ขอคุยกันเพียงแค่สองคน
โดย
หมอแมว
หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องรับแขกนั้นด้วยชุดนอนยาวบางเบา หากแต่ท่อนบนปกปิดไว้ด้วยเสื้อขนสัตว์หนาเหมาะสมตามสภาพอากาศที่หนาวเย็น เด็กหนุ่มยกมือออกมาจากอ่างน้ำร้อนแล้วเช็ดให้แห้ง
“ท่านมีอา สวัสดีครับ”
“ท่านรอนกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“ผมกลับมาวันนี้เองครับ” รอนตอบไป สายตาของหญิงสาวมองไปที่ชุดแต่งกายของเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ เครื่องแต่งกายแบบนี้ดูไม่เหมาะสมกับการบุกฝ่าสภาพความหนาวเหน็บในช่วงนี้เลย “ว่าแต่ช่วงหลายเดือนนี้ที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ”
มีอารินน้ำอุ่นใส่ถ้วยเลื่อนไปให้รอน ก่อนจะมองด้วยสายตาซุกซน
“ท่านรอนร้ายกาจนัก เพียงแค่เสียงในวันนั้นกลับทำให้ตระกูลใหญ่สามตระกูลที่อยู่มายาวนานถึงกับสั่นคลอน”
“หลังจากคืนวันนั้นที่มีเสียงสนทนาของผู้นำสามตระกูลดังขึ้นกลางดึก เช้าวันถัดมาก็เกิดการทุ่มเถียงกันของสามตระกูลใหญ่ …. ตระกูลซิลเวอร์รอนและแซนเดอร์ยกกำลังไปถึงหน้าบ้านแล้วกล่าวหาว่าตระกูลเซเลนิคหักหลัง ส่วนทางตระกูลเซเลนิคไม่ได้ตอบโต้อะไร … ตอนแรกชาวเมืองยังไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เมื่อทั้งสามตระกูลเกิดการขัดแย้งเช่นนี้คนส่วนมากก็ยึดถือเชื่อแล้วว่าเสียงที่ได้ยินกลางดึกนั้นคือเรื่องจริง ชาวเมืองทั้งหลายต่างไม่พอใจตระกูลซิลเวอร์รอนและตระกูลแซนเดอร์อย่างรุนแรง เพราะนอกจากในคำพูดเมื่อกลางดึกจะมีการระบุถึงแผนการขับไล่ท่านรอนออกจากเมือง ยังแฝงไปด้วยถ้อยคำที่ดูหมิ่นดูถูกชาวเมืองอย่างรุนแรง”
” จากนั้นชาวเมืองก็เลยตอบโต้ ด้วยการไม่เข้าซื้อสินค้าจากร้านค้าในเครือของสองตระกูลนี้หากแต่หันไปซื้อจับจ่ายจากร้านของตระกูลเซเลนิคและตระกูลเล็กๆอื่นๆ พอเวลาผ่านไปได้เพียงเดือนเดียวกิจการของสองตระกูลนับวันยิ่งซบเซา คนที่ทำงานให้ก็ถูกชาวเมืองต่อว่าไม่ยอมรับจนทยอยลาออก จนที่สุดหัวหน้าตระกูลถึงกับต้องเลิกกิจการขายร้านออกไป ” มีอาบอกแล้วหันมามองด้วยตาเป็นประกาย “จากนั้นพอร้านทั้งหลายถูกขายทิ้งจนหมดสิ้นแล้วและทั้งสองตระกูลอพยพย้ายออกจากเมืองไปแล้ว ร้านทั้งหลายก็ปรากฎว่าต่างติดป้ายชื่อร้าน ARMAMENT กันหมด … กลาสที่ชาวเมืองต่างรู้จักว่าเป็นเพียงพ่อค้าเร่ กลับเป็นผู้ซื้อกิจการทั้งหมดเอาไว้ “
