เวลาภายในแดนลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลินฮวงยืนหยัดมั่นคงที่อันดับหนึ่งบนกระดานทองตั้งแต่ต้น ไม่มีใครท้าทายตำแหน่งเขาได้เลย
เขาได้ฆ่านักโทษเทพสวรรค์ขั้นสองถึง 12-15 ต่อวัน แต้มของเขาเพิ่มขึ้นกว่าห้าพันต่อวัน มันแทบเป็นห้าเท่าของอันดับสอง
ในความเป็นจริง ไม่มีใครสามารถเอาชนะแต้มล่าเขาได้แม้กระทั่งก่อนเขาพบไคลี่และเจ้าแดง
ในขณะเดียวกัน อันดับสองไม่ใช่เวอชุโอโซจากเคียวแห่งความตาย แต่เป็นเทพแท้จริงชั้นนำจากนครหลวงเทพ คุนถิง
ไคลี่และเจ้าแดงคืออันดับสามและสี่
ช่องว่างระหว่างแต้มของสองสาวไม่ถึงสามร้อย การคำนวณง่ายๆแสดงให้เห็นว่าเจ้าแดงสามารถไล่ทันได้ถ้านางฆ่าเทพสวรรค์ขั้นหนึ่งกับขั้นสองอีกสักหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ไคลี่กับคุนถิงก็ห่างกันแค่กว่าพันคะแนน
สำหรับเวอชุโอโซ เขาไม่ได้ล่าอย่างจริงจังเลย เขามีอันดับ 10 และมีแต้มเหนือกว่าอันดับ 11 แค่ร้อยกว่า
นอกจากสามอันดับแรก อันดับ 4-10 จะได้รับรางวัลคล้ายกัน
ผู้นำเทพสวรรค์หลายคนสงสัยว่าเวอชุโอโซคงรู้สึกว่าการแข่งกับซิวมู่ยากเกินไป เขาจึงยอมแพ้ตั้งแต่ต้น
แต่่ทว่า หลินฮวงรู้ว่าชายคนนี้ไม่ได้สนใจรางวัลเลย เขาไม่คิดสู้ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะรั้งอันดับสิบเพราะใต้สวรรค์สั่ง
เทียบกับกระดานทอง การแข่งขันในหมู่กระดานเงินรุนแรงกว่ามาก
คนที่ติดอันดับหนึ่งบนกระดานเงินคือคนที่หลินฮวงคุ้นเคยดีอย่างเทพนักรบไร้ผู้ต้านจากวิหารเทพนักรบ
เขายอมแพ้ที่จะเลื่อนเป็นเทพแท้จริงตอยพบกับหลินฮวงและทาสดาบภายใต้การทดสอบในแดนจอมเทพกว่าปีก่อน เขามุ่งมั่นที่จะบ่มเพาะทักษะดาบ อันที่จริง ความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นมากถ้าเทียบกับปีก่อน เขารั้งอันดับหนึ่งในบรรดาเทพเสมือนของแดนเทพ
เขายังเพ้อฝันว่าเขาอาจสามารถเอาชนะหลินฮวงได้ถ้าพบกันอีกครั้ง แต่ทว่า เขาไม่รู้ว่าหลินฮวงได้เลื่อนเป็นเทพแท้จริงแล้ว ถ้าความแตกต่างในความสามารถพวกเขาเหมือนแสงจากหลอดนีออนและแสงเทียนเมื่อตอนหนึ่งปีก่อน ตอนนี้มันก็เหมือนกับแสงนีออนและแสงแดด ไม่มีทางที่จะเทียบกันได้เลย
อันดับสองบนกระดานเงินคือผู้บ่มเพาะกระบี่จากนครหลวงเทพ เขาห่างจากเทพนักรบแค่ 120 แต้ม
ความแตกต่างแต้มระหว่างอันดับสามกับหกน้อย ห่างกันแค่ 200-300
ในขณะเดียวกัน ช่องว่างระหว่างอันดับ 7 -10 อยู่ในช่วง 300 -500
ความรุนแรงของการแข่งขันบนกระดานเงินรุนแรงกว่ากระดานทองมาก
ทันทีที่การทดสอบหนึ่งเดือนของแดนลับจบ คนของนครหลวงเทพก็ส่งผู้เข้าร่วมทั้งหมดออกมา
หลินฮวงสัมผัสได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องเขาวินาทีที่ออกมา
เขาเหลือบไปเห็นเทพสวรรค์ทั้งหมดกำลังจ้องเขา พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับผู้เข้าร่วมขององค์กรตัวเองเลย
ความคิดแรกที่แวบผ่านหัวพวกเขาคือ’ข้าได้เปิดเผยตัวตนข้าในฐานะมนุษย์ไปแล้วรึ?!’
