ระลอกที่แปด
“เขาอัญเชิญมอนสเตอร์มาอีก11ตัว?!”
“พวกมันดูเหมือนมนุษย์ พวกมันคงไม่ใช่โปรตอสหรอกนะ?!”
ทุกคนเริ่มคุยกัน พวกเขาสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่ากู่หรง ไป่ ตัวตลก ไทแรนด์ แม่มดและตัวอื่นมีลักษณะคล้ายมนุษย์มาก
ตามความรู้ที่พวกเขามี พวกเขาสรุปได้ทันทีว่าไป่และคนอื่นคือโปรตอส
ในความเป็นจริง โปรตอสมีสามรูปแบบและครอบครองร่างมนุษย์ แต่ทว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะครอบครองร่างมนุษย์สมบูรณ์
โปรตอสคือชื่อทั่วไปของกลุ่มชนเผ่าต่างๆที่ถูกเรียกร่วมด้วยกันโดยชื่อนั้น ชนเผ่าที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์และเต็มใจเข้าร่วมโปรตอสจะถูกเรียกว่าโปรตอส
ถึงกระนั้น บางเผ่าในมหาพิภพที่ครอบครองสามรูปแบบและมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ทั้งหมดสำหรับการเข้าร่วมก็ยังไม่เข้าร่วมเพื่อรักษาเอกราชของเผ่าตน
ยังมีบางเผ่าที่อยู่มานานก่อนการก่อตั้งโปรตอส แม้พวกเขาจะไม่เข้าร่วมโปรตอส แต่โปรตอสที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ก็ยังให้ความเคารพพวกเขา
ตัวอย่างเช่น ชนเผ่าผู้สังเกต ที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบมนุษย์สมบูรณ์ ไม่มีใครรู้ว่นี่เป็นเพราะความสะดวกสบายหรือเหตุผลอื่น แต่ผู้สังเกตทั้งหมดจะดูเหมือนชายวัยกลางคนหัวล้าน แม้แต่หน้าตาก็ยังคล้ายกัน70-80% สิ่งเดียวที่แตกต่างคือความสูงและรูปร่าง
ยังมีตำนานในแดนเทพซึ่งอ้างว่าผู้บ่มเพาะมนุษย์หัวล้านเคยมาเยือนแดนเทพโดยบังเอิญและได้รับการต้อนรับอย่างสุภาพเพราะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้สังเกต
แต่ทว่า คนในโลกกรวดไม่รู้เรื่องนี้ นอกจากหลินฮวงและทาสดาบ ทุกคนรวมถึงคุณฟู่อาจไม่เคยเห็นโปรตอสตัวจริง ข่าวที่โปรตอสดูเหมือนมนุษย์แค่ถูกส่งต่อผ่านคำบอกเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของทางขัตติยะและผู้ปลดปล่อยที่ร่วมสร้างค่ายกลนั้นเป็นโปรตอสตัวจริง ยังมีโปรตอสเลือดบริสุทธิ์สองคนในหมู่พวกเขา!
หลินฮวงเลือกเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของทุกคน
“พวกเจ้า11คน คุ้มกันอุโมงค์มิติคนละอัน ฆ่าใครก็ตามที่ข้ามผ่านมาทันที ไม่สำคัญว่าจะมีมากแค่ไหน”
เมื่อได้รับคำสั่ง กู่หรง ไป่และคนอื่นก็เลือกรอยแยกมิติเพื่อป้องกัน
มอนสเตอร์อัญเชิญทั้งสองชุดที่ถูกเรียกมาโดยหลินฮวงยึดครอง21จุดและทุกคนก็หมดความกังวล
นี่ไม่ใช่เวลามาสู้เพื่อแย่งทรัพยากร ทุกคนไม่มีกำลังคนพอ และนักสำรวจก็จะเพิ่มจำนวนและพลังขึ้นเรื่อยๆ การปรากฏของมอนสเตอร์อัยเชิญได้ช่วยลดภาระมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนหวัง
ค่ายกลทั้ง31มอบหมายงานให้ตัวเองใหม่เพื่อจัดการรอยแยกมิติที่เหลืออีก12
แต่ทว่า หลินฮวงก็ต้องขมวดคิ้วขณะมองรอยแยกมิติทั้ง12ที่ไม่ได้รับการปกป้องจากมอนสเตอร์
ท่ามกลางค่ายกลทั้ง31 สามอันมีเทพเสมือนขั้น4เป็นแกน และพลังของค่ายกลก็เกือบเท่าเทพเสมือนขั้น6 ที่เหลือมีเทพเสมือนขั้น3เป็นแกน พลังต่อสู้พวกเขาแค่เกือบถึงเทพเสมือนขั้น5
ด้วยพลังเช่นนี้ หากพวกเขาพบมอนสเตอร์ระดับเทพเสมือนขั้น6 พวกเขาย่อมแพ้แน่
หลินฮวงลังเล เขาควรเรียกอสูรแมลงมาเติมเต็มทั้ง12จุดนี้ไหม หรือจะเปิดเผยพลังของทาสดาบ?