“ชื่อร้าน ARMAMENT นี้ ใครๆล้วนรู้ว่าเกี่ยวข้องกับท่าน , กลาสเองทุกคนก็รู้ว่าเป็นคนที่นำยาของท่านรอนมาส่งให้ เพียงเท่านี้คนทั้งเมืองก็พอจะเดาได้แล้วว่าใครคือเจ้าของร้านที่แท้จริง”
รอนพยักหน้าให้โดยไม่ได้พูดอะไร … ที่เขานำเหรียญทองกลับไปเพียง400เหรียญ ก็เพราะที่เหลืออีกกว่าหมื่นเหรียญทองเขาได้ฝากฝังไว้ให้กับกลาสและเบรเซอร์ช่วยดูแล โดยสำหรับกลาส รอนได้ตกลงเอาไว้เรื่องให้เป็นตัวแทนในการเปิดกิจการภายในเมืองกาล่านี้ ส่วนเงินอีกส่วนก็ให้เบรเซอร์นำไปใช้เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูหมู่บ้านให้กลับมาดีดังเดิม
กลาสเองเป็นพ่อค้าที่มีอายุมากแล้ว การจะทำงานเป็นพ่อค้าเร่ต่อไปต้องเดินทางตรากตรำอาจจะไม่ไหว ดังนั้นเมื่อจู่ๆมีคนยื่นข้อเสนอพร้อมเงินลงทุนมาให้ และล่อใจด้วยส่วนแบ่งกำไร30% ต่อให้เป็นพ่อค้าที่โง่งมกว่านี้ก็ต้องหยิบฉวยโอกาสนี้เอาไว้
ส่วนเบรเซอร์เอง ก็รับเงินไว้ด้วยความยินดี เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อหมู่บ้านแล้วรอนยังบอกไว้ว่าจุดประสงค์ทั้งหลายทั้งปวงของการช่วยเหลือหมู่บ้าน ก็คือต้องการจะพำนักที่หมู่บ้านโอลเซ่น ดังนั้นชายชราจึงไม่ได้ปฎิเสธแต่อย่างใด
“เดี๋ยวข้าจะไปปลุกท่านพ่อก่อน” มีอาลุกขึ้น
“เดี๋ยวๆๆ ยังไม่ต้องก็ได้ครับ” รอนห้ามไว้ “เดี๋ยวอีก3-4ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ถึงตอนนั้นยังมีเวลาคุยกันอีกเยอะ”
“อ๋อ ข้าก็ตื่นเต้นจนลืมไปเลยว่าท่านรอนยังไม่ได้พักผ่อน ” หญิงสาวบอก “งั้นท่านรอนพักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวตอนสายๆจะข้าค่อยมาอีกครั้งหนึ่ง”
มีอาขอลากลับไปนอน ส่วนรอนที่ค่อยๆฟื้นตัวจากความหนาวก็มองไปรอบๆ ในห้องนี้ไม่มีอะไรให้ทำ ดังนั้นเขาจึงเปิดโทรศัพท์ขึ้น เปิดไฟล์หนังสือการใช้ดาบที่ถ่ายจากหนังสือในห้องศิลา แล้วค่อยๆหัดฝึกฝน ….นับตั้งแต่ข้ามมายังโลกนี้ เขาแทบไม่ได้อ่านหนังสือทั้งหลายที่เก็บได้จากห้องศิลานั้นเลยเพราะมัวแต่ยุ่งกับการต่อสู้กับมอนสเตอร์ ดังนั้นวันนี้จึงนับว่าเป็นโอกาสดีโอกาสแรกแล้วที่เขาจะได้ฝึกฝน
รอนเปิดตำราดาบขั้นพื้นฐาน …นี่เป็นหนังสือเล่มเดียวที่เขาได้อ่านและฝึกตามตั้งแต่ข้ามมาที่นี่ นอกจากการใช้ดาบประกอบกับโล่ที่อ่านค้างไว้แล้ว ในนี้ยังมีการใช้ดาบในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ ภายในนี้แยกเป็นท่าในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ขนาดเล็ก 3 ชุด และขนาดกลาง อีก3ชุด
