หลังเลื่อนเป็นระดับกฏสวรรค์ หลินฮวงก็ใช้เวลาอันคุ้มค่าสี่วันเพื่อเรียนทักษะดาบระดับเทพสูงสุดอีกแสนสองหมื่นประเภท จากนั้นก็ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มกับการฝึกและรวบรวมมรดกทักษะดาบที่ต่ำกว่าเทพสูงสุด
จากนั้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนจุดสนใจไปยังทักษะดาบเทวะในความทรงจำของจอมเทพ
22 วันต่อมา ห้องแห่งกาลเวลาได้เปลี่ยนเป็นแสงดาวที่สลาย แต่หลินฮวงยังนั่งสมาธิจุดเดิม คอยสืบทอดทักษะดาบเทวะ…
20วันต่อมา เขายังนั่งจุดเดิมบนพื้นของวังจอมเทพ ไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับเขาเป็นรูปปั้นหิน
เขาไม่ใช้การ์ดห้องแห่งกาลเวลาอีก แต่ยังได้รับด้วยความเร็วปกติ
สามวันก่อนการเปิดแดนลับ ในที่สุดหลินฮวงก็ลืมตาขึ้น
เขาพ่นลมหายใจยาว”อย่างน้อยข้าก็ได้เห็นมันก่อนเข้าแดนลับ!”
หลินฮวงไม่ได้แค่นั่งเฉย ๆ เขาใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์เพื่อรับเอามรดกและบ่มเพาะมันจนสำเร็จ
ตั้งแต่นั้น เขาได้อ่านทักษะดาบเทวะนับพันที่เก็บไว้ในความทรงจำจอมเทพ เขาไม่ได้บ่มเพาะทักษะเหล่านี้ แต่กลับจงใจค้นหาวิธีใช้เต๋าดาบกฏสวรรค์ที่บรรจุภายในทักษะ จากนั้น เขาก็ทำการฝึกในหัว ซึ่งทำให้เขาต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนกับมัน
เมื่อเห็นเวลาและไม่มีอะไรที่ทำได้ในสามวัน หลินฮวงจึงลุกขึ้น เปิดประตูก้าวออกไป
“ท่านจอมดาบ!”เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายของหลินฮวง ความตื่นเต้นก็ฉายชัดในดวงตาของดาบ1 ในฐานะผู้บ่มเพาะดาบที่ทรงพลัง เขาสามารถสัมผัสได้ชัดว่าเต๋าดาบของหลินฮวงได้ทะลวงผ่านเป็นระดับกฏสวรรค์แล้ว
เขาตกใจมาก-จอมดาบปิดประตูบ่มเพาะแค่เดือนกว่า แต่ความสามารถของเขากลับพัฒนาจนน่ากลัว!
หลินฮวงไม่สนใจหน้าตาตื่นตกใจของดาบ1 และแค่ทักทายเขา ก่อนย้ายตัวเองออกแดนจอมเทพไป
หลังสวมพันหน้าและแหวนตัวตนใหม่ หลินฮวงก็เปลี่ยนตัวเองเป็นหวงมู่
ปัจจุบัน เขาอายุประมาณ 27หรือ28 ปี ตอนนี้เขามีหนวด เขายังสวมชุดคลุมดำและไว้ผมยาว
การสวมฮู้ดทำให้เขามีกลิ่นอายลึกลับ
ท่าทางของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตัวตนเดิม รวมถึงเซี่ยหลินด้วย
เขามั่นใจว่าไม่มีใครสามารถเชื่อมโยงตัวตนนี้กับเซี่ยหลินได้
ก่อนเข้าแดนลับ เขาไม่ต้องเตรียมอะไรเลย
อาวุธ เกราะ และอุปกรณ์อื่นของเขาคืออาวุธเซียนที่มีศักยภาพเติบโต เมื่อเขาพัฒนาเป็นเทพแท้จริง พวกมันก็แปลงตัวเองเป็นระดับสามและเทียบได้กับสมบัติเทพสวรรค์แล้ว
