การหักหลังของคนที่คิดว่าเป็นเพื่อน
โดย
หมอแมว
“ไม่มีพลังเวทเลย” รอนทวนคำพูดอีกครั้ง
“ครับ ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว มันเลยทำให้คำสาปที่ส่งออกไปหาที่ลงไม่ได้ แล้วย้อนกลับเข้าคนปล่อยครับ” แอริสตอบแบบยิ้มๆ … แม้จะดีขึ้นบ้าง แต่เพื่อนทหารของเขายังเกาตามตัวอยู่เลย
“แล้วปกติมีแบบนี้กันบ่อยไหมครับ” รอนถามอย่างกังวล เขากลัวว่าถ้ามีไม่บ่อย คราวนี้จะกลายเป็นเรื่องแปลกไป
“ในทวีปซีแลนเดียพบไม่บ่อยครับ” นักเวทหนุ่มตอบ “ปกติลักษณะแบบนี้จะพบได้มากในคนที่อาศัยในเมืองป้อมปราการแห่งศาสนจักรเวโรน่าบนทวีปเลมูเรียมากกว่าครับ”
“แล้วถ้าผมใช้เวทมนตร์ไม่ได้แล้วเกิดเหตุจำเป็นจะทำยังไงดีครับ”
“คนที่ใช้เวทไม่ได้จะใช้วงแหวนเวทหรือม้วนเวทครับ … งั้นคุณรอนตามผมมาตรงนี้ดีกว่า” แอริสขอบคุณเพื่อนทหารทั้ง2ที่มาช่วยทดสอบ จากนั้นก็พารอนไปที่สัมภาระของตัวเอง
“นี่ครับ นี่คือม้วนเวท” แอริสยื่นม้วนหนังสัตว์ให้รอนดู เป็นม้วนที่มีขนาดใหญ่และหนา พอกางออกมาก็มีขนาดเท่ากับกระดาษหนังสือพิมพ์คู่นึง
“เราจะนำผลึกแกนมอนสเตอร์ไปทุบให้ละเอียดเป็นผง จากนั้นนำไปผสมกับกาวที่ทำจากเอ็นสัตว์ ผสมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วนำส่วนผสมที่ว่าทาลงไปบนม้วนหนัง ทิ้งให้แห้ง แล้วทาซ้ำไปมาอีกหลายๆครั้ง” แอริสกล่าว “เวลาจะใช้ก็เอาไปวาง แล้วปักผลึกแกนมอนสเตอร์ที่จะใช้กระตุ้นม้วนเวทลงไปที่ทั้ง 4 ข้างของวงแหวนครับ”
“ถ้าเป็นพวกคนที่ใช้เวทได้บ้างก็จะใช้เวทกระตุ้นการใช้งาน ปล่อยมานาเข้าไปในแผ่น” แอริสว่า “แต่สำหรับคนที่ใช้เวทไม่ได้ มีวิธีกระตุ้นที่สิ้นเปลืองนิดนึง คือ ให้ขว้างผลึกแกนมอนสเตอร์เข้าไปตรงกลางวงแรงๆครับ แล้วก็จะกระตุ้นได้เหมือนกัน”
รอนลองถามดูจนแน่ใจว่า สำหรับคนที่ใช้เวทไม่ได้เลยก็สามารถวาดวงแหวนเวทใช้งานเองได้ ขอเพียงแค่ว่ารู้รูปแบบที่ถูกต้อง และวาดอย่างถูกหลักเท่านั้น
รอนเลยขอดูหนังสือวงแหวนเวทที่แอริสพกมา จากนั้นก็จัดการใช้มือถือถ่ายรูปทั้งหมดเพื่อเอาไปศึกษาดู
“แต่จะว่าไปคุณรอนมีฝีมือต่อสู้เยอะอยู่แล้วนะครับ ผมว่าวงแหวนเวทอาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ก็ได้ เพราะพวกนี้มันใช้เวลาเตรียมตัวเยอะแล้วก็เปลืองเหมือนกัน”
“ผมมีฝีมือ?” รอนถามงงๆ
“ก็ตอนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งเข้ามา แล้วต่อยเตะ … จังหวะในการออกหมัดและเตะทั้ง 4 ครั้งเร็วมาก แต่ว่าคุณรอนก็หลบได้หมดอย่างกับมีตาหลังยังไงยังงั้นเลย”
รอนไม่ได้ตอบอะไรแค่ยิ้มๆให้
หลังกินอาหารเย็นเด็กหนุ่มไปนอนพักในขบวนของชาวบ้าน เขานั่งฟังเบรเซอร์กำลังเล่านิทานให้เด็กๆฟัง มาเรียกำลังดูแลโรล่าที่ยังเจ็บชายโครงอยู่ ส่วนเขาค่อยๆคิดว่าทำไมตอนที่มาเรียเข้ามาด้วยความโกรธนั่นถึงมีสัญญาณแบบนั้นขึ้นมา
กลับกัน ตอนที่เขาซ้อมกับคุณพอล หรือตอนที่สู้กับพวกกุ๊ยในอุงโมงค์ ไม่เห็นมีอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลย
รอนคิดอยู่นานแต่คิดไม่ออก หรือว่ามันจะเป็นสกิลที่ได้มาจากการศึกษาร่างกายออร์ค จะว่าไปออร์คก็รูปร่างเหมือนมนุษย์ ….
