่งน้ำตาเมื่อเห็นสภาพหมู่บ้าน บ้านหลายหลังถูกไฟอันเกิดจากเวทของก็อบลินเมจเผาจนเหลือแต่ซาก บางหลังยังคงสภาพเดิมอยู่ ส่วนกำแพงของหมู่บ้านซึ่งทำจากไม้ บางส่วนถูกเผาไป แต่โดยมากยังคงสภาพดีอยู่
ที่โยฮันเลือกที่นี่เป็นจุดหมายแรก เพราะว่าหากเดินทางจากหมู่บ้านโอลเซ่นโดยตรงในเวลาเช้า กว่าจะไปถึงจุดที่เหมาะกับการตั้งแคมป์ก็จะเป็นเวลามืดเกินไป … ดังนั้นการมาพักที่นี่ก่อนแล้วออกเดินทางต่อในพรุ่งนี้เช้าจึงเป็นวิธีที่เหมาะที่สุด … แม้ว่าจะต้องเสี่ยงสักหน่อยในการเดินทางตอนกลางคืนของคืนแรก
จึงเป็นสาเหตุที่เรย์ต้องออกลาดตระเวนหลายครั้งเพื่อหาจุดที่คาดว่าฝูงมอนสเตอร์จะตั้งอยู่ และต่อจากนี้ก็จะมีแต่การเดินทางตอนกลางวันเท่านั้น
“คุณรอน ขอบคุณมากสำหรับ ‘ไฟฉาย’ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสิ่งนี้ พวกเราน่าจะเดินทางช้ากว่านี้อีกเยอะเลย” โยฮันส่งไฟฉายให้ แสงสีขาวที่ส่องไปไกลกว่าคบไฟ ทำให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดขึ้น ทำให้กลุ่มที่นำด้านหน้าสุดเดินได้เร็วและไม่ต้องพะวงกับมอนสเตอร์ที่จะแอบซุ่ม … แต่หลังการใช้มาตลอดหลายชั่วโมง ตอนนี้ไฟก็หรี่ลงมาก
ตอนที่ไฟหรี่ลง โยฮันลองแกะดูภายในเผื่อว่าจะใส่แกนมอนสเตอร์หรือใส่พลังเวทเข้าไป แต่เขาไม่เห็นที่ใส่ผลึกแกนมอนสเตอร์ เห็นแต่แท่งอะไรบางอย่างสามแท่ง
ดูแล้วน่าจะเป็นแกนมอนสเตอร์ในบ้านเกิดของคุณรอน … โยฮันคิดแบบนั้น
“ท่านโยฮันครับ … ผมอยากให้ท่านรับดาบนี้ไว้ครับ” รอนหยิบมีดดาบร้านอาม่าให้ … เขาซื้อมาทั้งหมด 3เล่ม เล่มแรกใช้เอง … เล่มที่สองมอบให้พอลไป … ส่วนเล่มที่ 3 ตอนแรกเขากะจะมอบให้กัปตันเรย์ แต่อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเสียดายไป โดยให้เหตุผลว่าการรบบนหลังม้าเค้าใช้หอกจะถนัดมือกว่า … และดาบที่สะพายต้องมีฝักที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นระหว่างขี่ม้าอาจจะพลาดโดนตัวเองได้
“…. ของมีค่าแบบนี้ ข้า…” โยฮันยกขึ้นดู เขาได้ยินจากเรย์แล้วว่าประสิทธิภาพดาบนี้เป็นอย่างไร แม้ไม่ได้เห็นเองกับตา แต่เมื่อหยิบจับก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ดาบธรรมดา
“รับไว้เถอะครับ ผมเองมีดาบแบบนี้แล้วเล่มนึง … ดาบถึงจะดีแค่ไหนแต่ถ้าไม่ได้ใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์” รอนบอก
จากนั้นรอนรีบเดินออกมาโดยไม่ได้เรียกร้องเงินใดๆ จนโยฮันเองก็จะคืนก็ไม่ทัน … นายกองร้อยรับดาบไว้ท่ามกลางสายตาลูกน้องที่มองด้วยความอิจฉา
สำหรับรอน …. เขาเดินออกมาแล้วเปิดสเตตัส
[Stamina Lv 5 10/100]
แล้วก็ถอนหายใจ