เขาสามารถใช้พวกมันเพื่อต่อสู้กับเทพสวรรค์ขั้นต้นหรือกลางได้ นอกจากนี้ ระดับพลังสูงสุดที่กำหนดให้เข้าแดนลับก็เป็นแค่เทพแท้จริงขั้น 9
แต่ทว่า เขาก็ยังเดินทางไปตลาดในเขตดาวนักล่าปีศาจเพื่อดูว่าเขาจะเจอของมีประโยชน์ไหม แต่จุดประสงค์หลักก็คือซื้ออาหาร
จริงๆแล้ว ยอดฝีมือระดับเทพแท้จริงสามารถอยู่รอดได้ในสุญญากาศเป็นเวลานาน ผู้ที่ใช้กฏแสงยังสามารถพึ่งพาการสะท้อนของแสงจากดาว พวกเขาไม่ต้องการแสงจากดาวโดยตรง แค่นี้ พวกเขาก็สามารถอยู่รอดได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว
หลินฮวงไม่มีความอยากอาหารหรือน้ำมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขายังคงรักษานิสัยการกินแบบเดิม
แม้เขาจะไม่ถือเป็นนักชิม เขาก็ถือเป็นคนที่มีรสนิยมสูงอย่างแท้จริง
ปัจจุบัน การกินได้เปลี่ยนจากความจำเป็นมาเป็นงานอดิเรก
เมื่อใดก็ตามที่เขามีเวลาว่าง เขาจะกินของว่าง เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่มีทางอ้วน
หลินฮวงใช้เวลาหนึ่งวันกับการเดินเล่นรอบเขตดาวนักล่าปีศาจ นอกจากการซื้ออาหาร เขาไม่พบอะไรน่าสนใจ เขาจึงเดินอ้อมไปยังจุดนัดพบที่ใต้สวรรค์บอก นั่นคือ-เมืองอันเดท
เมืองอันเดทคือเมืองระดับ6 ซึ่งยังเป็นศูนย์ใหญ่ขององค์กรระดับ 6 อย่างอันเดท
แม้อันเดทจะเป็นหนึ่งในองค์กรระดับ6ทั่วไป มันก็มีความสัมพันธ์อันดีกับองค์กรระดับ 5 6 และ7 องค์กรใหญ่หลายแห่งจึงตั้งสาขาตนที่เมืองอันเดท
เคียวแห่งความตายเองก็มีสาขาที่นั่นและสาขาอันเดทก็คือหนึ่งในสามสาขาที่ใหญ่สุดรองจากศูนย์ใหญ่เคียวแห่งความตายเอง
นอกจากองค์กรระดับหกนับสิบ รวมถึงเคียวแห่งความตาย องค์กรระดับเจ็ดทั้งสาม ตาข่ายคลุมสวรรค์ ศาลาสมบัติ และวิหารเทพนักรบเองก็มาตั้งสาขาที่นี่
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมบริหารของเมืองอันเดทยังเจริญรุ่งเรืองมาก
ยอดฝีมือเทพสวรรค์ยังปรากฏให้เห็นบ่อยที่นี่
เมื่อมาถึงเมืองอันเดท สิ่งแรกที่หลินฮวงทำไม่ใช่การมองหาโรงแรม แต่เป็นการเดินเล่นไปตามตลาด
หลังไปเยือนตลาดของศาลาสมบัติ หลินฮวงยังไปเยือนตลาดเล็กหลายแห่งจนค่ำ จากนั้นก็ไปแถวตลาดมืด
สุดท้าย เขาก็ยังมือเปล่า
มันไม่ใช่ว่าไม่มีของดี หลินฮวงเห็นของดีมาก แต่ไม่เสนอราคา
ในด้านหนึ่ง พวกมันไม่ใช่ของจำเป็น