รอนคิดเอาเองแบบนั้นเพราะว่าเขามั่นใจว่าที่ผ่านมาเขาสู้กับมนุษย์ไม่มากเท่ากับสู้กับมอนสเตอร์ แถมเขาไม่เคยไปสนใจพวกกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ ไม่เคยไปชำแหละศพแบบที่ทำกับซากศพออร์ค
เด็กหนุ่มไม่ได้ค้นหาคำตอบเรื่องนี้ เขาข้ามไปเรื่องถัดไป
เรื่องวงแหวนเวท … ในเมื่อเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์เองได้ก็มีแต่ต้องพึ่งการใช้วงแหวนนี้เท่านั้น … แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเห็นในตอนนี้คือเรื่องขนาด
ใช่แล้ว ขนาดของม้วนเวทที่พกพา
เพราะม้วนหนังที่รอนเห็นเมื่อครู่ ขนาดใหญ่เท่ากระดาษหนังสือพิมพ์1คู่
ผลึกแกนมอนสเตอร์ที่จะใช้ในการสร้างวงแหวนเวทขนาดนั้นต้องเปลืองเอามากๆ
แถมขนาดใหญ่แบบนั้น พกพายาก ถ้าตอนพกพาพกไม่ดี ไปหักหรือพับเข้าจนกาวที่ใช้ยึดผงเข้ากับแผ่นหนังหลุดออก วงแหวนเวทก็จะเสียไปเลย
เรื่องถัดมา คือการเช็คสกิล
“สเตตัส” รอนพูดขึ้น โดยในใจนึกถึงพลังเวท
[มานา 0/0]
“สเตตัส” รอนพูดขึ้น คราวนี้เขานึกถึงพลังชีวิต
[พลังชีวิต 61/61]
“สเตตัส” รอนพูดขึ้นอีก แต่ครั้งนี้เขานึกถึงสกิลในการใช้อาวุธ
[Edge weapon Lv 5 10/100]
[Blunt weapon Lv 4 87/100]
[Range weapon Lv 3 89/100]
“สเตตัส” รอนพูดอีก คราวนี้เขานึกถึงภาษาไทย
[อาวุธมีคม ระดับ 5 10/100]
[อาวุธกระแทก ระดับ 4 87/100]
[อาวุธยิงระยะไกล ระดับ 3 89/100]
“สเตตัสทั้งหมด”
……. ไม่มีอะไรโผล่ขึ้นมา
“สเตตัส พละกำลัง ความฉลาด ความรู้ ความว่องไว ” รอนพูดถึงค่าความสามารถอื่นๆที่เขานึกได้ในเกม … ซึ่งนอกจาก[ความรู้]ที่เขารู้ว่ามีสกิลนี้ (เพราะต้องใช้เปิดประตูเวทมนตร์ในวันแรกที่ข้ามโลกมา) ตัวอื่นยังไม่เคยปรากฎขึ้นมา
[ความรู้ระดับ 18]
…. ขึ้นมาเพียงแต่ความรู้เพียงอันเดียว ….
ดูเหมือนว่าเมื่อพูดคำว่าสเตตัส มันจะขึ้นสิ่งที่เขาอยากจะรู้ข้อมูลขึ้นมา แต่ว่าก่อนจะเรียกสเตตัสนั้นๆขึ้นมาได้จะต้องมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่เขาก็ยังไม่รู้ชัด ….
