การโจมตีของจิ่วเจี้ยนไม่ถือว่าอ่อนแอเลย
แม้นี่จะไม่ใช่ต้นแบบที่ทรงพลังสุด จากมุมมองของหลินฮวงกับจิ่วเจี้ยน อย่างน้อยมันก็อยู่ในระดับกึ่งจ้าวเทวะ
พอเห็นร่างของเก้าเถาวัลย์หายไปและแม้กระทั่งกลิ่นอายก็ไม่หลงเหลือ ปฏิกิริยาแรกจากหลินฮวงและคนอื่นคือเก้าเถาวัลย์ตายไปแล้ว?!
แต่ทว่า วินาทีต่อมา ทั้งสามก็สีหน้าเปลี่ยนไปแทบจะพร้อมกัน ทั้งหมดมองจุดบนพื้นไม่ไกลออกไป
เถาวัลย์ใหม่พลันโผล่ออกจากผิวดิน จากนั้นก็เส้นที่สองและสาม ภายในชั่วพริบตา พวกมันก็รวมกันเป็นร่างมนุษย์
มันคือเก้าเถาวัลย์ ซึ่งอยู่ในร่างของเกราะเงินเช่นเดิม!
“ข้าเกือบตาย..”เก้าเถาวัลย์อดอุทานไม่ได้ขณะที่ร่างกายฟื้นฟู
“ตามคาด ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปหยุดที่จิ่วเจี้ยน”แต่ทว่า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเหลือแรงพอใช้การโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง”
การคาดเดาของเก้าเถาวัลย์เกิดขึ้นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ถดถอยของจิ่วเจี้ยน นี่คือสิ่งที่จะเกิดก็ต่อเมื่อพลังเทวะของคนเราหมดลงอย่างรวดเร็ว
การคาดเดาของเก้าเถาวัลย์นั้นถูก แต่ในความเป็นจริง สภาพของจิ่วเจี้ยนนั้นแย่ยิ่งกว่านั้น
การดึงเอาค่ายกลกระบี่ช่วยชีวิตที่ร่างหลักทิ้งไว้ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อจิ่วเจี้ยน
ปัจจุบัน ไม่เพียงพลังเทวะของเขาจะหมด จิตวิญญาณกับร่างกายของเขายังเกินขีดจำกัด เขาแทบล้มอยู่แล้ว
โชคดี นอกจากจะพบว่าจิ่วเจี้ยนไม่เหลือแรงสู้อีก เก้าเถาวัลย์ไม่พบความผิดปกติอื่น
สำหรับหลินฮวงกับเวอชุโอโซ พวกเขาไม่มีความคิดว่าจิ่วเจี้ยนจะตกอยู่ในสภาพร้ายแรงหลังการโจมตี แต่ทว่า ก่อนเขาจะได้ขยับ จิ่วเจี้ยนก็ได้แจ้งทั้งสองว่าเขาโจมตีได้แค่ครั้งเดียว ไม่ว่ามันจะฆ่าเก้าเถาวัลย์ได้ไหม เขาจะไม่มีแรงสู้อีก
ตอนเวอชุโอโซเห็นแววตาที่จิ่วเจี้ยนส่งให้พวกเขา พวกเขาก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อโดยไม่ต้องพูด
จิ่วเจี้ยนไม่เหลือความสามารถต่อสู้อย่างสมบูรณ์ โอกาสเดียวที่จะฆ่าเก้าเถาวัลย์ขึ้นอยู่กับไพ่ตายของพวกเขาแล้ว
ตอนนี้ เวอชุโอโซพูดกับหลินฮวงผ่านคลื่นเสียง”ถ้าข้าไม่สามารถฆ่าเขาได้หลังใช้ไพ่ตายของข้า จงหนีไปให้ไกลที่สุด อย่าสนใจเราสองคน เราสองคนมีวิธีเอาชีวิตรอด”
ตอนเขาได้ยิน หลินฮวงก็รู้ว่าอีกสองไม่ได้พิจารณาว่าตัวเขาอาจมีไพ่ตาย แต่ทว่า พอคิดถึงมัน เขาก็ยอมปล่อยผ่าน เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งคี่มไพ่ตายที่ทิ้งไว้โดยผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือยิ่งกว่าจ้าวเทวะ จากมุมมอของพวกเขา ถ้าไพ่ตายของพวกเขายังฆ่าเก้าเถาวัลย์ไม่ได้ งั้นไพ่ตายของหลินฮวงก็คงทำอะไรไม่ได้
แต่ทว่า ในหัวใจเขา หลินฮวงได้แต่บ่น’นี่คือเขตแดนเทพของเก้าเถาวัลย์ ต่อให้ข้าอยากหนีจริง ข้าจะหนีไปไหนได้?!’
ตอนนี้ เวอชุโอโซพูดเสริม”วิธีเอาชีวิตรอดของพวกเราอาจส่งผลดีต่อเจ้าด้วย’
จากนั้นหลินฮวงถึงตระหนักว่าเวอชุโอโซไม่ได้กำลังขอให้เขาหนีจากการไล่ล่าของเก้าเถาวัลย์ แต่เป็นการออกห่างจากผลที่จะเกิดจากการที่ทั้งคู่ใช้ไพ่ตาย
หลังพูดกับหลินฮวง เวอชุโอโซก็หันกลับไปหาเก้าเถาวัลย์
ศัตรูคนนี้ที่พวกเขาเผชิญหน้าเกินกว่าความคาดหมายของพวกเขาไปมาก
เดิมที เวอชุโอโซคิดว่าหลังจิ่วเจี้ยนใช้ไพ่ตาย มันก็ยังมีโอกาสฆ่าสัตว์ประหลาดตรงหน้าพวกเขา ถึงแม้การโจมตีจะไม่ทรงพลังเหมือนดั้งเดิมก็ตาม และต่อให้มันฆ่าเก้าเถาวัลย์ไม่สำเร็จ อีกฝ่ายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
แต่ทว่า จากที่ดู เก้าเถาวัลย์ดูปกติดี พวกเขาสงสัยว่าอีกฝ่ายใช้เทคนิคพิเศษอะไร
แม้จะได้รับการโจมตีระดับกึ่งจ้าวเทวะของจิ่วเจี้ยนไป กลิ่นอายของเก้าเถาวัลย์ก็ไม่แสดงสัญญาณที่อ่อนแอลงเลย
เวอชุโอโซไม่มั่นใจว่าไพ่ตายของเขาจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้
ความคิดมากมายแวบผ่านหัวเขาภายในเวลาแค่ชั่วขณะ
เขาเงยหน้าขึ้น มองเก้าเถาวัลย์อีกครั้ง จากนั้นก็โจมตีโดยไม่ลังเล
เขาประสานมือสองข้างอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน หน้ากากที่คลุมหน้าก็เริ่มสลาย เปลี่ยนเป็นจุดแสงดาวที่ก่อตัวอย่างรวดเร็วเหนือหัวเวอชุโอโซ
ด้วยความประหลาดใจ หลินฮวงเงยหน้าขึ้น มองสิ่งที่ก่อตัวเหนือหัวเวอชุโอโซ เขาสามารถมองออกได้ว่ามันคือหน้ามนุษย์ที่ดวงตาสองข้างกำลังปิดสนิท
ไม่ช้า ภาพใบหน้าที่ดูเหมือนจริงขนาดมหึมาก็ก่อตัวอย่างสมบูรณ์
หลินฮวงอดจ้องไปที่ใบหน้านั้นไม่ได้ มันดูไร้ที่ติมาก ทุกรายละเอียดถือว่าโดดเด่น ต่อให้ซูมเข้าไปร้อยเท่า เขาก็ไม่พบจุดผิดพลาดสักจุด แต่ทว่า หลินฮวงยังไม่มั่นใจว่าเจ้าของหน้านี้คือหญิงหรือชาย
ทันทีที่หน้ายักษ์ก่อตัวอย่างสมบูรณ์ สุดท้ายมันก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ดวงตาคู่นั้นเป็นสีน้ำเงิน วินาทีที่ลืมขึ้น หลินฮวงก็รู้สึกราวกับสามารถเห็นทั้งจักรวาลหมุนวนอยู่ภายในได้ แต่ทว่า ตอนเขากะพริบตาและมองใหม่ ดวงตาคู่นั้นก็ไม่แสดงสัญญาณชีวิต พวกมันดูไม่แยแสถึงขีดสุด ในเวลาเดียวกัน พวกมันดูเหมือนจะหลุดพ้นจากทุกสิ่ง
วินาทีที่ดวงตาลืมขึ้นอย่างสมบูรณ์ แสงสีทองพลันปะทุขึ้นในความมืดของห้วงอากาศตรงหน้าพวกเขา
แสงสีทองมีขนาดประมาณก้อนกรวด บางทีอาจเล็กกว่านั้น แสงที่มันปล่อยออกมาอ่อนแรงมาก มันถือว่าหม่นซะด้วยซ้ำ
มันให้ความรู้สึกของแสงหิ่งห้อยในคืนฤดูร้อน บางทีอาจจางเสียยิ่งกว่านั้น