รอนให้ความสนใจกับการฝึกท่าดาบเหล่านี้ เพราะเมื่ออ่านไปแล้วเขาก็พบว่าถ้าหากก่อนหน้านี้เขาได้ใช้ท่าเหล่านี้ในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่างๆ ก็คงกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหลายได้ง่ายกว่าที่เคยทำมาแล้ว
รอนลุกขึ้นแล้วเลื่อนโต๊ะเก้าอี้ออก จัดพื้นที่ตรงกลางให้ว่างไว้จากนั้นฝึกท่าการต่อสู้โดยจินตนาการว่ากำลังสู้กับก็อบลินอยู่
เด็กหนุ่มย่างเท้าตามหนังสือ และขยับแขนรวมทั้งร่างกายท่อนบนตามช้าๆจนครบท่าที่หนึ่ง ฟาดฟันก็อบลินในจินตนาการ … จากนั้นหยุดพักไปดูท่าที่สอง ย่างเท้าตามและขยับแขนขา หมุนตัว ฟาดฟัน … หยุด เดินไปดูท่าที่สาม แล้วเดินย่างก้าวเท้าตาม ยกแขนตวัดดาบตามคู่มือ จบครบทั้งสามชุดเป็นหนึ่งรอบ
จากหนึ่งรอบ เป็นสองรอบ จากสองรอบ เป็นสามรอบ
และเมื่อเข้ารอบที่สี่ รอนไม่จำเป็นต้องเปิดโทรศัพท์แล้ว หากแต่สามารถฝึกเองได้โดยไม่ต้องกลับไปมอง และตอนนั้นเองที่เขารู้สึกได้
“เอ๊ะ … ท่าพวกนี้มันเชื่อมต่อกันได้” รอนพูดกับตัวเอง
เมื่อจดจำท่าได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน
เมื่อไม่ต้องอ่าน ก็ไม่จำเป็นต้องหยุด
เมื่อไม่จำเป็นต้องหยุด ก็พบว่าเมื่อสิ้นสุดท่าชุดที่1 ก็สามารถต่อเนื่องไปยังท่าชุดที่2ได้ และเมื่อจบท่าชุดที่2 แขนและขาก็อยู่ในท่าที่พร้อมเตรียมเปลี่ยนไปใช้ท่าชุดที่3ได้
นอกจากนี้ ท่าชุดที่3 ที่ใช้สู้กับมอนสเตอร์ขนาดเล็กยังสามารถใช้ต่อเนื่องไปกับท่าต่อสู้ชุดที่1ที่ใช้ออกกับมอนสเตอร์ขนาดกลางได้
” แบบนี้เราก็ใช้ Combo ได้สินะ” รอนยิ้มให้กับตัวเอง พาลคิดไปว่าที่ตำราทำท่าให้ต่อเนื่องกันก็เพื่อเอาไว้ให้สามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่องได้เป็นแบบComboเหมือนในเกม ทำให้รอนพยายามฝึกท่าทั้ง6นี้ต่อเนื่องกันในคราวเดียว
สิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มไม่รู้มาก่อนก็คือ จริงๆแล้วการทำคอมโบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะศัตรูที่ไหนจะตกอยู่ในสภาพที่ถูกโจมตีต่อเนื่องได้แบบนั้น แต่ว่าที่ท่าในหนังสือฝึกหัดดาบนั้นต่อเนื่องกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหากแต่เป็นความตั้งใจของผู้แต่งที่ทำเพื่อให้คนที่ฝึกสามารถฝึกฝนท่าต่างๆได้ต่อเนื่องกันในคราวเดียว
ต้องทราบก่อนว่าท่าทางการต่อสู้ทั้งหลายนั้นแม้จะรู้เข้าใจหรือจดจำได้ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ออกได้ หากแต่ต้องอาศัยการฝึกฝนให้สมองเกิดการจดจำเพื่อให้กล้ามเนื้อต่างๆสามารถทำงานได้สัมพันธ์กันไม่ติดขัด ซึ่งการจะทำได้ก็ต้องมีการฝึกฝนหลายๆครั้ง