เขาอยากจะไปถามแอริส … แต่ตระหนักได้ว่า เรื่องการเรียกสเตตัสของตนเองขึ้นมา ต้องไม่ใช่สิ่งปกติที่ทุกคนทำได้
ทำไมน่ะหรือ
ก็เพราะแม้วิธีดูค่ามานาพลังเวทของแต่ละคน แอริสยังอธิบายมาหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธียุ่งยาก ต้องใช้เครื่องมือ หรือแม้แต่เสี่ยงอันตรายแบบที่เพิ่งทำไป
ถ้าคนในโลกนี้ส่วนใหญ่ทำได้ คุณแอริสควรจะบอกออกมาแล้ว
แต่นี่แสดงว่ามันไม่ใช่วิธีปกติที่คนใช้กัน …. ซึ่งรอนมั่นใจว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับ “ลูกแก้ว” ในห้องศิลา ที่เขาดูดซับเข้ามาในตัวแน่ๆ และเมื่อคำนึงถึงว่าห้องศิลานั้นถูกปกป้องด้วยประตูเวทมนตร์ มันย่อมเป็นห้องที่มีความสำคัญบางอย่าง … ซึ่งถ้าบอกออกไปแล้วมันดันเป็นสถานที่หวงห้ามสำคัญของทางการ
ทหารทั้งกองร้อยรอบๆคงรุมจับเขาแน่ๆ
ปัญหาต่อไป คือเรื่องอาวุธของโลกนี้
วันนี้ตอนที่สู้กัน เขาสังเกตสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติ คือ อาวุธของออร์คที่สู้กับเขาและนายกองโยฮัน “แตก” เสียหายมากผิดปกติ
เด็กหนุ่มหยิบดาบเหล็กเล่มหนึ่งขึ้นมา เป็นดาบสั้นที่ออร์คใช้ในวันนี้ ดาบยาวประมาณสองฟุตมีรอยแตกบิ่นลึกหลายจุด และตรงส่วนปลายของมันคือรอยแตกหักกระเทาะออกไป
แม้รอนจะไม่ใช่คนที่สนใจคลั่งไคล้อาวุธมากนัก แต่เขาก็รู้ว่าแม้แต่ที่โลกของเขา ดาบเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งแค่ไหน เมื่อประดาบกับดาบเหล็กหรือบรอนซ์ ก็จะเกิดรอยบิ่นที่ดาบทั้งสองฝ่าย
และดาบฝั่งที่แย่กว่าก็จะไม่ถึงกับหักขนาดนี้
แต่นี่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่เขามาที่โลกนี้ เขาเห็นดาบและเกราะที่แตกหักมากกว่าปกติ
รวมถึงมีดสแตนเลสที่เขาให้กับโรล่า รอยบิ่นแตกของมันก็น้อยกว่าที่ควรจะเป็น … ไม่สิ ต้องบอกว่ามันมหัศจรรย์มากที่เด็กสาวสามารถใช้มันได้จนถึงตอนนี้โดยที่มีดยังไม่หัก
เขาแปลกใจเพราะรู้ว่าแสตนเลสไม่ใช่ของที่เหมาะในการทำอาวุธแบบปะทะ เพราะว่าถ้าแรงกระทำมากพอมันจะหัก …. เหมือนกับที่รอนสามารถใช้มีดดาบเหล็กฟันดาบญี่ปุ่นสแตนเลสจนหักได้ที่อุโมงค์ เพราะว่าดาบสแตนเลสมันเปราะ
เปราะ …เดี๋ยวนะ … ใช่แล้ว
เด็กหนุ่มมองดูดาบออร์คในมือ … เขาคิดสมมุติฐานหนึ่งขึ้นมาได้ แม้จะยังพิสูจน์ตอนนี้ไม่ได้แต่ก็น่าจะทดลองดู ….
รอนเก็บดาบลงไปในกระเป๋า …เขาจะเอามันกลับไปที่โลกด้วย
ตอนนี้เขาคิดได้แล้ว เขาจะทบทวนเรื่องในระหว่างวันทั้งหมด จดปัญหาที่จะต้องแก้ไขหรือหาคำตอบลงในมือถือ จากนั้นพอกลับไปที่โลกเขาก็จะได้หาคำตอบหรือหาทางแก้โดยไม่ลืม
** ** ** ** ** **
เช้าวันพฤหัสบดี รอนไปโรงเรียนแต่เช้า ในกระเป๋านักเรียนมีดาบเหล็กออร์คห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ และผลึกแกนมอนสเตอร์อีก 4 อัน
“สวัสดีแพท” รอนทักเด็กสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
“สวัสดี” แพทตอบก่อนจะล้วงหยิบเงินจากกระเป๋าให้ 500 บาท
“หือ ค่าอะไร?”
