มันใช้เวลาแค่ชั่วขณะสำหรับหลินฮวงในการอ่านข้อมูลที่เขาได้รับจากความทรงจำของพนักงานสาวหูกระต่าย แต่ทว่า เขาไม่สามารถได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนัก
พนักงานสาวหูกระต่ายคือคนธรรมดาไร้ฐานการบ่มเพาะ ความทรงจำนางจึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะ
“คนธรรมดาในเมืองนี้ไม่มีความรู้ถึงการดำรงอยู่ของผู้บ่มเพาะเลย?”หลินฮวงขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิด ตามสมมติฐานก่อนหน้า เขาคิดว่าน่าจะมีผู้บ่มเพาะอยู่มากในหมู่ประชากร นอกจากนี้ การต่อสู้ขนาดเล็กแม้เพียงเล็กน้อยจะทำให้เกิดความผิดปกติ
แต่ทว่า ในความทรงจำของสาวหูกระต่าย สำหรับนาง ความผิดปกติเหล่านี้ส่วนใหญ่ถทอเป็นปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศ เหตุการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้ส่วนน้อยถูกมองว่าเป็นเครื่องจักรที่มนุษย์สร้างขึ้น
ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ในความทรงจำของสาวหูกระต่าย ยกเว้นแผนที่ สามัญสำนึก และความรู้ของโลกปัจจุบันนี้
“มันดูเหมือนข้ายังต้องหาผู้บ่มเพาะก่อน..”หลินฮวงเคาะโต๊ะเบาๆด้วยนิ้ว ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบด้วยมือขวา
หลังขบคิดสักพัก เขาก็ปล่อยเมล็ดกาฝากไร้รูปร่างและไร้สีออกไปทุกทิศทาง
หลินฮวงไม่กล้าใช้จิตเทวะ แต่เขาสามารถใช้เมล็ดกาฝาก นี่เพราะมันยากสำหรับเมล็ดกาฝากที่จะโดนค้นพบถ้าไม่ใช้จิตเทวะ
แน่นอน เขาไม่กระจายพวกมันในวงกว้าง แต่กลับควบคุมเมล็ดกาฝากให้อยู่ในรัศมีห้ากิโลเมตรรอบตัวเขา
เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งเมล็ดกาฝากกระจายไปกว้าง ความเป็นไปได้สูงที่จะพบยอดฝีมือก็สูง แถม วัตถุประสงค์ของเขาคือรวบรวมข้อมูล เขาไม่อยากดึงดูดปัญหาที่ไม่จำเป็น
หลินฮวงดื่มกาแฟ จับตาดูภาพที่เมล็ดกาฝากนับร้อยส่งกลับมาเงียบๆ
ภายในห้านาที เขาสังเกตเห็นคนสองสามคนที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้บ่มเพาะ
เนื่องจากเขาไม่ใช้จิตเทวะในการตรวจจับ คนเหล่านี้จึงไม่มีความผันผวนพลังงานแผ่จากพวกเขาเลย หลินฮวงสามารถทำการคาดเดาพื้นฐานได้จากภาพที่เมล็ดกาฝากส่งมาเท่านั้น
สำหรับหลินฮวง เพื่อสังเกตแก่นแท้ ปราณ จิตวิญญาณและอื่นๆของคน มันเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ
หลังจับตามองคนที่มีศักยภาพเหล่านี้ หลินฮวงก็มีความคิดและละทิ้งแผนปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาโดยตรง เขากลับควบคุมเมล็ดกาฝากให้แทรกซึมตัวของผู้ต้องสงสัย
มีคนสี่คนที่โดนแทรกซึมด้วยเมล็ดกาฝาก แต่ทว่า มีแค่หนึ่งคนที่เป็นผู้บ่มเพาะจริง ขณะที่คนอื่นเป็นแค่คนธรรมดา
หลินฮซงรู้สึกอายเล็กน้อยที่พบเรื่องนี้จากเมล็ดกาฝาก
แต่ทว่า เขาหน้าหนาพอและหายจากอาการนั้นอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มดึงข้อมูลที่เมล็ดกาฝากดึงจากความคิดของผู้บ่มเพาะ
ผู้บ่มเพาะตนนี้เป็นมอนสเตอร์ตะกอน
มอนสเตอร์ประเภทนี้คือสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนก้อนโคลนสีน้ำตาลเข้ม มันไม่มีแก่นแท้ ปราณ หรือจิตวิญญาณที่จำแนกได้เลย ต่อให้หลินฮวงยืนต่อหน้ามัน เขาก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้ามันได้
เหตุผลที่เขาจับมอนสเตอร์ตัวนี้เพราะมันคือมอนสเตอร์ตัวเดียวภายในระยะของเมล็ดกาฝากเขา
มอนสเตอร์ตะกอนตัวนี้คือเทพเสมือนขั้นเจ็ด ในที่สุดหลินฮวงก็สามารถสกัดข้อมูลมีประโยชน์จากความทรงจำมันได้
ในเมืองภูตผีแห่งนี้ อัตราส่วนของคนธรรมดาต่อผู้บ่มเพาะคือ 9:1 ผู้บ่มเพาะปะปนกับคนธรรมดาเหล่านี้อย่างกลมกลืน