แต่จะฝึกเพียงท่าเดียวท่าเดิมซ้ำไปมาไม่ได้ เพราะการต่อสู้คือสิ่งที่พลิกแพลงไปมาตลอด ศัตรูไม่อาจบอกท่านว่ากำลังจะเข้ามาอย่างไร และท่านจะต้องใช้ท่าไหนในการต่อสู้โต้กลับ ดังนั้นวิธีที่หลายสำนักใช้กันคือการฝึกฝนท่าต่างๆเป็นชุดๆ 3 ท่าบ้าง 6 ท่าบ้าง 12 ท่าบ้าง 36 ท่าบ้าง ฝึกฝนวนเวียนไป บางครั้งสลับลำดับก่อนหลังของท่าชุดในการฝึกเพื่อให้สมองเกิดการพลิกแพลง แต่ที่ขาดไม่ได้คือการฝึกอย่างต่อเนื่องและจินตนาการว่าข้างหน้ากำลังมีศัตรูให้ฟาดฟันอยู่
เด็กหนุ่มฝึกฝนท่าทั้ง 6 ไปเรื่อยๆอย่างตั้งใจ เขาจินตนาการภาพตรงหน้าถึงก็อบลินหรือบราวนี่ที่กำลังกระโจนเข้ามาทำร้าย ก่อนที่จะขยับ หลบ รุก ฟัน ป้องกัน ไล่เรียงท่าไปเรื่อยๆอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่ทราบ แสงสว่างจากเบื้องนอกลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง แต่เด็กหนุ่มยังคงใช้ดาบในมือหวดอากาศอย่างตั้งใจ
‘ก็อกๆๆ’ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ท่านรอนตื่นแล้วหรือยัง ….. อ๊ะ” โยฮันโผล่หน้าเข้ามา “นี่ท่านรอนยังไม่ได้นอนเหรอ”
ผ้าปูเตียงที่ยังเรียบตึงในสภาพเดิมบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มที่กำลังฝึกดาบอยู่ฝึกตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งถึงตอนนี้
“ครับ … แต่ไม่เป็นไรครับ ผมนอนมาก่อนแล้ว” รอนตอบไป … ที่จริงเวลาเขาอยู่ที่โลกฝั่งนี้เขาไม่มีอาการง่วงนอนเลยต่างหาก
“งั้นเดี๋ยวข้าจะไปแจ้งกับท่านโซล่ากับท่านมีอาว่าท่านรอนตื่นแล้ว …” โยฮันบอก “เดี๋ยวข้าจะให้เด็กรับใช้เอาน้ำและผ้าเช็ดตัวมาให้ท่าน เสร็จแล้วไปพบกันที่ห้องอาหารนะครับ”
รอนกล่าวขอบคุณและเก็บดาบ เหงื่อไหลซึมทั่วทั้งตัวทั้งๆที่ในเวลานี้คือช่วงหน้าหนาวที่ภายนอกหิมะขาวโพลน อากาศภายในห้องอุ่นเล็กน้อยจากเหงื่อและความร้อนที่แผ่ออกจากร่างกายของเขา … สักครู่หนึ่งเด็กรับใช้ในปราสาทก็เอาถังน้ำและผ้าเช็ดตัวมาให้ หน้าหนาวเช่นนี้หากจะอาบน้ำก็ต้องเป็นน้ำอุ่นซึ่งออกจะยุ่งยากไปสักนิด หากแต่ใช้เป็นการเช็ดตัวออกจะเหมาะสมกว่า … เด็กหนุ่มรับถังน้ำมาแล้วมองไปที่ประตูซึ่งไม่มีตัวล็อค …
รอนวักน้ำเย็นๆในถังมาล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นถอดเสื้อและกางเกงออก ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามตัวและข้อพับเช็ดเหงื่อไคลอันเกิดจากการฝึกซ้อมตลอดทั้งคืนออกไป
‘ก็อกๆๆ’ “ท่านรอนตื่นแล้วหรือยัง” เสียงของมีอาดังจากหน้าห้องตามด้วยเสียงผลักประตู
‘ปึง’ เสียงประตูกระแทกไม้
“ผมกำลังเช็ดตัวอยู่ครับ” รอนร้องออกไป …
“อ้าว ขอโทษที ขอโทษที” มีอาพูดกลับมา “ งั้นเดี๋ยวเสร็จแล้วไปเจอกันที่ห้องอาหารนะคะ”
รอนพ่นลมออกจากปากอย่างโล่งใจ …. เวลาอ่านพวกไลท์โนเวลหรือเล่นเกมDating Sim ทั้งหลาย … เวลาเช็ดตัวหรืออาบน้ำในห้องของตัวละคร คือช่วงที่มักจะมีคนเปิดประตูเข้ามา …. ยังดีที่เขาเอาเก้าอี้ไปกั้นไว้แล้วไปยืนเช็ดตรงหน้าประตู ไม่งั้นล่ะก็ …………
เขาเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกจากห้อง … เด็กรับใช้ยืนอยู่ที่หน้าห้อง
“ผมใช้เสร็จแล้วครับ เก็บถังน้ำกลับได้เลย”
“ครับท่าน”
“แล้วเมื่อกี้ที่ท่านมีอาจะเข้ามา … ”
“ข้าบอกท่านมีอาแล้วว่าท่านรอนกำลังเช็ดตัวอยู่ครับ แต่ท่านมีอายังเปิดเข้าไปอยู่ดี”
“ …. “
“ ท่านรอนเคยไปทำอะไรให้ท่านมีอาโมโหหรือเปล่าครับ ”
“ …. ดูเหมือนจะมีครั้งนึงนะ ” รอนพูดเบาๆ
ดูเหมือนจะมีครั้งนึงที่ว่า ก็คือตอนที่เขาสู้กับมีอาในป่าเมื่อตอนที่เจอกันครั้งแรกที่เขาเอาชนะเธอได้ …. ดูเหมือนเขาจะพาตัวเองไปสู่อะไรที่ยุ่งยากแล้วรึเปล่านะ
รอนออกจากห้องรับรองแขกเดินไปที่ห้องอาหารของปราสาท อาหารต่างๆวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วโดยโซล่าและมีอานั่งรออยู่
“สวัสดีครับท่านโซล่า” รอนก้มศีรษะเล็กน้อย “สวัสดีครับท่านมีอา”
“อ้า … เชิญๆ ท่านรอนนั่งก่อน” โซล่าผายมือให้นั่ง โต๊ะนี้เป็นโต๊ะไม้ขนาดไม่ใหญ่มากพอนั่งได้ 6 ที่นั่ง รอนเลือกนั่งตรงข้ามกับโซล่า เจ้าเมืองยังไม่ได้ซักถามอะไรแต่เชิญให้เขากินอาหารก่อน เด็กหนุ่มจัดการอาหารตรงหน้าจนเรียบร้อยและรอให้คนรับใช้เก็บจาน ทั้งสามรอจนจานทั้งหมดถูกเก็บและคนรับใช้ออกจากห้องหมดแล้วจึงค่อยพูดคุยกัน
“ได้ยินว่าท่านรอนกลับเข้าเมืองมาเมื่อวาน … น่าเสียดายที่มาช้าไป 2 วัน ไม่งั้นคงได้ร่วมงานเทศกาลแล้ว” โซล่าบอก
“งานอะไรเหรอครับ” รอนถาม
“งานฉลองเทพแซทเทิร์นไง” มีอาเลิกคิ้ว “ อาณาจักรของเราจะจัดงานฉลองทุกปีช่วง15-23ธันวาคม”
โซล่าทำท่านึกได้ “อ้อ ข้าลืมไป ท่านรอนเคยบอกไว้ว่าไม่ใช่ชาวแอสคาลอน … งานเทศกาลนี้เป็นเทศกาลปลายปีที่มีเฉพาะในอาณาจักรแอสคาลอนเท่านั้น”
รอนค่อยๆนึก … งานฉลองเทพแซทเทิร์น น่าจะเป็น Saturnalia เป็นงานฉลองช่วงฤดูหนาวก่อนขึ้นปีใหม่ที่มีในยุคสมัยโรมัน ก่อนที่ภายหลังจะค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นงานคริสต์มาส
2วันก่อน … คือ 23 ธันวาคม ถ้าอย่างนั้นวันนี้ …
“วันนี้วันที่เท่าไหร่ครับ” รอนถาม
“วันนี้เหรอ … 25ธันวาคมไง” มีอาบอก
รอนคิดในใจ … แปลว่าการเลือก Synchronize คือการทำให้วันที่ของสองโลกตรงกัน … แม้เขาจะไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไร แต่ถ้าหากแพทจะข้ามมาฝั่งนี้เขาคงต้องให้แพทเลือก Synchronize ก่อน จะได้มาพร้อมๆกันได้
“ท่านรอนจะพักที่นี่สักกี่วันดี” โซล่าถามอย่างอารมณ์ดี
“ผมคิดว่าจะพักสักวันนึง แล้วพรุ่งนี้จะออกเดินทางไปหมู่บ้านโอลเซ่นเลยครับ” รอนบอก
“อืม น่าเสียดาย ท่านน่าจะพักสักหลายๆวันหน่อยจะได้เดินดูผลงานที่ท่านทำไว้” โซล่าเอ่ย “มีอาบอกท่านแล้วสินะ เรื่องตระกูลแซนเดอร์และซิลเวอร์รอนที่ต้องย้ายออกไปเพราะฝีมือของท่าน”
“ ครับ “ รอนยิ้ม “ ว่าแต่พวกนั้นรู้หรือเปล่าครับว่าเป็นฝีมือของผม”
“ จริงๆพวกนั้นก็สงสัยอยู่บ้าง เพราะว่าวันนั้นที่มีเสียงจากหอกระจายเสียง พวกตระกูลซิลเวอร์รอนและแซนเดอร์ได้ยกคนไปล้อมค้นหอกระจายเสียง แล้วก็พบม้วนเวทที่ท่านรอนใช้” โซล่าตอบ “ แต่ว่าสุดท้ายแล้วพวกชาวเมืองและทหารต่างบอกว่าตอนก่อนจะรบกับออร์ค ท่านรอนแจกม้วนเวทกระดาษให้ทหารและชาวเมืองใช้ด้วย สุดท้ายแล้วตระกูลเซเลนิคก็เลยตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอยู่ดี เพราะถ้าหากเป็นท่านรอนทำ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตัดเอาเสียงของผู้นำตระกูลเซเลนิคออกไป”
ไม่มีเหตุผลเรอะ …. เหตุผลนั้นมีแน่นอน คือเขาอยากให้ตระกูลเซเลนิคเป็นแพะรับบาปแทนเขานั่นแหละ
“ทีแรกสองตระกูลใหญ่ก็เข้าใจแบบนั้น จนกระทั่งกลาสกว้านซื้อร้านแล้วตั้งชื่อร้านว่า ARMAMENT ทุกคนก็เลยสงสัยว่าน่าจะเป็นฝีมือท่านรอน” มีอาบอก “เมื่อหลายวันก่อนทั้งสองตระกูลยังส่งคนเข้ามายื่นสาส์นประท้วงว่าท่านรอนทำเกินไป บีบบังคับไม่เหลือทางออกให้พวกเขา”
“ปล่อยพวกนั้นไปเถอะครับ …. ตอนที่ผมตัดสินใจทำแบบนี้ ผมก็เตรียมรับผลไว้แล้ว” รอนบอก “ และไม่แค่3ตระกูลใหญ่ … ผมคิดว่าหากทุกคนรู้ความจริง ในหมู่ชาวเมืองเองก็ต้องมีคนที่ไม่พอใจผมแน่ๆที่ทำแบบนั้นลงไป”
“ใช่แล้ว … ในหมู่ชาวเมืองมีคนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง บ้างมีคนรู้จักในตระกูลใหญ่ บ้างไม่พอใจเพราะมองว่าท่านรอนทำอย่างไม่ตรงไปตรงมา บ้างมองว่าท่านรอนลงมือหนักเกินความจำเป็น … แต่จำนวนคนที่ไม่พอใจก็ไม่มากนัก เพราะคนก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าท่านรอนเป็นคนลงมือจริงหรือไม่”
รอนไม่คิดอะไรมากกับความเห็นของชาวเมือง เพราะเขารู้ว่าทุกเรื่องทุกการกระทำ หากให้คนจำนวนมากตัดสิน จะต้องมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเสมอ … ยิ่งหากเป็นการออกความเห็นแบบไม่เปิดเผยตัวตน คนไม่น้อยพร้อมที่จะออกความเห็นที่รุนแรงตามมุมมองและแนวคิดของตน ซึ่งรอนคิดว่าไม่มีความจำเป็นใดๆจะต้องไปนั่งอธิบายให้กับคนที่คิดแบบนั้นเพราะว่าเสียพลังงานและไม่เกิดประโยชน์ และไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรให้ถูกใจคนทุกคนได้
และสำหรับพวก 3 ตระกูล รอนยิ่งไม่สนใจความเดือดร้อนของพวกนั้น
ในวันที่พวกนั้นบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของเขา , ทำลายความน่าเชื่อถือของท่านโซล่าและทหารหาญ , หรือแม้แต่การวางแผนจัดการเขาอย่างอยุติธรรม พวกนั้นมองว่าเป็นการทำเกินไปหรือไม่ ….
แล้วเมื่อเขาเพียงแค่ ‘ยืมศรคืนกลับผู้ยิง’ และไม่ได้แต่งแต้มอะไรมากไปกว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นพูด พวกนั้นกลับมาโวยวายว่าเขาทำเกินไป
เราถูกท่านย่ำยีท่านว่าชอบธรรม เราโต้กลับท่านท่านกลับร่ำร้อง
ถ้าคิดแบบนี้แล้วอยากจะเป็นคนดี ก็ต้องให้คนรุมเหยียบย่ำยีร่ำไป
รอนไม่ใส่ใจ เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังขึ้นเท่านั้น
“อ้อ อีกอย่างครับแล้วผมอยากจะแลกเงิน แล้วก็จะขอซื้อแกนมอนสเตอร์ด้วยครับ” รอนบอก “
“เรื่องแกนมอนสเตอร์นั้นไม่มีปัญหา ผลึกที่เหลือจากการทำยาในตอนนั้นพวกเราเก็บรักษาไว้ให้ท่านเผื่อว่าวันไหนท่านกลับมาเราก็จะมอบให้” โซล่าบอก “ส่วนแลกเงิน ? ท่านรอนต้องการเงินแค่ไหน”
“เรื่องเงิน ผมแค่อยากแลกเงินเป็นเหรียญเงินและทองแดงครับ ตอนนี้เงินแทบทั้งหมดของผมเป็นเหรียญทอง ถ้าจะไปซื้ออะไรระหว่างทางหรือในหมู่บ้านเล็กๆกลัวทางนั้นจะไม่มีเงินทอน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ได้ๆ เดี๋ยวข้าจัดการให้”
ทั้งสามคนคุยเรื่องทั่วๆไปกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่โซล่าจะขอตัวไปทำงาน … รอนเตรียมลุกตามออกไป แต่มีอาดึงแขนไว้
“ครับ ท่านมีอา?”
“ท่านรอน …. ข้าอยากจะสนทนากับท่านสักครู่”
“ครับ” รอนหันกลับไปมอง และทำท่ารอให้มีอาพูด
“ไม่ใช่ที่นี่” หญิงสาวตอบนัยน์ตากรุ้มกริ่มและมีรอบยิ้มเล็กๆ
“ตามข้ามา ข้าอยากคุยกับท่านกันแค่สองคน”