“พ่อเราฝากมาให้ ค่าผลึกแก้วสีแดงที่นายเอาให้พ่อเราไง” เด็กสาวตอบ “นี่ไง พ่อเราเอามาทำเป็นจี้ให้เราห้อยคอด้วย”
แพทยกจี้ห้อยคอที่ทำจากผลึกสีแดงที่ถูกเจียระไนจนเป็นเหมือนพลอยออกมาให้ดู
“อ้อ ค่าผลึก … ยังดีนะเนี่ยที่พ่อเธอฝากมา ไม่ได้โอนเข้าบัญชี ไม่งั้น …………..” รอนพูดแล้วหยุดลงเมื่อคิดได้ว่าไม่ควรบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ แต่ว่าช้าไปแล้ว เพราะแพทนั่งรอฟังอยู่ทั้ง2หู
“ไม่งั้นอะไร”
“คือ”
“เล่ามา” เด็กสาวจ้อง
รอนเลยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง … ที่กวินและเอกชัยนัดให้ไปคุยที่ดาดฟ้า ไปจนถึงการที่เขาเอาบัตรเอทีเอ็มให้กับทั้งคู่ไปแล้วไม่ต้องมายุ่งกันอีก
แพทนั่งมองหน้าด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก
“รอน …. เราถามหน่อยนะ … เธอให้บัตรพวกนั้นไปได้ยังไง พวกนั้นมันหักหลังเธอนะ”
“คือ …… คือ ตามความคิดเรา กวินกับเอกชัยสองคนนั้นอาจจะถูกบังคับมาจริงๆ แล้วที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะจำใจ”
“แล้วถ้าหากสองคนนั่นหักหลังเธอจริงๆขึ้นมา เธอให้บัตรเอทีเอ็มไปพวกนั้นมันไม่เบิกเงินไปหมดเหรอ”
“ในนั้นมีเงินไม่เท่าไหร่ ถ้าพวกนั้นไม่คืนเงินเราก็จะได้รู้ว่าพวกนั้นเป็นคนแบบไหน”
“แล้วบัตรที่เธอให้ไป เป็นบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเอทีเอ็มเดบิต”
“บัตรเอทีเอ็มเดบิต …. อ๊ะ! ” เด็กหนุ่มเพิ่งนึกออก
“นั่นไง …. แล้วถ้าพวกนั้นเอาเลขหลังบัตรไปใช้จะเป็นยังไง แล้วเธอสมัครOnlineไว้ไหม เกิดวันหลังพวกนั้นเอารหัสเธอไปใช้เธอก็เจอขโมยเงินไปเรื่อยๆไม่รู้ตัว” แพทหัวร้อนเต็มที่
“งั้นเดี๋ยวเราจะไปปิดบัญชี”
“รอน ….. นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะ เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเอาบัตรเดบิตไปให้จนเราเตือน … เธอยอมให้คนที่ทรยศเธอมาก่อนเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงเงินของเธอแบบนี้ไม่ได้นะ”
“แพท … แต่เรายังไม่รู้นะว่าจริงๆกวินกับเอกชัยหักหลังเราจริงหรือเปล่า ทั้งหมดคือข้อสันนิษฐานนะ แถมเรื่องที่ว่าพวกเขาเล่นพนันกับบอกที่อยู่ของเราให้พวกกุ๊ยนั่น ก็เป็นสองคนนั้นบอกออกมาเอง”
เด็กสาวอึ้งไป …. รอนพูดไม่ผิด เพราะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเพียงว่า
1. ในวันนั้นรอนบอกที่อยู่กับกวินไป แล้วไปเจอดักทำร้าย แล้วแพทเป็นคนบอกเรื่องสงสัยว่าสองคนนั้นเล่นพนัน
2. กวินและเอกชัยเป็นคนเรียกรอนไปแล้วสารภาพเอง และบอกว่าพวกตนโดนบังคับ
ดังนั้นในสายตาของรอนก็อาจจะโมโหแต่ว่าถ้าเขารักเพื่อนมาก ข้อเท็จจริงแค่มันจะโดนหั่นเหลือแค่ว่า “โดนบังคับจึงจำใจทำ”
