บนกระดานทอง คะแนนการล่าของซิวมู่พุ่งทะยานขึ้นสี่ร้อยแต้ม ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนอีกครั้ง
ต้องรู้ว่าชื่อของซิวู่ได้อยู่บนสุดของกระดานทองมาตลอด ถึงแม้จะเปลี่ยนไปแค่หนึ่งแต้ม ทุกคนก็ยังมองเห็นได้ชัด นับประสาอะไรกับสี่ร้อยแต้ม
เมื่อเห็นคะแนนของเขาเปลี่ยนไปสี่ร้อยแต้ม หลายคนก็ผงะในตอนแรกแต่ก็ตั้งสติ
แต้มพื้นฐานที่เทพแท้จริงได้รับสำหรับการล่าเทพสวรรค์คือหนึ่งร้อย และสำหรับแต่ละขั้นของเทพสวรรค์ แต้มล่าที่นักล่าได้รับจะเพิ่มเป็นสองเท่า ดังนั้น เริ่มที่ขั้นหนึ่ง ก็จะเป็นหนึ่งร้อยแต้ม สองร้อยแต้ม สี่ร้อยแต้ม แปดร้อยแต้ม…
“แต้มการล่าเขาเพิ่มขึ้นสี่ร้อยในครั้งเดียว นี่หมายความว่าเขาล่าเทพสวรรค์ขั้นสาม?!”
“มันอาจจะไม่ได้มาจากการฆ่าเทพสวรรค์ขั้นสอง 2 คนพร้อมกัน ตามกฏที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแต้มการล่า ไม่ว่าช่วงเวลาระหว่างการล่าทั้งสองจะใกล้กันแค่ไหน การเพิ่มแต้มแต่ละครั้งก็จะแสดงตามลำดับ ต่อให้ซิวมู่ล่าเทพสวรรค์ขั้นสองได้พร้อมกัน แต้มของเขาก็ควรเพิ่มทีละสองร้อยแทนที่จะเป็นสี่ร้อยแบบนี้”
“เพิ่มสี่ร้อยในคราเดียว…อืม พวกอัจฉริยะเหล่านั้นคงนั่งกันก้นไม่ติดแล้วละ”
อัจฉริยะหลายคนรู้สึกกระวนกระวายใจกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ เมื่อหลินฮวงกำลังล่าเทพสวรรค์ขั้นสอง พวกเขาได้ถูกบังคับให้เริ่มล่าเทพสวรรค์ก่อนจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
พูดให้พูด การกระทำของหลินฮวงได้ปั่นป่วนจังหวะการล่าของพวกเขา
ปัจจุบัน ความสำเร็จของหลินฮวงในการล่าเทพสวรรค์ขั้นสามก็ทำให้ความคิดของคนบางคนยุ่งเหยิง
เดิมที หลายคนคิดว่าระหว่างการทดสอบนี้ พวกเขาจะล่าเทพสวรรค์แค่ไม่กี่คน และแสดงฝีมือต่อหน้าองค์กรใหญ่ ถ้าพวกเขามีโอกาส พวกเขาจะลองสู้เพื่อสิบอันดับแรกบนกระดานทอง
แต่ตอนนี้ โดยไม่ต้องสงสัย ผลงานของซิวมู่ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถล่าเทพสวรรค์ขั้นสาม มันหมายความว่าเขาต้องครองอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครมีความสามารถไปแข่งขันกับเขา
ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนักแค่ไหน อัจฉริยะคนอื่นก็ทำได้แค่สู้เพื่อแย่งชิงอันดับสองเท่านั้น
จริงๆแล้ว ตอนแรก ทุกคนไม่ได้มองม้ามืดอย่างซิวมู่เป็นคู่แข่งเลย แต่ทว่า ตอนนี้ เพื่อนคนนี้กลับปรากฏตัวออกมาจากอากาศธาตุ แสดงความสามารถน่ากลัวซึ่งข่มทุกคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลายคนไม่พอใจ แต่ก็รู้สึกท้อแท้ในเวลาเดียวกัน พวกเขาทำได้แค่ถอนหายใจเงียบๆกับความโชคร้ายของพวกเขาที่ต้องมาเจอกับม้ามืดแบบนี้
หลายคนที่ไม่ใช่อัจฉริยะชั้นนำรู้สึกเริงร่า พวกเขาสามารถจินตนาการได้ว่าใบหน้าของอัจฉริยะเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร
พวกเขาไม่สามารถแข่งขันเพื่อที่หนึ่งได้อยู่แล้ว พวกเขาจึงมีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่น
พวกเขาแค่มาเพื่อเข้าร่วมเท่านั้น แต่สุดท้ายกลับได้เห็นถึงการผงาดของยอดฝีมือลึกลับ
หลังออกสถานที่นี้ พวกเขาจะมีประเด็นร้อนแรงใหม่ไว้คุยโวกับเพื่อน
เมื่อพิจารณาถึงสิ่งนี้ นี่ถือเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าอย่างมาก!
