คลี่คลาย
โดย
หมอแมว
ชายวัยกลางคนวางบุหรี่ที่คาบไว้ลงกับจานรอง เขานั่งอ่านรายงานตรงหน้าทั้งสามชิ้นอย่างหนักใจ
รายงานชิ้นแรกคือเรื่องของเด็กหนุ่มที่ใส่หน้ากากดำคนนั้น หลังจากคลิปที่ได้จากวงจรปิดขนาดเล็กที่ซ่อนไว้ในห้องของเป๋งโมบายถูกส่งกลับไปที่สาขาใหญ่ ก็มีคำสั่งด่วนลงมาว่าไม่ว่าจะต้องพยายามแค่ไหนก็ต้องหาข้อมูลของคนๆนั้นมาให้ได้
การเสียสาขาย่อยของเป๋งโมบายไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้นดูเหมือนว่าทางระดับสูงของแก๊งค์จะรู้จักหรือมีจุดมุ่งหมายบางอย่างต่อเด็กหนุ่มลึกลับคนนั้น
รายงานชิ้นที่สองคือเรื่องพื้นที่ที่ว่างลง เดิมทีเขตของเป๋งโมบายถือเป็นเขตที่ค่อนข้างสงบ นักเลงในสังกัดแค่ทำหน้าที่เก็บค่าคุ้มครองจากร้านค้ากับเป็นแหล่งพักสินค้าผิดกฎหมายของเขตอื่น เลยไม่ได้มีคนเก่งๆมากนัก ยิ่งพอเจอจับไปพร้อมกันหมดในคราวเดียวเลยทำให้กิจการทั้งหมดของเขตนี้ชะงักงันไป
และก่อนที่เขาจะทันส่งคนเข้าไปรับช่วงต่อ ก็ปรากฎว่าแก๊งค์ข้ามชาติที่อยู่ในพื้นที่อยู่แล้วกลับค่อยๆคุมพื้นที่ขึ้นมา
โต้งมิวสิคยังแปลกใจอยู่ว่าแก๊งค์ต่างชาติที่ปกติทำแค่ธุรกิจสินค้าสีเทา จู่ๆทำไมถึงมีเงินและบารมีขึ้นมาได้เร็วแบบนี้ หรือว่ามันจะเกี่ยวพันกับเจ้าหนุ่มลึกลับนั่น
ความจริงตอนแรกเขาคิดว่าคำตอบอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพราะมีเบาะแสสำคัญที่เชื่อมโยงไปถึงเด็กหนุ่มหน้ากากดำนั่นได้ ก็คือนักข่าวที่นำเสนอข่าวแบบexclusive
ใครจะนึกว่ารายงานชิ้นที่สามนี่จะน่าหนักใจที่สุด จากที่เดิมข่าวมันนำเสนอยังกับว่าได้ข่าวมาอย่างรู้ลึกรู้จริง ไปจนถึงเจอโทรศัพท์ที่ถูกหนุ่มหน้ากากดำยึดไปอยู่ในครอบครองของนักข่าว จนคนในแก๊งค์ต่างเชื่อว่านักข่าวคนนี้รู้จักกับเจ้าหนุ่มนั่น
ใครจะไปคิดว่าทั้งหมดเป็นแค่การบังเอิญเก็บโทรศัพท์ได้ จากนั้นนักข่าวที่ชื่อธนัทอะไรนั่นก็ปะติดปะต่อเต้าข่าวเอาเอง
ที่แท้มันไม่ได้โกหกอะไรเลย บอกความจริงทุกอย่างตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่มันน่าสงสัยจนเกินไปเลยทำให้ไม่มีใครเชื่อ เขาสั่งให้ทรมานมันอยู่2วัน มันก็ยังยืนยันคำเดิม จนกระทั่งต้องไปเค้นถามจากคนอื่นๆที่ทำงานของมันจึงได้รู้ว่ามันพูดความจริง
“จรัญ เอาเจ้านักข่าวนั่นออกไปแล้วใช่ไหม” โต้งมิวสิคถาม
“ครับเฮีย ผมกำชับมันเรียบร้อยแล้วว่าห้ามปริปากเด็ดขาดเกี่ยวกับเรื่องที่เราเอาตัวมันมา” จรัญบอก
“ดีมาก แล้วสั่งคนของเราให้สืบข่าวเจ้าหน้ากากดำนั่นด้วย”
ที่หน้าสำนักงานข่าว ธนัทเดินสโลสเลเข้าไปที่ประตู ก่อนจะต้องชะงักเมื่อประตูถูกเปิดออก รุ่นน้องสองคนเปิดออกมาพอดี ในมือมีกระเป๋าใบใหญ่ ทั้งคู่มองหน้าธนัทอย่างเคืองๆก่อนจะเดินออกไป
“อะไรวะ เด็กสมัยนี้นี่เจอหน้าไม่ทักไม่ทาย” ชายหนุ่มบ่นอุบก่อนจะผลักประตูเข้าไป
“เฮ้ย อะไรวะ” ธนัทร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าที่นั่งทั้งหมดว่างเปล่า เหลือเพียงแต่จามร ผู้จัดการส่วน
“เกิดอะไรขึ้นวะจามร” ธนัทร้องถาม
“ยังจะมาถาม ก็ยุบแผนกไง” จามรตอบ “เพราะแกแท้ๆทำเรื่องยุ่งขึ้นมาจนได้”
“เรื่องยุ่ง?”