“รอน … เราพอจะเข้าใจที่เธอบอกนะ แต่เธอรู้ตัวไหมว่า ถ้าเป็นคนอื่นมองเข้ามาหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เธอเล่าเลย”
“แล้วเธอเชื่อเราไหม”
“เราเชื่อ … เพราะเธอซื่อจนเซ่อ” แพทตอบ “เธอรีบไปทวงบัตรคืนจากสองคนนั่นมาก่อนแล้วไปเปิดบัญชีใหม่ … ปิดบัญชีนี้ไปเลย”
รอนนั่งก้มหน้าเงียบไม่พูดอะไร … เขารู้สึกสับสนในตัวเองบ้าง
ใจหนึ่งเขายังเข้าข้างตัวเองว่ากวินและเอกชัยอาจจะไม่ได้ตั้งใจ … แต่ก็อย่างที่แพทบอก หากมองจากมุมมองของคนนอกเข้ามา ก็คงยากที่จะมีคนเข้าใจเขา
กริ๊งๆๆๆๆๆๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น รอนเปิดหน้าจอดู เป็นเบอร์ที่คุ้นๆแต่ไม่ขึ้นชื่อ
“ ฮัลโหล …. อ๋อ ได้ ได้ งั้นเดี๋ยวเราไปเอา ”
รอนวางสายไป
“ใครเหรอ”
“เอกชัยโทรมา บอกว่าตอนนี้หาเงินมาคืนเราได้แล้ว จะให้เราไปเอาบัตรเอทีเอ็มกับเงินคืนได้”
“นัดที่ไหน” แพทบอก “เดี๋ยวเราไปด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวเธอไปตกลงอะไรโง่ๆกับเค้าอีก”
“โอเคๆ นัดที่ใต้ตึกเรียนฝั่งม.ปลายแหละ”
รอนเดินออกจากห้องเรียนโดยมีแพทเดินตามไปห่างๆ …. ระหว่างทางเดินทั้งคู่ผ่านครูและนักเรียนหลายคน
“รอน …. ช่วงนี้เธอไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกหรือเปล่า” แพทเดินเข้ามาใกล้แล้วถาม
“เปล่านี่ … ทำไมเหรอ”
“คือเราสองคนเดินมาตามทางเดิน … พวกเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ไม่มีใครสนใจพวกเราเลย แต่ว่าพวกครูชั้นม.ต้นทุกคนหยุดมองเธอกันหมดเลย
“หืม? ไม่มีอะไรมั้งแพท”
“รอน … เราว่าเธอไม่ต้องไปตามที่เอกชัยนัด เราว่ามันแปลกๆนะ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่าแพท” รอนบอก “แล้วนั่นเอกชัยกับกวินยืนอยู่ตรงนั้นเขาเห็นพวกเราแล้ว”
แพทรู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก … เธอจับที่จี้ห้อยคอโดยไม่รู้ตัว … ครู่หนึ่งผงสีขาวๆก็ค่อยๆหล่นลงไปที่พื้น
เด็กสาวรู้สึกประหลาด ความรู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อครู่นี้อธิบายไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันมีทิศทาง! เธอรีบหันหน้าไปทางทิศที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี
บนระเบียง ครูปรียาถือโทรศัพท์มือถือ และยกหันตามรอนที่กำลังเดินอยู่
ครูดุษฎีครูประจำชั้น นั่งอ่านหนังสือพิมพ์แต่มองมาทางนี้ …. ครูดุษฎีไม่เคยมานั่งตรงนี้ตอนเช้า!
ครูเทพ ครูฝ่ายปกครอง ไม่ได้รอดักนักเรียนมาสาย แต่ยืนอยู่ตรงบันไดและหันมามองรอนอยู่
“รอน หยุด อย่าเข้าไป” แพทดึงมือไว้ แต่เอกชัยกับกวินเดินเข้ามา
“นี่บัตรของนาย แล้วก็เงินที่เราเอามาให้” กวินยัดเงินและบัตรเข้ากระเป๋าเสื้อ
รอนพยักหน้า
“แล้วนายอย่าทำอะไรเราเลยนะ” กวินพูดต่อ
“เอ๊ะ!”