เขาเพิ่งรู้ตัวหลังจากเดินมาได้พักนึงว่ามีดที่เขาพกมามันเยอะเกินไป … ระหว่างเดินทางมา เขาเลยแจกมีดทั้งหมดที่ยึดได้จากพวกวัยรุ่นให้ชาวบ้านไปให้หมด … แต่กับมีดดาบร้านอาม่าเล่มนี้ เขาอยากจะให้คนที่ใช้ดาบเป็นเป็นผู้ใช้มากกว่า …
นึกไม่ถึงว่ายิ่งเดินมันยิ่งหนักจนอยากจะทิ้งๆมันไป
จะไว้บนรถลากก็ไม่ได้ เพราะว่า …
“โรล่า มาเรีย เดี๋ยวลากรถลากไปไว้ตรงโน้น” เบรเซอร์บอก “เอาผ้าห่มมาให้เด็กๆด้วย
เนื่องจากสัตว์ที่ใช้ลากจูงได้ตายไปหมดแล้ว รถลากทุกคันเลยต้องใช้คนในหมู่บ้านเป็นคนลาก เด็กสาวทั้งสองก็เช่นกัน
“คุณรอน …” นายกองโยฮันเดินมาจากด้านหลัง
“ครับ”
“สำหรับดาบนี้ ข้าขอรับไว้ใช้ในช่วงเดินทางก็แล้วกัน …. แต่ที่อยากรู้คือ นี่เป็นดาบจากที่ใด หรือผู้สร้างคือใคร ต่อไปข้าจะได้ไปค้นหาได้”
การสร้างดาบเป็นศาสตร์ที่ปกปิดในหมู่เอลฟ์และคนแคระ ไม่มีการถ่ายทอดให้เผ่าพันธุ์อื่นภายนอก และเมื่อช่างสร้างดาบสร้างออกมาแล้วก็มักจะสลักหรือทำสัญลักษณ์ไว้ แต่ว่าดาบเล่มนี้ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ …
หากใช้แล้วดี ในอนาคตเขาจะได้เสาะหามันได้
รอนมองแล้วคิดในใจ เขาจะบอกว่ามาจากร้านขายของอาม่าหน้าปากซอยคงไม่เหมาะแน่ๆ … แต่ถ้าเขาโกหก เวลาเจอถามครั้งต่อๆไปจากหลายๆคนก็กลัวจะตอบไม่ตรงกัน … เอาไงดี
เอางี้ละกัน
“ดาบเล่มนี้ผมได้มาจากร้านในบ้านเกิดของผม ….. ร้านนั้นชื่อว่า ‘ARMAMENT’ ”
“อามาเม้นท์?”
“ครับ อาม่าเม้นท์”
รอนบอกอย่างโล่งอก ต่อไปเวลาใครถามจะได้ตอบตรงกันว่าของมาจากร้านอาม่าโดยไม่ต้องคิดมากแล้ว
รอนไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากนั้นเขาจะทำให้ชื่อของร้านขายของมหัศจรรย์ ARMAMENT จะเป็นที่เลื่องลือและถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของทวีปซีแลนเดียไปอีกนานแสนนาน

Midterm Fantasy

Midterm Fantasy

เมื่อเด็กหนุ่มติดเกมส์ จำเป็นต้องสอบให้ได้คะแนนดีๆเพื่อให้ขึ้นชั้นม.4ให้ได้ หนำซ้ำในคืนก่อนสอบ Midterm เขายังดันเผลอเล่นเกมจนไม่ได้อ่านหนังสือ … มารู้ตัวอีกทีเขาก็หลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งซะแล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset