สีวู่หยาได้ถือกล่องลึกลับเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว “พวกเราคงจะบอกเรื่องนี้กับใครไม่ได้ ข้าเกรงว่าพวกคนนอกคงจะอยากได้สมบัติจากศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่”
ซู่ฮ่องกงศิษย์คนที่แปดได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย “ศิษย์พี่เจ็ด มีคนแบบนั้นอยู่มากมาย ทุกคนในยุทธภพก็ล้วนแต่อยากได้สมบัติจากศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่แล้ว จะมีเพิ่มอีกสักคนก็คงจะไม่ต่างกัน”
“ไม่ ข้ากำลังพูดถึงแค่กล่องใบนี้เท่านั้น” ถ้าหากมันมีสมบัติวิเศษอยู่จริงๆ มันจะต้องทำให้ทั่วทั้งโลกโกลาหลอย่างแน่นอน สีวู่หยาได้ถือกล่องใบนั้นเดินออกจากหุบเขาพยัคฆ์โดยที่มีซู่ฮ่องกงคอยเดินตามหลังไป
ที่ที่สีวู่หยาเดินตรงไปมีรถม้าบินได้จอดเอาไว้อยู่ ที่ตรงนั้นเองมีผู้ฝึกยุทธหลายสิบคนกำลังยืนคุ้มกันอยู่ พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ใส่ชุดคลุมสีอ่อน เมื่อสีวู่หยาปรากฏตัว ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็ได้โค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านเจ้าสำนัก! “
สีวู่หยาโยนกล่องลึกลับใบนั้นไปในรถม้าก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในทันที “ไปเมืองอันยางซะ”
“ครับ! “
ผู้ฝึกยุทธหลายสิบคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ใช้พลังลมปราณของตัวเองออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน รถม้าขนาดใหญ่คันนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นสู่กลางอากาศอย่างช้าๆ
สีวู่หยาที่อยู่ในรถม้าพูดออกมาอย่างใจเย็น “ศิษย์น้องแปด เจ้าอย่าทำอะไรเพื่อให้ตัวเองตกเป็นเป้าสนใจซะล่ะ ในตอนนี้ข้อตกลงระหว่างวิหารปีศาจและสำนักเที่ยงธรรมได้จบลงแล้ว เจ้าพวกนั้นคงไม่กล้ามาท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่ แต่เจ้าพวกนั้นคงจะมาเอาเรื่องที่เจ้าแทน”
เมื่อซู่ฮ่องกงได้ยินแบบนั้น เขาก็สั่นไปทั้งตัวก่อนที่จะพูดตอบกลับมา “ศิษย์พี่ ทั้งหมดเป็นความคิดของท่าน แล้วทำไมกัน ทำไมข้าถึงเป็นคนที่ได้รับโทษแบบนี้? “
สีวู่หยามองไปที่ทางที่มุ่งสู่เมืองอันยาง “แม้ว่าจางหยวนฉานจะยั่วยุศาลาปีศาจลอยฟ้ามาแล้วมากมายหลายครั้ง แต่ยังไงเจ้านั่นก็เป็นคนที่ขี้ขลาดอย่างแท้จริง เจ้านั่นน่ะกลัวตายกว่าสิ่งอื่นใด ถ้าหากเจ้านั่นไม่กลัวตายเจ้านั่นก็คงจะกลับไปยังแท่นบูชาหยกเขียวในตอนที่ท่านอาจารย์ปรากฏตัวแล้ว “
“ถึงแบบนั้นก็ไม่ยุติธรรมอยู่ดีที่ข้าจะต้องได้รับโทษแทน”
“ผู้ชายอย่างเจ้านั่นก็เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะกลัวผู้ที่แข็งแกร่งกว่าและเลือกที่จะสู้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าแทน” ทันทีสีวู่หยาพูดจบ รถม้าก็ได้บินจากไป
ถ้าหากจะให้พูดในอีกความหมายหนึ่ง ‘จางหยวนฉานคงคิดว่าหุบเขาพยัคฆ์เป็นผู้ก่อเหตุความวุ่นวายทั้งหมดแทนสินะ? ‘ ซู่ฮ่องกงที่เห็นรถม้าจากไปได้โค้งคำนับให้เล็กน้อยก่อนที่จะพูดบอกลา “ขอให้เดินทางปลอดภัยครับศิษย์พี่” หลังจากนั้นเขาก็ยืดร่างกายของตัวเองก่อนที่จะพูดเยาะเย้ยออกมา “ข้าไม่มีวันรับโทษนั่นแทนศิษย์พี่แน่”
…
สองชั่วโมงต่อมา
รถม้าของสีวู่หยาก็ได้จอดลงที่ใกล้ๆ กับเมืองอันยางอย่างช้าๆ สีวู่หยาได้ออกจากรถม้าของตนก่อนที่จะจ้องมองไปที่เมืองที่อยู่ตรงหน้า
หนึ่งในลูกน้องของสีวู่หยารีบเดินออกมาพูดกับเขาในทันที “ท่านเจ้าสำนัก พวกเขาจัดการพื้นที่โดยรอบแล้ว ไม่มีใครรู้แน่ว่าท่านเจ้าสำนักมาที่นี่”
สีวู่หยาพยักหน้า “รอข้าที่นี่ ข้าจะรีบกลับมา”
“ท่านเจ้าสำนัก ดาบปีศาจเพิ่งจะอยู่ในเมืองไม่นานมานี้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากดาบปีศาจโกรธที่ท่านเจ้าสำนักมาเยี่ยมเยียนตัวเขากัน? “
สีวู่หยาเหลือบมองไปที่ชายคนนั้นก่อนที่จะตอบกลับไป “เจ้าน่ะผิดแล้ว ศิษย์พี่รองข้า…ข้าจะตัดสินด้วยตัวเอง”
“เข้าใจแล้วท่านเจ้าสำนัก”
สีวู่หยายกแขนขึ้น ในตอนนั้นเองกล่องลึกลับจากในรถม้าก็ได้ลอยอยู่บนฝ่ามือของเขา
…
ในขณะเดียวกันที่ชั้นสามของร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองอันยาง จากหน้าต่างของร้านอาหารที่นี่สามารถมองเห็นเมืองอันยางทั้งหมดได้
ในตอนนั้นเองชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวกำลังรินเหล้าให้กับตัวเอง
ที่ร้านอาหารแห่งนี้ว่างเปล่า มันไม่มีแขกแม้แต่คนเดียว
เสี่ยวเอ้อที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับเขากำลังยืนตัวสั่นอยู่ เสี่ยวเอ้อได้เหลือบมองชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวเป็นระยะๆ
ในตอนนั้นจู่ๆ ชายผู้ใช้ดาบก็ได้พูดขึ้น “อีกไกลแค่ไหนกัน? “
“จาก…หุบเขาตะวันฟ้า…ไปยังเมืองอันยาง…คงจะใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง ในตอนนี้พวกเขา…คะคงจะมาถึงแล้ว” เสี่ยวเอ้อพูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ
“ไม่ต้องกลัวไป…ที่นี่ยังมีเหล้าและอาหารอีกเยอะ มานั่งดื่มกับข้าเถอะ” ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวได้พูดชักชวนออกมา
“ไม่ ไม่ ไม่…ข้าน้อยไม่กล้า ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้…ตรงนี้เหมาะกับข้าดีที่สุดแล้ว…” เสี่ยวเอ้อถึงกับหนาวไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำเชิญของชายผู้ใช้ดาบที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่
ตึ๊ก! ตึ๊ก! ตึ๊ก!
มีใครบางคนกำลังเดินขึ้นบันไดมา
ผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังเดินมาที่ชั้นสาม มีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ 1 คน และมีผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูอีก 2 คน ผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้อีก 6 คน และผู้ฝึกยุทธขั้นอื่นๆ อีก 3 คน
นอกเหนือจากผู้ใช้ดาบชุดเขียวและเสี่ยวเอ้อ ในห้องแห่งนี้มีเพียงโต๊ะ, เก้าอี้ อาหารและเหล้าเพียงสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น
ชายผู้ใช้ดาบได้จ้องมองไปที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดผู้มาใหม่ เขารินเหล้าตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาอย่างใจเย็น “ปล่อยเจ้าพวกนี้เอาไว้ซะ คนอื่นๆ ถอยไปได้”
เสี่ยวเอ้อได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกราวกับนักโทษประหารที่ได้รับอภัยโทษแล้ว หลังจากนั้นเขาก็โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ขอบคุณท่าน! ขอบคุณท่านจริงๆ! ” เสี่ยวเอ้อได้วิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างจ้องไปที่ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวอย่างงงงวย
ชายวัยกลางคนผู้เป็นผู้นำกลุ่มชาวยุทธสัมผัสได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดจากชายผู้ใช้ดาบชุดเขียว ในตอนนั้นเขาทำท่าคารวะก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านเป็นใครกันแน่ ท่านจอมยุทธ? “
ชายผู้ใช้ดาบไม่ได้ตอบคำถามกลับไป ในตอนนั้นเขาเลือกที่จะถามออกมาแทน “พวกเจ้าทั้งหมดใช่โจรภูเขาแห่งหุบเขาตะวันฟ้าสินะ? “
“การที่จะเรียกว่าโจรภูเขามันอาจจะฟังดูแรงไปหน่อย…พวกเราก็แค่เป็นกลุ่มคนที่พยายามจะหาเลี้ยงชีพตัวเองก็เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้ร้านอาหารอยู่รอดต่อไปแบบนี้ ข้าหวังว่าท่านจอมยุทธจะไม่ทำให้พวกเราเดือดร้อนนะครับ”
“ถ้าหากเป็นแบบนั้น…เรื่องนี้ก็ง่ายเพียงนิดเดียว” ชายผู้ใช้ดาบได้ยกจอกเหล้าของตัวเองขึ้นก่อนที่จะดื่มมัน หลังจากที่ดื่มเหล้าเสร็จน้ำเสียงที่เยือกเย็นของเขาก็ได้เปลี่ยนไป “ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าจริงๆ นะ แต่พวกเจ้าช่วยจบชีวิตของตัวเองลงที่นี่จะได้ไหม? ดาบของข้าไม่ชอบที่จะแปดเปื้อนเลือดของผู้ฝึกยุทธกระจอกๆ “
กลุ่มผู้ฝึกยุทธที่ได้ยินแบบนั้นได้ถอยหลังกลับไปตามสัญชาตญาณในทันที
“ท่านเป็นใครกันแน่”
ชายผู้ใช้ดาบได้ยิ้มจางๆ ก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ายู่ฉางตง”
“…”
“ดาบปีศาจ!? “
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายไม่ได้ต้องการพิสูจน์ความจริงแต่อย่างใด พวกเขาทั้งหมดต่างก็หันหลังก่อนที่จะวิ่งหนี
ตึ๊ก! ตึ๊ก! ตึ๊ก!
แต่ที่บันไดทางลงนั้นเองมีม่านพลังที่สุดแสนน่ากลัวขวางทางเอาไว้ไม่ให้พวกเขาได้หลบหนีไปไหนได้
ชายผู้ใช้ดาบยังคงรินเหล้าให้ตัวเองก่อนที่จะดื่มมัน ยู่ฉางตงได้ทำตัวราวกับว่าไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้ฝึกยุทธกว่าเป็นสิบคนเริ่มตื่นตระหนก
ในตอนนั้นเองอาวุธพลังลมปราณที่ซ่อนอยู่ก็ได้จู่โจมเหล่าชาวยุทธโดยที่ไม่มีสัญญาณเตือน มีเพียงแสงประกายสีทองจากขนนกยูงเท่านั้นที่เหล่าผู้ฝึกยุทธเห็นเป็นสิ่งสุดท้าย
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
อาวุธที่ว่าได้เจาะเข้าไปที่หน้าอกของผู้ฝึกยุทธแต่ละคนอย่างแม่นยำ มันทะลวงเข้าไปซ้ำๆ
ชายผู้ใช้ดาบไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง เขาได้แต่ส่ายหัวเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้วางจอกเหล้าลงก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “ศิษย์น้อง เจ้าทำให้ข้าอารมณ์เสียนะ ข้ากำลังเพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มพวกนี้อยู่ ข้าน่ะไม่ชอบกลิ่นเลือดเลยจริงๆ “
สีวู่หยาเดินขึ้นบันไดมาโดยเอามือไขว้หลัง ในตอนนั้นเองกล่องลึกลับได้ลอยอยู่ข้างๆ ตัวเขา ใบหน้าของสีวู่หยาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขานั่งลงตรงข้ามยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าจะเลี้ยงท่านเพื่อเป็นการไถ่โทษเอง ศิษย์พี่…”
ยู่ฉางตงส่ายหัวตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “แค่เจ้าคิดแบบนั้นข้าก็พอใจแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเป็นอะไรที่น่าเสียดายยิ่งนัก ข้าสัญญากับเจ้าพวกนั้นเอาไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะให้พวกมันจบชีวิตตัวเอง”
“เป็นความผิดของข้าเอง…ข้าไม่ควรเข้าไปยุ่งเลยจริงๆ ” สีวู่หยาพูดขึ้น “ศิษย์พี่น่ะเป็นคนที่มีวรยุทธลึกล้ำ ทำไมศิษย์พี่ถึงต้องลดตัวไปจัดการกับพวกกลุ่มโจรกระจอกพวกนั้นด้วยล่ะ? “
“ศิษย์น้องเล็กหยวนเอ๋อทั้งไร้เดียงสาและแสนบริสุทธิ์ ปัญหาของนางก็เหมือนปัญหาของข้านั่นแหละ” ยู่ฉางตงพูดออกมา
สีวู่หยาถึงกับผงะ “ท่านนี่รักศิษย์น้องเล็กจริงๆ เลยนะ”
“ข้าไม่ได้เรียกมันว่าความรักหรอกนะ…” ยู่ฉางตงพูดออกมาเบาๆ “ในตอนที่ศิษย์พี่ใหญ่กับข้าออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ศิษย์น้องเล็กยังไม่ได้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าซะด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมท่านถึงทำแบบนั้นกัน? ” สีวู่หยากวาดตาไปมองซากศพกลุ่มโจรภูเขาที่กำลังนอนอยู่
ยู่ฉางตงได้ยิ้มออกมา หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นก่อนที่จะเอามือไขว้หลังเอาไว้ ยู่ฉางตงได้เดินไปมองทิวทัศน์ที่ภายนอกร้านอาหารก่อนจะพูดตอบกลับมา “ข้าน่ะเคยพบกับศิษย์น้องเล็กหลายครั้งแล้ว ข้าคิดว่านางก็เหมือนกับข้า นางเป็นคนที่จริงใจต่อผู้อื่น”
“…” สีวู่หยาได้ไอออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อไป “ศิษย์พี่ข้ามีเรื่องที่จะคุยกับท่าน” ในตอนนั้นสีวู่หยาก็ได้โบกมือของตัวเอง กล่องลึกลับที่ติดตัวเขามาจึงได้ตกลงสู่โต๊ะ