ในส่วนของอาวุธ เกราะและของจำพวกนั้นมันมีถึงสมบัติเทพสวรรรค์ หลินฮวงยังเห็นชุดอาวุธพลังจิตสองชุด แต่ทว่า ปัญหาคือปัจจุบันเขามีอาวุธเซียนแล้วและเขาก็ไม่ต้องการของเหล่านี้
ในอีกด้านหนึ่ง เขาไม่เห็นสมบัติลับอะไรที่กระตุ้นความสนใจเขา
ไม่ว่าจะเป็นที่ตลาดหรือตลาดมืด ของดีทั้งหมดที่เขาเห็นมีราคาเหมาะสม แต่สำหรับการต่อรองราคา ด้วยการใช้สายตาเฉียบแหลมและพลังของจิตเทวะเขา เขาไม่พบของดีมากนัก
บางทีอาจมีของดีอยู่ก่อนหน้า แต่คงโดนคนอื่นซื้อไปแล้ว
เขาเดินเล่นรอบตลาดทั้งวัน ตอนที่เขาออกตลาดมืด มันก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
หลินฮวงลำบากมากก่อนจะจองโรงแรมดีๆได้ ตอนเขาเช็คอิน มันก็เกือบ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว
เขาพักที่นั่นหนึ่งคืน หลังกินข้าวเช้า หลินฮวงก็ออกเดินทางไปยังสาขาเคียวแห่งความตายอย่างไม่เร่งรีบ
หลังมาถึงที่หมาย หลินฮวงก็เดินตรงเข้าไปห้องประชุมชั้นหนึ่ง
นี่คือสถานที่นัดพบที่ใต้สวรรค์จัดไว้
หลังเข้าห้องประชุม หลินฮวงก็พบว่ามีคนอยู่แล้ว
ยังมีคนคุ้นหน้ามากมาย
สำหรับทั้งเทพเสมือนกับเทพแท้จริงที่สามารถเข้าแดนลับ ดาวหาง โ๙คชะตาและแฝดล้วนได้รับเชิญด้วย
นอกจากทั้งสามคนที่เขารู้จัก หลินฮวงยังจำเวอชุโอโซ ผู้เป็นอันดับหนึ่งบนกระดานเคียวขาวได้
เขาดูเหมือนเดิม สวมชุดคลุมดำที่คลุมทั้งตัวและมีหน้ากากขาวบนหน้า
ทันทีที่หลินฮวงผลักเปิดประตูเดินเข้ามา สายตาของทุกคนก็เลื่อนมาหาเขา
นี่เพราะคนที่ได้รับจดหมายเชิญจากเคียวแห่งความตายต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งสุดบนกระดานเคียวดำและเคียวขาว ทุกคนจึงคุ้นเคยกันดี
สำหรับหลินฮวง ทุกคนในปัจจุบันไม่คุ้นเคยกับใบหน้าเขาและจำไม่ได้ว่าเขาเข้าร่วมเคียวแห่งความตายตอนไหน
ภายใต้สถานการณ์ปปกติ หลินฮวงคงมีความคิดทักทายทุกคนก่อน แต่ทว่า ตัวตนปัจจุบันของเขาคือชายหนุ่มที่ไม่สนใจอะไรเลย เขาแค่เหลือบมองคนอื่น เดินตรงไปแถวหน้าที่ห่างจากคนอื่นและนั่งลง
ด้านหลัง เขาสามารถได้ยินเสียงซุบซิบ แต่ก็เลือกไม่สนใจ
“เขาต้องเป็นหน้าใหม่ใช่ไหม?ข้าไม่เคยเห็นเขาบนรายชื่อมาก่อน’
“กลิ่นอายของเขาไม่อ่อนแอเลย เขาเป็นเทพแท้จริงขั้น 9 แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน”
“เจ้าหน้าใหม่นี่อวดดีมากจนไม่คิดมาทักทายเลยหรือไง?”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลินฮวงไม่สังเกตเห็นคือขณะที่คนอื่นกำลังซุบซิบกัน เวอชุโอโซกลับจ้องแผ่นหลังเขาด้วยแววตาสุขุม..