คนแรกที่หมิงซี่หยินพอจะนึกถึงได้ก็คือฝานซุยเหวิน ในตอนนี้คนอื่นๆ ได้ตายไปพร้อมกับแรงระเบิดเมื่อครู่แล้ว ฝานซุยเหวินคงจะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสมีชีวิตรอด ส่วนลูกน้องอัศวินดำของเขาสองคนทั้งยู่จงและต้วนหยานฮงคงจะไม่แข็งแกร่งพอจนเอาตัวรอดมาได้
ลู่โจวเองในตอนนี้ยืนอยู่บนรถม้าลอยฟ้า เขามองลงไปที่พื้นเบื้องล่างและเห็นแขนแช่นเดียวกับหมิงซี่หยิน
“ท่านอาจารย์เป็นไปได้ไหมที่เจ้าของแขนจะเป็นฝานซุยเหวิน เจ้านี่มันทนทายาทซะจริง! ข้าไม่อยากที่จะทำให้ฝานซุยเหวินจะต้องทรมานอีกต่อไป ข้าจะเป็นคนปลิดชีพเขาเอง!” หมิงซี่หยินที่พูดเสร็จก็ได้ยกมือขึ้น เขาได้ชูเคียวพื้นพิภพขึ้นมาก่อนที่มันจะเปล่งแสงประกายจางๆ
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ‘ศิษย์น้องสี่เป็นคนที่ชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่ามาโดยตลอด ข้าน่ะไม่แปลกใจเลยจริงๆ’
หมิงซี่หยินที่เดินเข้าไปใกล้มากขึ้นได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขึ้นมาซะก่อน
“ขุด”
“ฮะ?”
ต้วนมู่เฉิงรีบอธิบาย “ท่านอาจารย์อยากให้เจ้าขุดดินขึ้นมาเพื่อที่จะดูว่าใครกันแน่ที่อยู่ในนั้น”
“ครับ” หมิงซี่หยินรีบเรียกเคียวพื้นพิภพกลับไป ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกสับสนเล็กน้อย ‘น่าเสียดายจริงๆ ถ้าหากข้าได้สังหารศัตรูที่ทรงพลังได้แบบนี้ เมื่อเป็นแบบนั้นจะต้องไม่มีใครกล้าดูถูกชื่อหมิงซี่หยินอีกแน่’ หมิงซี่หยินได้โบกแขนไปมาในตอนนั้นเองพลังลมปราณก็ได้ปรากฏขึ้น ตัวเขาได้อัดพลังลมปราณที่มีใส่ลงไปในพื้นดิน
หมิงซี่หยินที่เห็นผู้ที่อยู่เบื้องล่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ท่านอาจารย์ เจ้านี่ก็คือฝานซุยเหวิน! ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะรอดจากแรงระเบิดนั่นมาได้! นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ!”
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “มีเคล็ดวิชาแห่งลัทธิเต๋าหนึ่งที่มีชื่อเคล็ดวิชาโลหิตแคล้วคลาด การจะใช้เคล็ดวิชานั้นได้จะต้องใช้แก่นแท้พลังชีวิตของตัวเองยาวนานกว่าหลายสิบปีรวมไปถึงพลังลมปราณในจุดตันเถียน ถ้าหากตรงตามเงื่อนไขแล้วละก็จะทำให้ผู้ใช้สร้างชั้นพลังป้องกันให้กับร่างกายของผู้ที่เป็นเป้าหมายได้”
คนอื่นๆ ที่อยู่บนรถม้าต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
ฝานซงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “แต่ถึงแบบนั้นผู้ใช้เคล็ดวิชาโลหิตแคล้วคลาดก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนอันสูงส่งอยู่ดี…ถ้าหากจุดตันเถียนของผู้ใช้เคล็ดวิชาได้รับความเสียหายไป เมื่อถึงตอนนั้นพลังวรยุทธทั้งหมดที่ฝึกฝนมาก็จะหายไป ทำไมฝานซุยเหวินถึงได้ทนมาถึงขนาดนี้ล่ะ?”
