วู่เฉิงกำหมัดของตัวเองก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอกท่านปรมาจารย์…สิบคนทรงมีพลังที่สูงกว่ายอดฝีมือทั้งสิบแน่ ท่านปรมาจารย์จะทำยังไงถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับพลังนี้นอกม่านพลัง? “
เร็นบู้ผิงโบกมือของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ได้ถามสาวกของวิหารปีศาจ “ยอดฝีมือลำดับ 3 อยู่ไหนกัน? “
“ยอดฝีมือลำดับที่สามในตอนนี้กำลังอยู่กับนักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานครับ พวกเขาจะมาที่นี่ในเร็วๆ นี้” สาวกคนหนึ่งได้ทำความเคารพก่อนที่จะตอบไป
ใบหน้าของฮั๊ววู่เด๋าเต็มไปด้วยความกังวลมากขึ้นไปอีก สถานการณ์ที่ตัวเขากำลังเจออยู่ในตอนนี้คือสถานการณ์ที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด เดิมทีฮั๊ววู่เด๋าอยู่สำหนักหยุน แต่ในตอนนี้เขากลับเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว เพราะเหตุผลนั้นเองทำให้ฮั๊ววู่เด๋าไม่อยากเจอผู้คนมากมาย สุดท้ายแล้วผู้คนต่างๆ ที่เขาได้พบก็เป็นเหมือนกับสหายในอดีตของตัวเขาเอง
“ผู้อาวุโสฮั๊ว…ลั่วฉีซานเป็นผู้ที่มักจะฝึกฝนตัวเองอย่างสันโดษมาโดยตลอด ทำไมเจ้านั่นถึงได้ร่วมมือกับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ล่ะ? ข้าคิดมาว่าสำนักหยุนจะเป็นสำนักที่ยึดถือในเส้นทางคุณธรรมมาโดยตลอด ไหนกลับกลายเป็นแบบนั้นได้ซะล่ะ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ฟังแบบนั้น สีหน้าแห่งความลำบากใจก็ได้ปรากฏขึ้นในทันที ตัวเขาจะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ฮั๊ววู่เด๋าในตอนนี้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว เพราะแบบนั้นเองตัวเขาจึงไม่อาจที่จะพูดอะไรได้อีก
ฝานซงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “นักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานเป็นน้องชายของลั่วฉางชิงหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้ดาบ พี่น้องสกุลลั่วทั้งสองต่างก็มีทักษะดาบที่สูงส่ง ทั้งสองคนล้วนแต่มุ่งมั่นฝึกยุทธด้วยตัวเองมาโดยตลอด ข้าไม่คิดเลยว่าลั่วฉีซานจะกลับกลายเป็นเบี้ยล่างของคนอื่นแบบนี้”
วู่เฉิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พูดแย้งกลับมา “ท่านฝาน ท่านน่ะพูดผิดไปแล้ว ท่านมาจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ เดิมทีท่านฝานเองก็ยึดถือเส้นทางแห่งคุณธรรม ทำไมท่านถึงกลับใจเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ล่ะ? ท่านเองก็ไม่ใช่เบี้ยล่างของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? “
ในตอนนั้นเองลมกระโชกแรงก็ได้พัดผ่านมา
เสื้อคลุมสีแดงของวู่เฉิงและวู่กวนต่างก็กระพือไปตามสายลม ในตอนนี้ทัศนคติของทั้งสองฝ่ายต่างก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฝานซงได้ตะคอกกลับมาในทันที “ข้าไม่เสียใจเลยที่ได้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ เจ้าน่ะเป็นถึงลูกหลานของสิบคนทรง แต่ถึงแบบนั้นเจ้ากลับเลือกที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้านของม่อหลี่ เจ้าไม่คิดว่าการกระทำเยี่ยงนี้ไม่ได้ดูถูกเหล่าบรรพบุรุษอย่างงั้นหรอ? “
“ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเสวนากันแล้ว ฟ้าดินเป็นพยาน ความภักดีที่ข้ามีต่อพระราชวังเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด” วู่เฉิงได้พูดออกมาในขณะที่กำหมัดแน่น
“ความภักดีกับผีอะไรกัน! ” ฝานซงในตอนนี้เก็บอารมณ์ความรู้สึกต่อไปไม่ไหวแล้ว “พวกเจ้าเคยรู้ไหมล่ะว่าท่านหญิงม่อหลี่ของพวกเจ้าเป็นคนแบบไหนกัน? “
วู่เฉิงที่เคยพูดมาอย่างมั่นใจมาโดยตลอดในตอนนี้กลับมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เขาดูลังเลขึ้นมานั่นเอง “แล้วท่านรู้อะไรอย่างงั้นหรอ? “
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอะไรเช่นนี้” ฝานซงได้พูดต่อไป “ในตอนที่ข้ากำลังหาวิธีรักษาตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นข้าได้ไปที่พระราชวังเพื่อที่จะขอรับการรักษาจากหมอหลวงของที่นั่นมา…ในตอนนั้นเองข้าก็ได้พบความจริงอะไรบางอย่างเข้า”
ต้วนมู่เฉิงหันไปมองฝานซงก่อนที่จะพูดต่อไป “รีบพูดออกมาซะ ท่านหญิงม่อหลี่เป็นคนแบบไหนกันแน่? “
“ม่อหลี่…เป็นคนรักของเจ้าชายองค์ที่สองหลี่หวนยังไงล่ะ! ” ฝานซงหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดเสริมขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าหากจะให้ข้าพูดให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น ม่อหลี่เป็นคนรักชายขององค์ชายยังไงล่ะ! “
หมิงซี่หยิน “??? “
ต้วนมู่เฉิง “…”
เร็นบู้ผิง “??? “
บรรยากาศในตอนนี้เปลี่ยนไป มันดูน่าอึดอัดเป็นอย่างมาก
วู่เฉิงและวู่กวนที่ได้ยินแบบนั้นเองสีหน้าของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนไปในทันที
แม้ว่าลู่โจวจะคาดคิดถึงสิ่งต่างๆ มาแล้วอย่างมากมาย แต่ถึงแบบนั้นนี่ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ‘ม่อหลี่เป็นผู้ชายจริงๆ อย่างงั้นหรอ? ความจริงนี่มันน่าตกใจเกินไป’
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นเองต่างก็ตกตะลึงจนแทบไม่อยากจะเชื่อ
ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วละก็…
‘ไม่เหมือนกับองค์ชายองค์ที่สองหลี่หวน ตงเซี้ยนเป็นนักวิชาการของราชวงศ์ฮั่น คนคนนี้ได้ไต่เต้าตำแหน่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นขุนนางผู้ที่มีอำนาจที่สุดขององค์จักรพรรดิอายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี ขุนนางหลายคนคิดว่าการที่ตำแหน่งของตงเซี้ยนเพิ่มสูงขึ้นแบบนี้เป็นเพราะความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวของตงเซี้ยนกับองค์จักรพรรดิอาย แต่เรื่องความสัมพันธ์รักๆ ใคร่ๆ แบบนี้มันเป็นความสามารถทางการแสดงของตงเซี้ยนจริงๆ อย่างงั้นหรอ? ไม่ ไม่ ไม่ ม่อหลี่ควรจะเป็นตงเซี้ยนไม่ผิดแน่’
ลู่โจวในตอนนั้นอดไม่ได้ที่คิดนึกถึงภาพผู้ชายสองคนกำลังนอนอยู่ภายใต้เตียงเดียวกัน ในบ่ายวันหนึ่งในวันที่จักรพรรดิอายตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล แต่ในตอนนั้นตงเซี้ยนยังคงหลับอยู่ จักรพรรดิอายที่เห็นว่าตงเซี้ยนกำลังเอาหัวซุกแขนเสื้อของตัวเองจึงเลือกที่จะตัดแขนเสื้อข้างนั้นออกเพื่อที่จะให้ตงเซี้ยนได้หลับอย่างสบายต่อไป
‘เอ่อ…’ ลู่โจวหันไปมองฝานซุยเหวินที่กำลังนอนอยู่บนรถม้า
ฝานซุยเหวินในตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างขึ้นจนราวกับว่ากำลังถลนออกมาจากเบ้า ริมฝีปากของเขาสั่นสะท้านไปทั่ว
ลู่โจวในตอนนี้กำลังสงสัยว่าฝานซุยเหวินกำลังรู้สึกอะไรกันแน่ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ได้ส่ายหัวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหันกลับไปมองที่วู่เฉิงอีกครั้ง
วู่เฉิงในตอนนี้รู้สึกโกรธจัดจนสัมผัสได้ เขาชี้ไปที่ฝานซงก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้ากล้าดูถูกบรรพบุรุษของพวกเราสิบคนทรงไม่พอ เจ้ายังกล้าดูถูกท่านม่อหลี่อีก…ถ้าหากข้าไม่ฆ่าเจ้าเห็นทีข้าคงจะล้างความอับอายทั้งหมดที่มีไม่ได้แน่! ” พอพูดจบวู่เฉิงก็ได้โบกมือขึ้นมาในทันที
ทันทีที่โบกมือไป ผู้ฝึกยุทธชุดแดงกว่า 30 คนก็ได้มารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดได้ผสานมือขึ้นมา ในตอนนั้นเองวงกลมแสงสีม่วงจางๆ ก็ได้เปล่งแสงออกมาจากพื้นดิน แสงในครั้งนี้ดูส่องสว่างมากกว่าเดิมหลายเท่านัก
“นี่มันพลังของสิบคนทรง! ” เร็นบู้ผิงได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะพูดต่อไป “จีเทียนเด๋า เห็นทีนี่คงจะเป็นทางเลือกของท่าน พลังของสิบคนทรงน่ะไม่เหมือนกับพลังของยอดฝีมือทั้งสิบที่ท่านเคยเจอหรอกนะ! “
วงกลมแสงสีม่วงค่อยๆ เปล่งแสงออกมามากขึ้น มากขึ้น และในที่สุดพลังของมันก็ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์
ลู่โจวมองไปที่วงแหวนทั้งสิบวงที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “นี่เรียกว่าพลังของสิบคนทรงอย่างงั้นหรอ? “
ดวงตาของวู่เฉิงได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงหลังจากที่ได้ฟังแบบนั้น “ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ส่งตัวยี่เทียนซินมาซะ ถ้าหากทำแบบนั้นข้าจะไว้ชีวิตชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าเอาไว้ให้! ” ผ้าคลุมสีแดงของวู่เฉิงกระพือไปตามอากาศ ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าพลังลมปราณของตัวเขานั่นเอง
ในตอนนั้นดวงตาของวู่กวนเองก็แดงขึ้นเช่นเดียวกัน ดวงตาของผู้ฝึกยุทธชุดแดงคนที่หนึ่ง, คนที่สาม, คนที่ห้า และคนที่สิบได้เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน!
“เจ้าต้องการตัวยี่เทียนซินอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้ถามขึ้น
“ยี่เทียนซินเป็นหนึ่งในชาวมนุษย์เผือก ไม่จำเป็นจะต้องหลอกตัวเองหรือหลอกใครอีกต่อไปหรอกท่านผู้อาวุโส” วู่เฉิงที่พูดเสร็จก็ได้รวบรวมพลังจนมากขึ้นไปอีก
ในตอนนั้นเองเร็นบู้ผิงก็ได้พูดขึ้น “จีเทียนเด๋า ท่านน่ะมีชีวิตอยู่ยืนนานขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน? ท่านไม่รู้หรอกหรอว่าเฉิงหวางของชาวมนุษย์เผือกสามารถยืดอายุขัยให้มากถึง 2,000 ปีได้น่ะ”
หัวของวู่เฉิงได้หันกลับไปมองที่เร็นบู้ผิง ในตอนนั้นเองเขาก็หยุดพูดในทันที
เร็นบู้ผิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสายตาที่วู่เฉิงมีเปลี่ยนไป มันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง เขาแน่ใจเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ไม่ใช่วู่เฉิงคนเดิมอีกต่อไป
