“พวกเจ้าใช้พลังกฏเทพกันได้ แต่จากสิ่งที่ข้าเห็นจากการต่อสู้ ยังมีช่องว่างให้พวกเจ้าพัฒนาอีกมาก”
“การใช้พลังกฏเทพผลาญพลังเทวะไปมาก ที่ระดับพลังปัจจุบันเจ้า เจ้าไม่สามารถใช้พลังกฏเทพได้อย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้น เจ้าต้องเรียนรู้การตัดสินใจอย่างแม่นยำเมื่อใช้มันและควรใช้พลังกฏเทพประเภทไหน…”
“ตามการต่อสู้สุดท้ายที่ข้าเห็น หลินซินคือคนที่ใช้มันได้แม่นยำสุด ถึงแม้นางจะใช้พลังกฏเทพได้ประเภทเดียวก็ตาม แน่นอน นี่ยังเพราะนางใช้พลังกฏเทพได้ประเภทเดียวกัน ดังนั้นนางจึงต้องการกำหนดช่วงเวลาการกระทำ นอกจากนี้ นางยังเข้าใจจังหวะต่อสู้ได้เป็นอย่างดี
“หลินซวน เจ้าใช้พลังกฏเทพได้มากสุด หกประเภท แต่ในความเป็นจริง เจ้าถือว่าอ่อนแอสุด ไม่เพียงเจ้าจะทำผิดพลาด แต่บางครั้งเจ้ายังลังเล นี่เป็นตราบาป…”
“ข้อเสนอส่วนตัวข้าคือเจ้าต้องจำแนกพลังกฏเทพที่เจ้าใช้ให้ได้ เมื่อข้าเริ่มสู้ ข้าจะจำแนกพลังกฏเทพที่ข้ามีเป็นสามประเภทหลัก พลัง ความเร็วและอื่นๆ จากนั้นข้าจะแยกพวกมันจากหนึ่งในหมวดหมู่เหล่านี้และใช้พวกมัน ต่อให้มันไม่เหมาะสม มันก็ยังถือเป็นพลังกฏเทพประเภทเดียวกันกับที่เจ้าอยากใช้”
“เมื่อจำนวนพลังกฏเทพที่เจ้าใช้ได้เพิ่ม เจ้าสามารถดึงพวกมันจากหมวดหลักเพื่อแยกพวกมันเป็นหมวดย่อยต่างๆและกลุ่มกฏที่มีผลเดียวกัน…”
“แน่นอน มีหลายคนที่พบปัญหานี้ พวกเขาได้รับประสบการณ์มาจากการต่อสู้จริง แต่ทว่า นี่จะขึ้นอยู่กับศักยภาพส่วนตัว คนส่วนใหญ่ต้องใช้เวลานานเพื่อให้ชินกับพลังกฏเทพเพราะมันต้องฝึกซ้ำๆให้สามารถตัดสินได้ทันทีในการต่อสู้…”
หลินซิน หลินซวนกับคุณฟู่ฟังอย่างเงียบๆ ในระยะยาว จำนวนกฏที่พวกเขาใช้ได้ต้องเพิ่ม และการจัดหมวดนี้ก็จะกลายเป็นประโยชน์ในไม่ช้า
“เนื่องจากการใช้พลังกฏเทพจะผลาญพลังเทวะจำนวนมาก และพลังเทวะภายในตัวเจ้าก็จำกัด เจ้าไม่สามารถใช้กฏเทพได้ทุกครั้งที่โจมตี กฏควรใช้ภายในบริเวณกระบี่…”
หลินฮวงวิเคราะห์ปัญหาพวกเขา และทั้งสามก็ตั้งใจฟัง
ไม่เหมือนกลุ่มของเฉินเตา ความสามารถโดยรวมของกลุ่มหลินซินอยู่ที่ระดับต่ำสุดภายในบริเวณชั้นใน พูดตรงๆ กลุ่มนักล่าเกือบทั้งหมดในชั้นในแกร่งกว่าพวกเขา
เหนือสิ่งอื่นใด แม้ระดับพลังของกลุ่มเฉินเตาจะไม่สูง แต่ทั้งเฉินเตากับเสี่ยวโม่ต่างใช้พลังกฏเทพได้ ต่อให้พบเทพเสมือนขั้นกลางภายในบริเวณชั้นนอก พวกเขาก็สามารถปกป้องตัวเองได้
แต่ทว่า ในบริเวณชั้นใน ทุกคนต่างใช้พลังกฏเทพได้ นอกจากนี้ ระดับพลังพวกเขายังแกร่งกว่ากลุ่มของหลินซิน
นั่นทำให้หลินฮวงอดกังวลถึงทั้งสามไม่ได้ และนั่นทำให้เขาต้องปล่อยแม่มดไว้คอยดูแล
ก่อนออกเดินทางต่อ หลินฮวงช่วยทั้งสามทบทวนการต่อสู้และชี้ปัญหา เขายังให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีใช้พลังกฏเทพตามสถานการณ์ต่อสู้จริง
ภายใต้การแนะนำของหลินฮวง ทั้งสามเริ่มคุ้นเคยกับการใช้พลังกฏเทพมากขึ้น
หลินฮวงอยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งวัน ระหว่างนี้ ทั้งสี่ยังพบการโจมตีของกลุ่มนักล่าหุบเหว ผู้นำคือเทพแท้จริงขั้นสี่
แม้กลุ่มของหลินซินจะไม่สามารถพลิกกระแสได้ แต่ประสิทธิภาพก็ดีกว่าตอนแรกมาก