หลินฮวงไม่สนใจกระดานเลย หลังเขาตรวจสอบสภาพภายในตัว เขาก็รีบเก็บศพของสติทช์ไป โดยไม่ยืนอ้อยอิ่ง เขารีบมุ่งหน้าไปเป้าหมายถัดไป
แดนลับเข้าถึงได้แค่เดือนเดียว เขาจึงอยากทำให้ดีสุดเพื่อเพิ่มระดับพลัง
หลังล่าสติทช์สำเร็จ ตอนนี้เขาก็มีควาามเข้าใจทั่วไปถึงความสามารถของเทพสวรรค์ขั้นสามในแดนลับนี้ เขาได้วางแผนอย่างเต็มที่สำหรับแนวทางปฏิบัติต่อไปนี้
ไม่จำเป็นที่เขาต้องล่าขั้นหนึ่งกับสอง เพราะจำนวนกฏที่เขาสามารถได้รับนั้นน้อย นักโทษเทพสวรรค์ที่เหนือกว่าขั้นสามยังไม่มากพอให้เขาต้องเปิดเผยพลังแท้จริง แถม การล่าเทพสวรรค์ขั้นสามน่าจะเป็นการท้าทายสวรรค์มากพอแล้ว
ถ้ามันไม่ใช่ความจริงที่ว่าเคยมีเทพแท้จริงสามารถล่าเทพสวรรค์ขั้นสามได้มาก่อนในแดนเทพ หลินฮวงคงต้องล้มเลิกแผนการฆ่านี้
มันเห็นได้ชัดเพราะมีคนก่อนเขาที่ทำมันสำเร็จแล้ว หลินฮวงจึงกล้าแสดงพลังระดับนี้
สิ่งที่หลินฮวงไม่รู้คือบรรพบุรุษเหล่านี้ทั้งหมดได้กลายเป็นจ้าวเทะไปหมดแล้ว
ฝีมือของเขาได้รับความสนใจจากองค์กรชั้นนำทั้งหมดในแดนเทพ
แม้กระทั่งผู้นำขององค์กรระดับเจ็ดหลายแห่งนอกแดนลับยังรายงานข่าวกลับไปหาเบื้องบนขององค์กรตนเองวินาทีที่เขาฆ่าสติทช์ได้สำเร็จ
แน่นอน ใต้สวรรค์สังเกตเห็นพฤติกรรมขององค์กรระดับเจ็ดเหล่านั้น แต่เขาไม่สามารถห้ามอะไรได้
เขาตระหนักถึงภูมิหลังของหลินฮวงมากกว่าใคร และรู้ว่าหลินฮวงไม่สามารถเข้าร่วมองค์กรอื่นได้ยกเว้นเคียวแห่งความตาย
นี่เพราะเขาไม่ใช่โปรตอส แต่เป็นมนุษย์
นอกจากซีโร่ ที่เป็นกลาง ทุกองค์กรระดับเจ็ดในแดนเทพไม่ชอบมนุษย์
นครหลวงเทพคือองค์กรเลือดบริสุทธิ์และยังดูถูกโปรตอสผสม นับประสาอะไรกับมนุษย์ วิหารเทพนักรบพิชิตดินแดนมนุษย์มามาก ตาข่ายคลุมสวรรค์มีสายนับไม่ถ้วนในหมู่มนุษย์และจับตาดูการเคลื่อนไหวพวกเขาตลอด สำหรับศาลาสมบัติ มนุษย์ก็แค่สินค้า
ซีโน่แสดงท่าทีเป็นกลาง แต่พวกเขาไม่ได้เป็นมิตร พวกเขาจะร่วมมือกับใครก็ตามที่เห็นว่าทำกำไรได้ พกเขาติดต่อกับมนุษย์ แต่ก็ถือได้ว่าแค่ในฐานะหุ้นส่วนทางธุรกิจ ไม่มีมิตรภาพที่แน่นอน
ใต้สวรรค์รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับหลินฮวงที่จะเข้าร่วมองค์กรอื่น
นี่เพราะเมื่อตัวตนของเขาในฐานะมนุษย์ถูกเปิดเผย ความตายจะเป็นทางเลือกเดียว
ในความเป็นจริง สำหรับองค์กรอื่นนอกจากเคียวแห่งความตาย ถ้าพวกเขารู้ว่าหลินฮวงเป็นมนุษย์ ส่วนใหญ่จะมองว่าหลินฮวงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญและยังพยายามกำจัดมัน
นี่เพราะมันเป็นไปได้มากว่าการดำรงอยู่ของเขาอาจทำให้มนุษย์ผยอง
สาเหตุที่เคียวแห่งความตายไม่สนใจเรื่องแบบนี้เพราะมันเกี่ยวข้องกับความลับขององค์กร
ในความเป็นจริง เคียวแห่งความตายไม่ใช่องค์กรท้องถิ่นจากแดนเทพแต่เป็นสาขาขององค์กรบางแห่งในจักรวาล
มีแค่ไม่กี่คนถึงรู้เรื่องนี้
ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นไปได้ที่จะมีเคียวโลหิตที่เป็นมนุษย์
นี่ทำให้เคียวแห่งความตายสามารถทนต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างหลินฮวงได้
ใต้สวรรค์เองก็รู้ถึงความลับนี้และจึงรักษาท่าทีเป็นมิตรกับหลินฮวงตั้งแต่ต้น
แม้ใต้สวรรค์จะเป็นโปรตอสเลือดบริสุทธิ์ ความลับที่เขารู้จากเคียวแห่งความตายมาเนิ่นนานก็ทำให้เขาได้เห็นสิ่งต่างๆจากมุมมองอื่น
ในสายตาเขา มันไม่สำคัญว่าหลินฮวงจะเป็นมนุษย์หรือไม่ สิ่งสำคัญคือเขาเป็นยอดฝีมือที่มีศักยภาพพิเศษ
แน่นอน ใต้สวรรค์มีแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวเล็กน้อย
เขาอยากดูหลินฮวงพัฒนา จากนั้นก็ต่อสู้กับเขา!
มันไม่สำคัญว่าใครจะชนะหรือแพ้!
ขณะที่เขาเฝ้าดูผลงานอันน่าทึ่งของหลินฮวงภายในแดนลับ เขามีความรู้สึกว่าวันนั้นคงอีกไม่นาน