เขารีบนึกถึงผลงานเขาในแดนลับ
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดหาทางออก เสียงของใต้สวรรค์ก็ดัง
“มาตรงนี้ อย่ายืนเฉยๆ”
แน่นอน ใต้สวรรค์บอกได้ว่าหลินฮวงกำลังกังวลเรื่องตัวตน
หลินฮวงโล่งใจเมื่อได้ยินคลื่นเสียง เขาไปข้างใต้สวรรค์ ถามเสียงเบา”ทำไมพวกเขาถึงจ้องข้า?’
“เจ้าเป็นอันดับหนึ่งบนกระดานทอง ใครจะไม่จ้องเจ้า?”ใต้สวรรค์ตอบ
“แค่นั้น?”หลินฮวงเลิกคิ้ว
ใต้สวรรค์เงียบไปและพูดเสริม”มีคนที่สามารถฆ่าเทพสวรรค์ขั้นสามได้ด้วยพลังระดับเทพแท้จริง แต่ทว่า นับรวมเจ้า มีไม่ถึงสิบที่ทำแบบนั้นได้”
“ข้านึกว่าตัวตนข้าโดนเปิดเผยแล้วซะอีก..”หลินฮวงไม่สนใจ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังได้ยินคำอธิบายของใต้สวรรค์
ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน ผู้เข้าร่วมจากองค์กรอื่นก็กลับไปกลุ่มตน
เวอชุโอโซเองก็กลับไปเคียวแห่งความตายเช่นกัน เขาแค่เหลือบมองหลินฮวง จากนั้นเขาก็ยืนข้างใต้สวรรค์ ทุกคนเชื่อว่าทั้งคู่เป็นศัตรูกัน
แม้กระทั่งใต้สวรรค์ก็คิดเหมือนกัน เขาลอบโล่งใจตอนตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้สู้กัน
ดาวหางกับคนอื่นมีความอยากรู้อยากเห็นเต็มตาตอนมองหลินฮวง แแม้พวกเขาจะแข่งขันกันบนกระดานเงิน พวกเขาก็สามารถเห็นอันดับบนกระดานทองได้
ตอนแรก พวกเขาคิดว่าเด็กใหม่ที่ใต้สวรรค์พบต้องมีความสามารถไม่ธรรมดา เหนือสิ่งอื่นใด เซี่ยหลินคือตัวอย่างชั้นดี แต่พวกเขาไม่คิดว่าเด็กใหม่ที่ชื่อซิวมู่จะเป็นม้ามืดขนาดนี้
อสูรคลั่งที่เป็นอันดับสามบนกระดานเคียวขาวไม่พูดอะไร ก่อนเข้าแดนลับ เขาเยาะเย้ยหลินฮวงทางอ้อม ระบุว่าหลินฮวงจะถ่วงกลุ่ม
เขาไม่คิดเลยว่าความสามารถของเด็กใหม่จะเหนือล้ำขนาดนี้ ในทางกลับกัน เขาต่างหากที่มีแต้มต่ำสุดในบรรดาเทพแท้จริงของเคียวแห่งความตาย
เขาไม่กล้ามองหลินฮวงเลย กลัวว่าหลินฮวงจะเยาะเย้ยเขากลับ
แต่ทว่า หลินฮวงกลับไม่เหลือบแลเขาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เขาไม่ได้จงใจเมิน แต่เขาลืมเรื่องเมื่อเดือนก่อนไปแล้ว ในความเป็นจริง เขาจำชื่ออีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ
ขณะที่ใต้สวรรค์กำลังนำผู้เข้าร่วมกลับ เทพสวรรค์ก็เดินมา
“ผู้อาวุโสใต้สวรรค์ โปรดรอสักครู่”มันคือคนของศาลาสมบัติที่เรียกเขา
เขาค่อนข้างอวบ แก้มแดง ดูใจดี
ใต้สวรรค์ขมวดคิ้ว เขาเดาได้ว่าคนคนนี้มีเจตนาอะไร
“ข้าอยากพูดคุยสั้นๆกับน้องซิวมู่”เขายิ้มและมองหลินฮวง
“ข้า?”หลินฮวงงุนงง เขาจำไม่ได้ว่าเคยติดต่ออะไรกับสาลาสมบัติ
“ถูกต้อง”ผู้นำร่างท้วมจากศาลาสมบัติพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น”น้องชาย เจ้าสนใจเข้าร่วมศาลาสมบัติของข้าหรือไม่?”