ความรู้สึกแปลกๆบอกให้แพทมองไปที่กระดุมเสื้อของกวิน มีกล้องเล็กๆโผล่ออกมาตรงข้างกระดุมเม็ดที่ 2
และยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรต่อ แขนอีกข้างของรอนก็ถูกดึงเอาไว้ ครูดุษฎีนั่นเอง
“รอน ครูไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้”
“เอ๊ะ!!!”
น้ำเสียงครูดุษฎีดูสั่นเหมือนคนผิดหวัง … ที่อีกด้านนึง ครูเทพและครูปรียาเดินมา
“ตามครูไปที่ห้องฝ่ายปกครอง” ครูเทพพูด
“ไปทำไมครับ” รอนถามอย่างงงงัน
“ไปคุยเรื่องเล่นพนัน กับการขู่กรรโชกเอาเงินจากเพื่อน”
แพทยืนมองครูทั้ง3พาตัวรอนไปที่ห้องฝ่ายปกครองโดยทำอะไรไม่ได้ …. แล้วความรู้สึกนึกก็แว้บขึ้นมา
“ต้องบอกพ่อ พ่อต้องช่วยได้แน่ๆ”
เด็กสาวรีบยกโทรศัพท์มือถือมากดทันที
** ** ** ** **
ในห้องฝ่ายปกครอง รอนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงกลาง กวินและเอกชัยนั่งที่มุมห้อง รอบๆมีครูแผนกม.ต้นคือครูปรียา ครูดุษฎี กับครูอีก 3 คน มีครูเทพฝ่ายปกครองม.ต้น บราเดอร์สมนึก และนักจิตวิทยาของโรงเรียนนั่งร่วมฟัง
กวินและเอกชัยเล่าเรื่องทั้งหมดของฝั่งตนเองไปแล้ว และรอนก็เล่าเรื่องเวอร์ชั่นของตนให้ฟังบ้าง หลังจากฟังเรื่องที่รอนเล่าแล้ว ครูๆทั้งหลายก็มองหน้ากันแล้วส่ายหน้า
“รอน … เธอรู้หรือเปล่าว่าที่เธอพูดออกมามันฟังแล้ว ………. ไร้สาระมาก” ครูปรียาพูด “จริงๆทุกคนก็เห็นแล้วว่าเรื่องที่เล่ามาจากทั้งสองฝ่ายมันต่างกันแค่ไหน ของเด็กสองคนนั่นฟังยังไงก็ปกติเป็นเหตุเป็นผล พูดจาฉะฉาน แต่ของเด็กคนนี้” เธอชี้หน้ารอน “พูดตะกุกตะกัก เรื่องที่เล่ามาไม่ปะติดปะต่อ ไม่น่าเชื่อสักนิด ไม่กล้าสู้สายตาครู เรื่องแต่งแก้ตัวชัดๆ”
“ครูปรียา ใจเย็นก่อนค่ะ” นักจิตวิทยาโรงเรียนเตือน
“ก็ลองนึกดูดีๆนะคะ กวินและเอกชัยบอกว่าเขาถูกนายรอนที่ติดเกม ชักชวนไปเล่นเกมแล้วก็ไปพนัน จนกระทั่งไปแพ้แล้วต้องจ่ายเงินให้อีกฝ่าย จากนั้นก็บังคับให้เอาเงินเข้าในบัญชี ถ้าไม่ทำจะฟ้องครู …. แต่สองคนนี้ไหวตัวทันเลยมาบอกพวกครูก่อน แล้วดัดหลังจ่ายเป็นตัวเงินสดให้เป็นหลักฐาน”
“ส่วนนายรอนกล่าวหาว่า เด็กสองคนนี้ไปพนันเล่นเกมออนไลน์แล้วอ้างชื่อเขา จากนั้นให้ทางฝั่งนั้นมาดักทำร้ายแต่ก็หนีมาได้ แล้วพอเสร็จแล้วสองคนนี้ก็มาขอโทษ แล้วขอร้องให้นายรอนช่วย … จากนั้นนายรอนก็ใจดียอมช่วยแล้วยกบัตรเอทีเอ็มให้ไป” …. ครูปรียาพูด “ในโลกนี้จะมีเรื่องงี่เง่าแบบนี้เหรอคนทำผิดจะกล้ามาบอกครูให้จับฝ่ายที่ถูกต้อง ตลกละ ครูคนอื่นว่ายังไง…ฟังแล้วมันน่าเชื่อมากเหรอคะ”
ครูอีก 3 คน มองหน้ากันแล้วส่ายหน้า
“ครูดุษคะ ครูว่ายังไง” ครูปรียาถาม “ครูดุษเป็นครูประจำชั้นของนายคนนี้ คิดว่ายังไงบ้าง”
ครูดุษนิ่งไม่พูดอะไร …. ก้มหน้ามองพื้น ถึงเขาจะเชื่อรอนมากแค่ไหน แต่เรื่องที่เล่ามามันแปลกเกินไป
มีที่ไหน คนเจอเพื่อนหักหลัง แล้วจะให้บัตรเอทีเอ็มไปกดเงินแล้วค่อยเอามาคืน
แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องจริง ทำไมพอโทรไปนัดมารับเงิน กลับมาตามนัด
“ครูเทพก็เห็นด้วยใช่ไหมคะ ว่าเรื่องของนายรอนมันไร้สาระ”
ครูปรียาหันไปถามครูเทพ …. ครั้งที่แล้วที่รอนได้คะแนนสูงผิดปกติ ครูเทพก็สงสัยเด็กคนนี้อยู่เหมือนกับเธอ
“ผมคิดว่ามันก็เป็นไปได้อยู่ทั้งสองฝ่าย” ครูเทพบอก
“ครูเชื่อเรื่องไร้สาระที่หมอนี่เล่าด้วยเหรอ” ครูปรียาแค่นเสียง
“เอางี้ครู ผมบอกในอีกมุมแล้วกัน … ลองนึกภาพตามผมนะ เด็ก 3 คนเป็นเพื่อนสนิทตัวติดกันมา 3 ปี วันนึงคนนึงเจอคนดักทำร้าย แล้ววันถัดมาเพื่อนก็มาร้องไห้สารภาพว่าทำไปเพราะความจำเป็น และไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือรุนแรง ……………. จากนั้นขอร้องขอยืมเงิน ด้วยความใจอ่อน เลยให้ยืม …. แต่เนื่องจากตัวเองไม่มีเงินติดตัวเลยยกบัตรเอทีเอ็มที่ตนเองรู้ว่ามีเงินไม่มากให้ไปกดเอาเอง แล้วก็อย่ามายุ่งกันอีก”
“ ยกบัตรเอทีเอ็มให้ไปกดเอง” ครูปรียาบอก “ไร้สาระ … คนที่หักหลังกันมาหมาดๆ มีใครโง่ให้บัตรเอทีเอ็มพร้อมรหัสไป”
“No No No ครูปรียา … คิดใหม่นะ ถ้าเป็นตามที่นายรอนบอก เขายังไม่ชัวร์ว่าเพื่อนหักหลังหรือทำเพราะจำใจ แต่ความรู้สึกน่าจะเป็นไม่อยากเห็นหน้ากันอีกแล้ว …. ถ้ายังห่วงเพื่อนอยากช่วยเพื่อนแต่ไม่อยากเจอหน้ากันแล้ว ใครที่ไหนมันจะไปกดเงินแล้วเดินกลับเอามาให้ …. พอเห็นว่าเงินในเอทีเอ็มมีไม่เยอะ ก็ยกบัตรให้ไป ให้ไปให้พ้นๆหน้า แล้วเอาบัตรมาคืนก็เปลี่ยนรหัส”
“มันจะมีคนแบบนี้เหรอคะ ดิฉันไม่เคยเห็น”
“ผมเคยเห็น” บราเดอร์สมนึกบอก
“ดิฉันก็เคย” นักจิตวิทยาโรงเรียนพูด
“ผมก็เคย ปีนึงหลายคนด้วย” ครูเทพบอก “ครูคงไม่ทราบว่าผมอยู่ฝ่ายปกครองเจอเรื่องพวกนี้บ่อยแค่ไหน ครูอย่าลืมสิว่านี่ นี่ นี่ พวกนี้คือเด็กอายุ 15 ไม่ใช่พวกเราหัวหงอกอายุ40-50 ความคิดความอ่านมันไม่ได้รอบด้าน แล้วเด็กที่คิดตื้นๆ เด็กซื่อๆ บางคนมันตามไม่ทัน”
“เด็กวัยนี้มันเพ้อฝันเรื่องเพื่อนเรื่องความไว้ใจ …. ถ้าเจอเรียกเข้าห้องปกครองแล้วกลายเป็นเพื่อนทรยศ เด็กมันทั้งผิดหวังที่เพิ่งรู้ว่าเพื่อนหักหลัง เด็กไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าจะเล่าอะไร ก็ตะกุกตะกักเล่าไม่ไปแบบนี้แหละ”