สิ่งที่ทำให้หลินฮวงสงสัยมากขึ้นคือในความทรงจำของมัน ความสามารถต่อสู้ที่ต่ำสุดในหมู่ผู้บ่มเพาะในโลกนี้คือเทพเสมือน ไม่มีผู้บ่มเพาะที่ต่ำกว่านั้น บุคคลที่ต่ำกว่าเทพเสมือนคือคนธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ต้น คนธรรมดาจะโดนตัดขาดจากข้อมูลเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะในโลกนี้
คนธรรมดาไม่ชื่นชมผู้บ่มเพาะ หรือไม่เคารพพวกเขา พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีผู้บ่มเพาะอยู่ในโลกด้วย
ต่อให้คนธรรมดาเหล่านี้ได้เห็นบางสิ่งเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะโดยบังเอิญ พวกเขาก็จะลืมมันไปเอง
ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้บ่มเพาะ กฏที่ไม่ต้องพูดคือทักษะและความสามารถเทวะพวกเขาไม่ควรแสดงต่อหน้าคนธรรมดา และห้ามโจมตีพวกเขา
มอนสเตอร์ตะกอนไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงโจมตีคนธรรมดาไม่ได้ แต่ทว่า จากข้อมูลในความทรงจำมัน มันชัดเจนว่าเรื่องแย่ๆอาจเกิดถ้าพวกมันฆ่าคนธรรมดา
ดังนั้น คนธรรมดากับผู้บ่มเพาะจึงอยู่กันอย่างสันติในสภาพการอยู่ร่วมที่แปลกประหลาดเช่นนี้
หลินฮวงคิดว่าโครงสร้างทางสังคมดังกล่าวค่อนข้างน่าสนใจแม้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นโครงสร้างที่ประดิษฐ์ขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้เขาสนใจมากขึ้นคือเมื่อเขาอ่านข้อมูล เขาก็ตระหนักว่าเมืองนี้แตกต่างจากเมืองอื่นที่เขาเคยเห็น
“มีโลกภายในที่เหมือนภาพกลับหัว”ขณะที่หลินฮวงพึมพำเสียงเบา ความอยากรู้ก็เปล่งประกายในดวงตาเขา
เขาดึงข้อมูลพิเศษเล็กน้อยจากความทรงจำของมอนสเตอร์ตะกอนได้
ตอนนี้ เขากำลังมองแค่พื้นผิวเมือง ในขณะเดียวกัน มีเมืองที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน
ทันทีที่ผ่านประตู ผู้บ่มเพาะจะเข้าโลกภายในเมืองนี้ได้
เมืองนั้นเหมือนกับเมืองนี้ทุกประการ แต่ทว่า ไม่มีคนธรรมดา มีแค่ผู้บ่มเพาะ
มีตลาดสำหรับการซื้อขาย และช่องทางรับข้อมูลต่างๆ ไม่ใช่แค่นั้น การฆ่าและการต่อสู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เทียบกับเมืองด้านบนแสนสงบสุข แม้จะมีกฏในโลกภายในนี้เช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือการพัฒนาของความบ้าคลั่งและความปรารถนา
ผู้บ่มเพาะสู้กันอย่างขมขื่นด้านใน แต่ทันทีที่พวกเขากลับมาบนพื้นผิว พวกเขาจะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมของคนทั่วไป
ชีวิตแสนสงบสุขในโลกมนุษย์
หลินฮวงยังคาดเดาเงียบๆว่าผู้ถือผนึกของเจ้าปราสาทเมืองภูตผีอาจเป็นคนหลายบุคลิก
หลังอ่านความทรงจำของมอนสเตอร์ตะกอน สิ่งที่ทำให้หลินฮวงผิดหวังคือเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผนึกเจ้าปราสาท หรือผู้ถือมัน
ความทรงจำของมันขาวโพลนสำหรับเรื่องนี้
แม้จะไม่มีเบาะแสชี้ตรงไป หลินฮวงก็ไม่รู้สึกท้อ อย่างน้อย ตอนนี้เขาก็พบการดำรงอยู่ของโลกภายใน รวมถึงวิธีเข้า การหาเบาะแสเพิ่มเป็นแค่เรื่องของเวลา
เหนือสิ่งอื่นใด มอนสเตอร์ตะกอนเป็นแค่เทพเสมือน ถือเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในเมืองนี้ ถ้าหลินฮวงมองเมืองภูตผีเป็นเกม มอนสเตอร์ตะกอนก็แค่สิ่งมีชีวิตตัวน้อย
ด้วยการคิดแบบนักออกแบบเกม พวกเขาจะไม่เก็บข้อมูลสำคัญมากไว้ภายในมอนสเตอร์เช่นนี้
ตามแนวทางการออกแบบเกมทั่วไป ยิ่งมอนสเตอร์ทรงพลัง ข้อมูลยิ่งมาก
นอกจากนี้ เกมนี้ยังเป็นเกมใหม่ แผนที่ยังเป็นแบบลับ ซึ่งจะมอบรางวัลให้ผู้เล่นมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินฮวงไม่กังวลเลยถึงการได้รับข้อมูลเพิ่มภายหลัง
จากความคิดของมอนสเตอร์ตะกอน เขาดึงพิกัดที่ใกล้สุดของทางเข้าโลกด้านใน โดยไม่ลังเล เขาหายตัวไปในพริบตา..