หลินฮวงไม่สามารถรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานใดจากแสงสีทองน้อย ๆ นั่น แต่ทว่า สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่ามันอันตรายและเขาก็ควรอยู่ให้ห่างจากมัน
ปฏิกิริยาของจิ่วเจี้ยนยิ่งตรงไปตรงมากว่า เขาดูเหมือนจะรู้ดีถึงศักยภาพของการโจมตีนี้ และก็รีบไปหลบหลังเวอชุโอโซ
เก้าเถาวัลย์สัมผัสได้ถึงอันตราย เถาวัลย์นับไม่ถ้วนพุ่งใส่เวอชุโอโซกับแสงสีทองอย่างบ้าคลั่ง พยายามหยุดการโจมตี
แต่ทว่า เรื่องแปลกก็คือ เถาวัลย์ของเขากลับพุ่งผ่านตัวเวอชุโอโซกับจิ่วเจี้ยนไป พวกมันเจาะทะลุแสงสีทองเช่นกัน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มันราวกับว่าเวอชุโอโซ จิ่วเจี้ยนกับแสงสีทองเป็นแค่ภาพจำแลงที่ไม่มีอยู่จริง
ด้วยความพยายามที่เปล่าประโยชน์ เก้าเถาวัลย์จึงไม่ลองโจมตีหลินฮซง บางสิ่งดูเหมือนจะเกิดขึ้นกับเขา และเขาก็รีบประสานมือสองข้าง เถาวัลย์ดำนับไม่ถ้วนเปลี่ยนเป็นหมอกขาว ห่อหุ้มเขาไว้หลายชั้น ภายในชั่วพริบตา เขาก็กลายเป็นรังไหมสีขาวยักษ์ ไม่มีใครบอกได้ว่ามีชั้นเถาวัลย์ห่อหุ้มตัวเขากี่ชั้น
“เทคนิคป้องกันจิตวิญญาณ?!”ภายใต้หน้ากาก คิ้วของหลินฮวงขมวด ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมเขาถึงสัมผัสคลื่นพลังเทวะจากแสงสีทองไม่ได้
การโจมตีของเวอชุโอโซคือเทคนิคโจมตีจิตวิญญาณ!
เก้าเถาวัลย์รู้ตัว เขาจถึงได้ตั้งการป้องกันจิตวิญญาณโดยไม่ลังเล
พอรังไหมของเก้าเถาวัลย์ก่อตัวเสร็จ แสงสีทองของเวอชุโอโซก็ควบแน่นเต็มที่พอดี
แสงสีทอง’ค่อยๆ’ล่อยลอยเหมือนหิ่งห้อยและบินหายเข้าไปในรังไหม…
โดยธรรมชาติ ความช้านั้นเป็นภาพลวงตาที่หลินฮวงกับจิ่วเจี้ยนเห็น แต่จริง ๆ แล้ว การโจมตีนี้หลบไม่ได้เลย
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา ตั้งแต่ที่เวอชุโอโซใช้คลื่นเสียงบอกให้หลินฮวงหนี จนถึงตอนใช้ไพ่ตายสร้างหน้ายักษ์ จากนั้นแสงสีทองก็ยิองออกไป และเก้าเถาวัลย์ก็ใช้เถาวัลย์นับไม่ถ้วนพยายามหยุดการโจมตี สุดท้ายก็สร้างรังไหมขึ้น
ต่อจากนั้น หลินฮวงก็เห็นแสงสีทองพร่างพรายพุ่งออกจากรังไหมยักษ์
ตอนแรก มันดูเหมือนแสงแดดส่องทะลุผ่านรอยแยกของเปลือกไข่ ยกเว้นว่าแสงเหล่านั้นเป็นรังสีที่ส่องผ่านช่องว่างในรังไหม แต่ทว่า ครู่ต่อมา รังไหมขนาดยักษ์กลับเริ่มยุบตัว และแสงสีทองก็เริ่มส่องออกมาผ่านรูยิ่งขึ้น สุดท้าย รังไหมก็พังทลายลง และผืนดินกับสวรรค์ทั้งหมดก็สว่างไสวไปด้วยแสงสีทองอันเจิดจ้า!
“คราวนี้เก้าเถาวัลย์คงตายแล้วใชไหม?!”หลินฮวงหรี่ตามองไปยังทางที่แสงสีทองระเบิด เขาสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของเก้าเถาวัลย์อีกต่อไป