“ก็เพราะแกไปทำข่าวไอ้เป๋งแก๊งค์เมษาจนสำนักงานเจอบุก แต่ละวันคนของพวกนั้นมาเค้นถามจนพวกเราไม่เป็นอันทำงาน น้องๆก็ลาออกกันหมดสิวะ” จามรบอก “พอไม่มีคนทำงาน ก็ต้องยุบสิ”
“เฮ้ย ยุบได้ไง ทีมของเรากำลังไปได้สวยนะเว้ย ทั้งเพจ ทั้งช่วงข่าวกำลังมีคนตามเพียบเลย”ธนัทแย้ง
“ไปได้สวยบ้าอะไร เอ็งไม่รู้เหรอว่าข่าวโรงเรียนวันก่อนน่ะกำลังดราม่า ทางผู้ปกครองเด็กกำลังเอาเรื่องว่าเราตัดต่อภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเด็กนักเรียนให้ข่าวแก๊งค์”
“เดี๋ยวสิ มันจะดราม่าได้ยังไง ตอนนี้พวกนั้นมันน่าจะง่วนกับการกังวลแก๊งค์….” ธนัทพูดแล้วก็อึ้งไป
จริงสิ ตามแผนที่วางไว้ แม้ข่าวที่ตัดภาพใช้คำกำกวมจะสุ่มเสี่ยงต่อการเจอดราม่าหรือฟ้องร้อง แต่เขามั่นใจด้วยการนำเสนอข่าวจะทำให้เป๋งโมบายเข้าใจผิดและพุ่งความไม่พอใจไปที่เด็กๆ จนโรงเรียนและผู้ปกครองไม่มีเวลามาสนใจเขา
แต่ตอนนี้เป๋งไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครไปข่มขู่เด็กพวกนั้นแล้ว พ่อแม่และโรงเรียนจะมีเวลาตั้งตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“แต่เราไม่ได้ตัดต่อนะ ภาพทั้งหมดคือภาพจริง คำพูดทุกอย่างก็ตรวจสอบแล้วว่าฟ้องร้องไม่ได้”
“พอ ไม่ต้องพูดแล้ว เอานี่ไป” จามรโยนซองขาวให้ “ในนี้เป็นใบลาออกของนายกับเงินเดือนเดือนนี้”
“ใบลาออก?” ธนัทถามอย่างงงงัน
“ใช่ เราเซ็นแทนให้แล้ว และลงเพจให้แล้วว่าแม้ทางเราไม่ผิดแต่นายเสียใจที่ทำให้เกิดเรื่องก็เลยขอลาออก” จามรบอก
“เฮ้ย ได้ไง”
“จะให้ไล่ออกก็ได้นะ แต่ลงว่าลาออกแบบสำนึกในความพลาดนายยังไปทำที่อื่นได้ แต่ถ้านายดื้อต่อไป นายคิดว่าต่อไปจะมีที่ไหนรับนายเข้าทำงานหรือไง” จามรโบกมือไล่ “ไปได้แล้ว”
ธนัทเดินออกมาจากสำนักงานอย่างโกรธจัด ความจริงก่อนจะลงข่าวพวกนี้เขาก็คุยกับจามรแล้ว และอีกฝ่ายก็เห็นดีด้วย
ด้วยประสบการณ์การทำงานมาหลายปีทำให้เขารู้ว่าป่วยการที่จะดื้อแพ่ง สำนักงานข่าวของเขาเป็นหนึ่งใน4สำนักงานของช่อง ขาดเขาไปช่องก็มีคนอื่นทำแทน แต่ถ้าเขาขัดแย้งกับช่อง ต่อไปเขาอาจจะไม่มีที่ยืนอีก
ความโกรธฉุนผุดขึ้นมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่จามรทำกับเขา ธนัทโกรธจัด ก่อนจะนึกได้และค่อยๆใจเย็นลง ไม่มีประโยชน์ที่จะไปโกรธจามร เพราะถ้าเขาจะไปสมัครที่อื่นก็ยังต้องอาศัยการแนะนำจากที่ทำงานเก่า
ธนัทค่อยๆนึกในใจ
แต่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่
ข่าวที่นำเสนอ ภาพทั้งหลายเป็นภาพจริง ถึงแม้การจัดเรียงภาพและคำบรรยายจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้และเขาก็มุ่งหวังให้เกิดความกำกวม แต่คนที่ฟังแล้วเข้าใจผิดต่างหากที่เป็นคนผิด
พวกพ่อแม่และเด็กนักเรียนพวกนั้นไม่มีสิทธิมาโกรธเขา
เขาทำทั้งหมดถูกต้องแล้ว
คนพวกนั้นต้องไปโกรธเป๋งโมบาย ไม่ใช่มาหาเรื่องเขา
ธนัทกัดฟันกรอด เส้นเลือดที่ขมับขึ้นเป็นลำอย่างโกรธแค้น
ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกโรงเรียนนั้น
ทำไมเขาต้องมาตกงานเพราะความเห็นแก่ตัวของพ่อแม่นักเรียนพวกนั้นด้วย
พวกนั้นควรจะต้องไปโกรธแก๊งค์นักเลง ไม่ใช่มาโกรธผู้บริสุทธิ์อย่างเขา
แก้แค้น ต้องแก้แค้น!
แล้วชายหนุ่มก็เดินออกจากที่ทำงานเก่าของตนไปพร้อมกับความเคียดแค้นชิงชัง
ทันทีที่เด็กหนุ่มวาร์ปกลับมาถึงห้องตนเองเสียงโทรศัพท์มือถือที่พกกลับมาก็ดังขึ้น รอนกดรับสาย
“รอน คืนนี้รีบเข้านอน พรุ่งนี้ต้องรีบอ่านหนังสือกัน”
“ไม่ต้องขนาดนั้นมั้งแพท นี่เราสองคนก็อ่านกันมาเยอะแล้วนะ”
“ไม่ได้ ไม่ได้ เหลือเวลาอีกแค่สองวันก็สอบแข่งขันแล้ว ต้องทำให้ดีที่สุดนะ”
“ก็ได้ๆ” เด็กหนุ่มตอบ
“หลับฝันดีนะ” แพทบอก
“เหมือนกัน หลับฝันดี” รอนตอบ
ทั้งสองคนวางสายและต่างมองโทรศัพท์ในมือของตนครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปอาบน้ำนอน
วันรุ่งขึ้นรอนพกหนังสือไปอ่านที่บ้านของแพทตั้งแต่เช้า ทั้งสองคนนั่งอ่านตรงห้องรับแขกที่ด้านล่าง ทั้งสองนั่งอ่านหนังสือทำแบบทดสอบของปีก่อนๆจนบ่าย
“ช่วงนี้ไม่เห็นพ่อของแพทเลย” รอนถาม
“ช่วงนี้มีธุระน่ะ เห็นว่าวันนี้ไปเจรจาธุรกิจอะไรสักอย่าง” เด็กสาวบอก “เห็นไปกับลุงบัวกันสองคนตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”
“ไปกับลุงบัวสองคน?” รอนเลิกคิ้วอย่างสงสัย ดูลุงบัวเป็นพ่อบ้านและบอดี้การ์ด ไม่เหมือนนักธุรกิจหรือคนที่จะไปเจรจาธุรกิจเลย
“ใช่ วันนี้พ่อพกเงินสดไปมาก ลุงบัวเลยไปทำหน้าที่คนคุ้มกัน”แพทบอก “ลุงบัวกับพ่อรู้จักกันมานานมากแล้ว พ่อเราไว้ใจลุงบัวมากกว่าคนอื่นๆ”
เสียงประตูรั้วหน้าบ้านเคลื่อนตัวตามด้วยเสียงรถยนต์เข้ามาจอด แล้วพ่อของแพทและลุงบัวก็เปิดประตูเข้ามา
“ติวหนังสือกันอยู่เหรอ”