“แล้วครูปรียาก็คิดดีๆ ที่นายเอกชัยกับนายกวิน สองคนนี้บอกออกมาว่า นายรอนให้เอทีเอ็มมาเพื่อให้ฝากเงินเข้าผ่านตู้ … มันฟังขึ้นเหรอ … คือแค่ให้กดเงินมาให้มันก็จบแล้ว ผมว่าที่เด็กห้องครูปรียาทั้ง2คนนี้พูดมาประหลาดกว่าตั้งเยอะ”
ครูเทพพูดรัวไม่หยุดจนหน้าแดง ……. ความจริงเขาไม่เห็นด้วยที่ครูปรียาพาครูอื่นๆเข้ามาในห้องปกครองแล้วมากล่าวโทษนักเรียนแบบนี้ … ครูที่ไม่มีประสบการณ์พอมาฟังเรื่องราวแล้วตัดสินจากเรื่องราวโดยไม่หาหลักฐานเพิ่มเติมแบบนี้ทำร้ายเด็กมานักต่อนักแล้ว
ด้วยความเป็นครูปกครองมาหลายปี เขาเจอเรื่องที่แปลกกว่านี้หลายครั้งหลายหน เรื่องราวของพวกเด็กๆที่บางครั้งผู้ใหญ่ฟังแล้วดูเหมือนไร้สาระ เรื่องความเชื่อเพื่อน เรื่องความไว้ใจ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ที่ตามเพื่อนไม่ทัน … พอเจอพวกที่เจนโลกกว่าหลอกเอา ผลก็คือเรื่องราวที่ฟังจะดูโง่งี่เง่าอย่างคาดไม่ถึง
ความจริงครูเทพอยากจะยกตัวอย่างพวกมิวสิกวีดีโออกหักรักคุดเสียสละ พวกข่าวในหนังสือพิมพ์ …. หรือแม้แต่ว่าครูปรียาเองก็ทำไม่เหมาะสมพูด ‘ตัดสิน’ เด็กจากเรื่องราวโดยไม่สืบสวนหาหลักฐานต่อหน้าต่อตานักจิตวิทยา
แต่ช่างเถอะ
“งั้นครูจะบอกว่านายรอนถูก แต่เด็กของดิฉันทั้งสองคนผิดเหรอคะ” ครูปรียาถาม
“ไม่ใช่ … ผมแค่จะบอกว่า เรายังตัดสินอะไรไม่ได้ ก็ทำไปตามขั้นตอนปกติ แจ้งผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย ขอดูบัญชีธนาคารมาตรวจ เอาวงจรปิดดาดฟ้าโรงเรียนมาดู ถ้ายังตกลงไม่ได้ แจ้งความ ให้นักสังคมสงเคราะห์มาร่วมดู ไม่ใช่ไปตัดสินอนาคตเด็กกันเอง” ครูเทพพูด
“งั้นพวกเธอสามคนเห็นว่าไง ครูจะตามผู้ปกครองพวกเธอมาแล้วกันนะ”
“อย่าครับ” เด็กหนุ่มทั้งสามร้องขึ้นพร้อมๆกัน จนครูเกือบทุกคนประหลาดใจ
ถ้าไม่ผิดแล้วจะกลัวทำไม
ที่จริงถ้าเกิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธแล้วอีกฝ่ายยินดี มันอาจจะบอกอะไรได้บ้าง แต่ครูเทพเข้าใจดี เด็กบางคนไม่อยากแม้แต่จะให้ตามผู้ปกครองมาแม้ว่าตัวเองจะไม่ผิด
ก็อกๆๆๆ … เสียงเคาะประตูดังขึ้น เลขาฯบราเดอร์เดินเข้ามา
“บราเดอร์คะ ครูเทพคะ … มีคนมาขอพบค่ะ”
“ใครครับ บอกไปก่อนว่าตอนนี้พวกเรายังไม่ว่างครับ” บราเดอร์บอก
“คุณวิทวัส คุณพ่อของดาริกาชั้นม3 มาขอพบค่ะ บอกว่าเป็นเรื่องของนายรอนค่ะ”
รอนเงยหน้าขึ้น … พ่อของแพท มาทำไม?