เขาไม่อ้อมค้อมเลย เขาเชิญหลินฮวงให้เข้าร่วมต่อหน้าใต้สวรรค์
หลินฮวงตกตะลึง เขาไม่คิดว่าชายคนนี้จะมาชิงตัวเขา แต่ทว่า ในไม่ช้าเขาก็ได้เหตุผลชัดเจนที่จะปฏิเสธ
“ขอโทษด้วย ข้าเชื่อว่าเคียวแห่งความตายดีพอสำหรับข้าแล้ว”
“ไม่ว่าเคียวแห่งความตายจะยิ่งใหญ่แค่ไหน มันก็แค่องค์กรระดับหก ข้าคิดว่าน้องซิวมู่ควรพิจารณาเข้าร่วมองค์กรระดับเจ็ด”ตอนนัั้น ผู้นำวิหารเทพนักรบเดินมาเช่นกัน”ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงเคยได้ยินถึงเรา วิหารเทพนักรบ”
“ไม่มีองค์กรใดในแดนเทพที่ให้ผลประโยชน์มากไปกว่าเรา ศาลาสมบัติ”ผู้นำร่างท้วมรีบพูด
“แล้วไง?!เรา ตาข่ายคลุมสวรรค์มีคลังข้อมูลที่ใหญ่สุดในแดนเทพ”
แม้กระทั่งคนของตาข่ายคลุมสวรรค์ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรก”เรายังรู้ความลับมากมายของจักรวาลที่องค์กรอื่นไม่รู้…”
“ข้าคิดว่ามันเป็นการดีสุดที่ซิวมู่จะเข้าร่วมกับซีโน่ ทุกคนรู้ว่าเรามีความอดทนสูงสุดในบรรดาองค์กรระดับเจ็ดทั้งหมด มีหลายเผ่าที่เข้าร่วมกับเรา บางทีอาจมีคนจากเผ่าที่ซิวมู่อยู่ในหมู่สมาชิกเราก็ได้..”
นอกจากนครหลวงเทพ สี่ในห้าองค์กรระดับเจ็ดต่างมาชิงตัวหลินฮวง ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขากำลังทำมันต่อหน้าใต้สวรรค์
ใต้สวรรค์โกรธ แต่ไม่แสดงออกมา เขายังทำหน้าสงบราวกับกำลังดูการแสดง เหตุผลเพราะเขารู้ว่าหลินฮวงย่อมปฏิเสธ
ตามคาด หลินฮวงพูดอย่างสงบหลังพวกเขายื่นคำเชิญ
‘ผู้อาวุโส บางทีทข้าคงพูดไม่ชัด ข้าชอบสถานการณ์ปัจจุบันของเคียวแห่งความตาย ดังนั้น ข้าจะไม่ย้ายไปองค์กรใด ขอบคุณสำหรับความมีเมตตา!”
คนอื่นอาจย้ายไปองค์กรอื่นโดยไม่ลังเล อย่างไรก็ตาม หลินฮวงรู้ดีว่าเคียวแห่งความตายเป็นองค์กรเดียวที่เหมาะกับเขา
ไม่ว่าองค์กรอื่นจะยื่นข้อเสนออะไร พวกเขาก็ต้องฆ่าเขาแน่เมื่อพบว่าเขาเป็นมนุษย์
เหล่าเทพสวรรค์ดูเหมือนจะตกใจกับการปฏิเสธของหลินฮวง แต่พวกเขาไม่แสดงมันออกมา
พวกเขาพยายามโน้มน้าวเขาอีกครั้ง เมื่อพวกเขารู้ว่าหลินฮวงแน่วแน่ที่จะอยู่กับเคียวแห่งความตาย พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้
แต่ทว่าพวกเขายังยืนกรานจะขอหมายเลขติดต่อ พวกเขาอยากโน้มน้าวเขาอีกในอนาคต
หลังหลินฮวงปฏิเสธ เหล่าเทพสวรรค์ก็จากไป ผู้นำร่างท้วมจากศาลาสมบัติหน้าหนาสุด เขายื่นขอเสนอต่อเวอชุโอโซอีก
เวอชุโอโซยิ่งตรงไปตรงมากว่า แค่พูดว่า”ไม่สนใจ!”
ผู้นำร่างท้วมจากไปด้วยรอยยิ้มหลังได้ยินคำตอบ