สุดท้าย หลินฮวงได้ก้าวเข้ามา จบการต่อสู้
เช้าวันถัดไป หลินฮวงอำลาทั้งสามและตรงไปบริเวณชั้นใน
เหตุผลที่เขาสามารถทิ้งทั้งสามได้อย่างพอใจเพราะพวกเขามีแม่มดคุ้มกัน นอกจากนี้ หลังการชี้แนะและการฝึกพิเศษ การใช้พลังกฏเทพของพวกเขาก็อยู่ในระดับน่าพึงพอใจแล้ว มันเปล่าประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ
หลังแยกมันจากกลุ่มของหลินซิน หลินฮวงได้มุ่งตรงไปจุดหมายของเขา
เมื่อนิกายพันงูบุกรุกโลกกรวด เขาได้สะสมไฟเทวะขั้นเจ็ดกับแปดมามากพอ แต่เขาใช้ไปแค่ไฟเทวะขั้นหก
ครั้งนี้ จุดประสงค์ของเขาในการเข้าสนามโบราณมังกรหุบเหวก็เพื่อล่าหาไฟเทวะที่เหลือพอให้เขาทะลวงผ่านเทพเสมือนขั้นเก้าได้ในทีเดียว
ขณะเดินตามเส้นทางที่แสดงบนแผนที่ หลินฮวงยังโจมตีมอนสเตอร์ระดับเทพแท้จริงระหว่างทาง เขาฆ่าพวกมันหมด จากนั้นก็ใช้จิตเทวะเพื่อดึงเอาแก่นออกมาเก็บ
เขาใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อเดินทางข้ามทั้งบริเวณชั้นใน แต่ถ้าเป็นกลุ่มของหลินซินอาจต้องใช้เวลาครึ่งเดือน
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น หลินฮวงยังปลอมตัวเป็นเทพแท้จริงขั้นเก้าโดยใช้พันหน้า
สนามรบของมังกรหุบเหวไม่ค่อยมีนักเดินทางเดี่ยวและชั้นกลางก็ไม่แตกต่าง แต่ทว่า การเดินทางเดี่ยวมักเป็นสัญญาณของความสามารถทรงพลัง
แม้กระทั่งในบริเวณส่วนกลางที่เทพแท้จริงขั้นเก้ามีอยู่ทั่ว ยอดฝีมือส่วนใหญ่ยังมาเป็นกลุ่ม
ส่วนกลางของสนามรบมังกรหุบเหวไม่ได้ตั้งในสถานที่เดียวกันกับชั้นในและชั้นนอกแต่เป็นพื้นที่แยก พูดให้ถูก มันเป็นอีกเศษสนามรบ แต่ทว่า เศษนี้ถือว่าเล็ก โครงสร้างมันคล้ายกับมิติบรรพกาล
แม้การผสานของเศษสองสนามรบโบราณจะหายาก มันก็ยังพอพบเจอได้ มีทั้งแบบธรรมชาติและแบบที่เกิดจากฝีมือใครบางคน
สนามรบมังกรโบราณถือได้ว่าเป็นแบบธรรมชาติ
มันอาจบอกได้ว่าเศษสนามรบทั้งสองได้ชนกันและสร้างเป็นโครงสร้างแบบนี้
การยืนตรงขอบผา หลินฮวงลดหัวลง ก้มมองมัน
กว่าสิบเมตรใต้เท้าเขา ทุกอย่างปกคลุมด้วยหมอกสีเทา ป้องกันทุกสิ่งจากการตรวจสอบ
แม้กระทั่งจิตเทวะของเขาก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
“นี่ควรเป็นมัน…”
หลินฮวงเก็บแผนที่ไป เขารู้ว่าเขาพบสถานที่ที่ถูกต้องแล้ว
ด้านล่างหน้าผานี้คือทางเข้าชั้นกลาง
ตามข้อมูลที่มอบให้โดยศาลาสมบัติ ชั้นกลางแตกต่างจากส่วนอื่นของสนามรบ
ด้วยความที่เศษสนามรบนี้ของชั้นกลางคือสนามรบที่สองจ้าวเทวะสู้กัน ไม่เพียงทรัพยากรที่นี่จะมั่นคงกว่า แต่แรงโน้มถ่วงมันยังสูง และกฏมิติก็ยังใช้งานไม่ได้
นอกจากนั้น ความหนาแน่นของพลังงานหุบเหวยังสูง แม้กระทั่งพลังงานในอากาศก็ยังเป็ฯประเภทที่มนุษย์ไม่สามารถดูดซับได้เลย มันต้องแยกออกโดยใช้พลังเทวะ ถ้าผู้บ่มเพาะไร้ความสามารถเข้ามา พวกเขาคงเปลี่ยนเป็นปีศาจหรืออะไรจำพวกนั้น
แต่ทว่า สภาพแวดล้อมเช่นนั้นถือว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะกับสิ่งมีชีวิตหุบเหวอย่างยิ่ง เช่นนั้น มอนสเตอร์หุบเหวจำนวนากจึงอาศัยในชั้นกลาง และจำนวนนักล่าจากหุบเหวก็สูงกว่านักล่ามนุษย์
หลินฮวงพยายามตรวจสอบ เขาไม่พบอะไร แต่เขาคาดไว้อยู่แล้ว
เขาสูดหายใจลึก ก้าวไปข้างหน้า กระโดดลงหน้าผาไป