ในตอนนั้นเองพลังลมปราณจากวงกลมสีม่วงก็ได้หลอมรวมเข้ากับวู่เฉิงอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธชุดแดงคนอื่นๆ เองก็เปลี่ยนท่าทีไปเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดได้โค้งคำนับกันอย่างพร้อมเพรียง “ท่านวู่เซียน! “
ที่โลกแห่งนี้มีหุบเขาแห่งหนึ่งถูกเรียกว่าประตูหยก ที่แห่งนั้นจะเป็นที่ที่สามารถเฝ้ามองดูตะวันและพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน ที่ภูเขาแห่งนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของจิตวิญญาณสิบคนทรงได้แก่ วู่เซียน, วู่จี, วู่แบน, วู่เผิง, วู่กู, วู่เจิน, วู่ลี, วู่ดี, วู่เซีย และวู่หลัว สิบคนทรงสามารถล่องลอยไปบนท้องฟ้าและพุ่งพื้นผืนดินได้ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทั้งหมดทำไม่ได้
เร็นบู้ผิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถ่อมตัวลงในทันที เขาได้คารวะก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้น “ยินดีต้อนรับกลับท่านวู่เซียน”
วู่เซียนสามารถปรากฏกายในร่างของวู่เฉิงสำเร็จ วู่เซียนคนนี้เป็นผู้นำของสิบคนทรงนั่นเอง
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้เอ่ยถามออกมาอย่างเงียบๆ “ท่านปรมาจารย์ ท่านมีแผนอะไรไหม? “
ลู่โจวรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นแบบนั้น แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ยอมให้ความตกใจนี้แสดงออกบนใบหน้าได้อยู่ดี ลู่โจวคิดมาตลอดว่าสุดยอดเวทมนตร์คาถาที่ก่อตัวกันมีไว้เพื่อทำลายม่านพลังของภูเขาทอง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่ามันจะมีไว้เรียกสิบคนทรงออกมาแบบนี้ คู่ต่อสู้ที่ทรงพลังเช่นนี้ไม่ใช่คู่มือของศิษย์สาวกของเขาอย่างแน่นอน ‘นี่ฉันต้องใช้การ์ดระเบิดจุดสุดยอดสินะ? ‘
ก่อนที่ลู่โจวจะได้ตัดสินใจไป ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
“สวัสดีครับท่านท่านวู่จี! “
วงกลมแสงสีม่วงจางๆ ได้ยินพลังออกมาอีกครั้ง
“สวัสดีครับท่านวู่แบน! “
ในตอนนี้สิบคนทรงทั้งหมดกำลังลอยอยู่บนกลางอากาศ
แม้ว่าต้วนมู่เฉิงจะโง่เขลาแค่ไหนแต่ตัวเขาก็รู้จักคนพวกนั้นดี
วู่เผิง, วู่กู, วู่เจิน, วู่ลี, วู่ดี, วู่เซีย, และวู่หลัว…
สิบคนทรงทั้งหมดสามารถเข้าร่างของผู้ฝึกยุทธชุดแดงได้
พลังสีม่วงทั้งหมดได้แผดเผาร่างกายรอบๆ ของพวกเขาเอาไว้ คู่ต่อสู้ที่อยู่นอกสายตาในตอนนี้กลับกลายเป็นคู่ต่อสู้อันน่ากลัวไปซะแล้ว!
สิบคนทรงทั้งหมดต่างลอยอยู่ที่หน้ารถม้าล่องเมฆา
วู่เฉิงที่ได้กลายเป็นวู่เซียนไปแล้วได้จ้องมองไปที่ลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าสินะเด็กน้อยผู้ที่มีอายุขัยจำกัดนั่นน่ะ…” มีเพียงวู่เซียนเท่านั้นที่จะสามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้
เมื่อเร็นบู้ผิงได้ยินแบบนั้น ตัวของเขาก็สั่นไปทั้งตัว ‘น้ำเสียงนี้มัน…ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือหนึ่งในสิบคนทรง! ‘ หลังจากนั้นเร็นบู้ผิงก็ได้พูดออกมาอย่างเร่งรีบ “ท่านผู้อาวุโสวู่…เฉิงกวางจะต้องมีอยู่ในยี่เทียนซินแน่ ได้โปรดท่านผู้อาวุโส ได้โปรดให้พวกเรายืมพลังเพื่อกำจัดศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยเถอะ! “