“ค่ะพ่อ วันจันทร์ก็จะสอบแข่งขันแล้ว” แพทบอก “พ่อดูเครียดๆจัง มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก ลูกกับรอนติวหนังสือกันต่อเถอะ” วิทวัสบอกก่อนจะถือแฟ้มสีน้ำตาลเดินตรงที่ไปห้องทำงานโดยมีลุงบัวตามไปติดๆ และถ้ารอนมองไม่ผิดดูเหมือนวันนี้ลุงบัวจ้องจับตาเขามากเป็นพิเศษ
วิทวัสเข้าไปที่ห้องทำงานและวางแฟ้มสีน้ำตาลนั้นลงบนโต๊ะ
“คิดไม่ถึงเลยว่าแก๊งค์เมษาจะถึงกับต้องยืมมือคนที่จ่ายค่าคุ้มครองให้มันเป็นหูเป็นตาค้นหาคนๆเดียว” ลุงบัวพูดขึ้นทันทีที่ปิดประตูลง “น่าโมโหนัก นอกจากเราต้องจ่ายเงินให้ ยังต้องทำงานตามที่มันสั่ง ถ้าเป็นแต่ก่อนล่ะก็ … ”
“นั่นมันแต่ก่อนที่เราไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ตอนนี้ชั้นลงหลักปักฐาน แถมมีแพทอีกทั้งคน อะไรยอมมันได้ก็ต้องยอมไปก่อน” พ่อของแพทบอก “แต่ชั้นก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้”
เขาดึงกระดาษออกมาจากแฟ้ม เป็นภาพที่ปริ้นท์ออกมาจากคลิปวงจรปิดเผยให้เห็นเด็กหนุ่มสวมหน้ากากดำปิดใบหน้าครึ่งบนสวมหมวกแก็ปทหารสีดำ
“คิดไม่ถึงว่ารอนจะเลือกหมวกและหน้ากากเหมือนกับที่ชั้นเคยใช้เมื่อ 30 ปีก่อน แถมยังบังเอิญไปบุกถล่มแก๊งค์เมษาเหมือนกันซะอีก”
“นายท่านมั่นใจว่าคือคุณรอนเหรอครับ” ลุงบัวถามอย่างสงสัย
“ความจริงนายน่าจะสังเกตได้นี่นะ เมื่อกี้ก็เห็นจ้องอยู่” วิทวัสเอ่ย
“แต่จะเป็นไปได้ยังไง ก่อนหน้านี้คุณรอนไม่ยังสู้กุ๊ยธรรมดาไม่กี่คนไม่ได้อยู่เลย” ลุงบัวขมวดคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ
“เอาเถอะบัว มีบางอย่างที่ชั้นยังไม่ได้บอกนาย แต่คนในภาพนี้คือรอนแน่นอน”
“ถ้าแบบนั้นเราต้องแยกเขาออกจากคุณหนูหรือเปล่าครับ” ลุงบัวถามอย่างไม่มั่นใจ “ถ้าเขาอยู่ใกล้คุณหนูเกินไป คุณหนูอาจได้รับอันตรายได้”
“ยังก่อน ก่อนที่เราจะกำจัดกับแก๊งค์เมษาได้ ชั้นยังต้องอาศัยรอนให้ทำบางเรื่องให้” พ่อของแพทเปิดลิ้นชัก หยิบแกนมอนสเตอร์ออกมาถือในมือ “ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว ค่อยว่ากันอีกทีนึง”
“ครับนายท่าน” ลุงบัวโค้งคำนับรับคำ ขณะที่คุณวิทวัสกลิ้งแกนมอนสเตอร์ในมือแล้วค่อยๆเอนหลังพิงกับเก้าอี้และพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“แต่จะว่าไป เจ้าหนุ่มนี่ก็หน่วยก้านไม่เลว จะปล่อยไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆก็คงไม่เสียหายหรอก”