เหตุผลที่เขาลังเลที่จะเรียกแมลงออกมาเพราะผู้ควบคุมทั่วไปไม่มีทางควบคุมเผ่าแมลงได้
ผู้ใช้แมลงอาจเคยถูกมองเป็นสายย่อยของผู้ควบคุม แต่ก็ได้แยกตัวออกมานานแล้วและพัฒนาเป็นระบบที่แตกต่าง
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่มีผู้ควบคุมจะเสียเวลาไปเรียนเรื่องของผู้ใช้แมลง พวกเขาจะใช้เวลาหามอนสเตอร์เพิ่มเพื่อยกระดับพลัง
อีกเหตุผลคือคนจากมหาพิภพ รวมถึงโลกกรวดนั้นมีความประทับใจแย่ต่อเผ่าแมลง นั่นทำให้จำนวนผู้ใช้แมลงนั้นน้อยกว่าผู้ควบคุม
หลินฮวงกำลังพิจารณาว่าเขาควรเปิดเผยพลังของทาสดาบไหม
เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อพลังของทาสดาบเผยออกมา มันจะได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บางคนจะสังเกตเห็นผู้บ่มเพาะดาบระดับเทพเสมือนคนใหม่ในผู้ปลดปล่อย หากพวกเขาขุดลึกลงอีก มันคงม่ายากที่จะพบความสัมพันธ์ระหว่างหลินฮวงกับผู้ปลดปล่อย
หากนี่เป็นช่วงเลวาอื่น หลินฮวงคงไม่สนใจนัก
แต่ทว่า นี่คือช่วงสงคราม และหลินฮวงก็ไม่อยากกระตุ้นความสงสัยของรัฐบาลกลาง สมาคมนักล่าและขุมกำลังอื่นพร้อมกันและทำให้เกิดความไม่ลงรอย
ขณะที่หลินฮวงยังพิจารณาว่าเขาควรจะเรียกแมลงหรือเผยพลังของทาสดาบ…
ผู้รุกรานระลอกที่แปดก็มาถึงแล้ว!
มีอุโมงค์มิติ33แห่งที่ปล่อยความผันผวนมาพร้อมกัน
เมื่อหลินฮวงส่งจิตเทวะเขาไปตรวจสอบจำนวนกับระดับพลัง เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
นักสำรวจที่ถูกส่งมาครั้งนี้คือเทพเสมือนขั้น5 แต่ทว่า ความแตกต่างที่มากกว่าคือจำนวนที่ส่งมานั้นเพิ่มจากหนึ่งเป็นสิบ!
คนที่สองที่ตรวจพบคือคุณฟู่ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและร่างเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศทันที ลอยอยู่เหนือกลุ่มผู้บ่มเพาะทั้งสิบสอง เตรียมพร้อมยื่นมือเข้าช่วย
เมื่อเขาเห็นแบบนี้ หลินฮวงก็คิดจะเปิดปากเพื่อหยุด แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร
หลังเห็นคุณฟู่ลงมือ เทพเสมือนหลายคนก็ค่อยๆสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ และใบหน้าพวกเขาก็ขาวซีด
บางคนยังเห็นหลินฮวงผู้นั่งนิ่งมาตลอดเวลากลับแสดงท่าทางอยากจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย
แต่ทว่า ทุกคนไม่คัดค้านอะไรต่อท่าทีเขา เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้ส่งมอนสเตอร์อัญเชิญทั้ง21มาช่วยสู้แล้ว สำหรับผู้ควบคุม การควบคุมมอนสเตอร์มากขนาดนั้นย่อมเป็นภาระต่อร่างกาย
นอกจานกี้ ยังมีความเห็นพ้องต้องกันโดยปริยายในหมู่ผู้บ่มเพาะว่าคนที่เป็นผู้ควบคุมจะไม่มีความแข็งแกร่งสูงนัก และส่วนใหญ่จะพึ่งพามอนสเตอร์เพื่อสู้อย่างเดียว ดังนั้น บนสนามรบ มันจึงเป็นปกติสำหรับผู้ควบคุมที่จะเรียกมอนสเตอร์อัญเชิญมาสู้เป็นแนวหน้า ส่วนตัวเองพวกเองจะอยู่แนวหลัง
แม้กระทั่งกวนจงกับคนอื่น ผู้รู้ถึงพลังของหลินฮวงก็ยังมีความคิดเดียวกันตอนเห็นเขาไม่เข้าร่วม ‘ตามคาด การอัญเชิญมอนสเตอร์ระดับเทพเสมือนขั้น9พร้อมกันมากขนาดนี้ก็ยังเป็นภาระต่อหลินฮวง’
แน่นอน การกระทำเล็กน้อยของเขากลับทำให้หลายคนมองเขาผิดๆ
เขาไม่ใช่ผู้ควบคุมจริงๆด้วยซ้ำ เขาพึ่งพาการ์ดมอนสเตอร์เพื่ออัญเชิญมอนสเตอร์ ซึ่งไม่สร้างภาระให้เขาแม้แต่น้อย
เหตุผลที่เขาไม่เคลื่อนไหวเองเพราะเขารู้ดีว่าต่อให้ค่ายกลทั้ง31จากโลกกรวดไม่อยู่ ไป่ และตัวอื่นก็มีความสามารถพอจะจัดการปัญหาทั้งหมดได้!