สำหรับผู้ฝึกยุทธที่ใช้เคล็ดวิชาโลหิตแคล้วคลาดไป เคล็ดวิชานั้นก็จะช่วยชีวิตของผู้ใช้เอาไว้ได้ แต่ถ้าหากพลังวรยุทธที่มีถูกทำลายไป การเป็นแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว แล้วทำไมฝานซุยเหวินถึงเลือกที่จะอยู่ต่อแบบนี้ ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
หมิงซี่หยินได้ตรวจสอบร่างกายของฝานซุยเหวินอย่างใกล้ชิด และเมื่อเข้าไปใกล้ๆ สีหน้าของหมิงซี่หยินก็ได้เปลี่ยนไปในทันที “ท่านอาจารย์ เจ้านี่ยังมีชีวิตอยู่! แต่ถึงแบบนั้นเขากลับอ่อนแอมาก ข้าคิดว่านี่คงจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้วที่จะจัดการเขา เวลาที่ข้าจะได้จัดการกับยอดฝีมือมาถึงแล้ว!”
ต้วนมู่เฉิงถึงกับพูดไม่ออก
โจวจี้เฟิงเองก็รู้สึกสับสนมากเช่นกัน
ต้วนมู่เฉิงได้แต่จ้องมองหมิงซี่หยินด้วยความรังเกียจ สำหรับเขาแล้วเขาไม่ชอบที่จะซ้ำเติมคนล้ม
โจวจี้เฟิงถือว่าเป็นศิษย์คนแรกของสำนักดาบสวรรค์ ถึงแม้ว่าเขาจะถอนตัวออกมาแล้วแต่ลึกๆ แล้วโจวจี้เฟิงก็ยังคงนับถือเส้นทางแห่งคุณธรรมอยู่ดี แม้ว่าจะอยากช่วยฝานซุยเหวินสักแค่ไหนแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ทำไม่ได้จริงๆ
หมิงซี่หยินได้เรียกเคียวพื้นพิภพออกมาอีกครั้ง
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะมองไปยังฝานซุยเหวินอย่างไม่แยแส “ฝานซุยเหวินก่อกรรมมาโดยตลอด ข้าคิดว่าเจ้านั่นก็คงจะไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์นั่นแน่ ข้าคิดว่าฝานซุยเหวินคงจะเป็นคนเลือกทางเลือกนี้เอง”
ฝานซงก็ได้พูดขึ้น “ข้าคิดว่าฝานซุยเหวินอยากมีชีวิตอยู่ก็เพื่อเป็นสักขีพยานในความตายของม่อหลี่”
“แล้วทำไมพวกเราจะต้องไปทำตามความปรารถนาด้วย? ไร้สาระซะจริง! เจ้าคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นสำนักธรรมะแห่งการกุศลอย่างงั้นหรอ? ไม่มีเวลาอีกต่อไป ข้าจะดับลมหายใจสุดท้ายของเจ้านั่นเอง ข้าจะทำให้มันจบไปด้วยดาบเดียว!” หมิงซี่หยินรู้สึกกังวลเล็กน้อยก่อนที่จะลงมือต่อไป
ต้วนมู่เฉิงเองไม่อาจที่จะทนได้อีกต่อไป เขาดึงตัวหมิงซี่หยินกลับมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์น้องสี่…พวกเราจะต้องหาผู้อาวุโสฮั๊วก่อนสิถึงจะถูก…”
“ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่” หมิงซี่หยินพยักหน้า
ศิษย์พี่น้องทั้งสองคนหันไปมองรอบตัว นอกเหนือจากเหล่าผู้สังเกตการณ์แล้วไม่มีใครอื่นเลยที่อยู่แถวนั้น
ในตอนนี้นอกเหนือจากผู้ฝึกยุทธจากเมืองถังซีที่หนีไปแล้ว บางคนก็ได้แต่คุกเข่าลงอยู่บนพื้น ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายล้วนแต่มีพลังวรยุทธที่ต่ำจนเกินไป และเพราะแบบนั้นเองพวกเขาทั้งหลายจึงได้แต่คุกเข่าอย่างสั่นกลัวอยู่
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “พาเขากลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าซะ”
“ฮะ? พากลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า?”
“ฝานซุยเหวินเป็นผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบ…และเพราะเจ้านั่นเกลียดม่อหลี่มากพวกเราควรที่จะเก็บเขาไว้…” ลู่โจวได้พูดขึ้น
“ครับท่านอาจารย์” แม้ว่าหมิงซี่หยินจะไม่ชอบฝานซุยเหวิน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ขัดคำสั่งอะไรกับผู้ที่เป็นอาจารย์ไม่ได้ หมิงซี่หยินได้ยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นมาก่อนที่จะซัดพลังลมปราณใส่ไปที่ฝานซุยเหวิน ในตอนนี้ร่างกายของฝานซุยเหวินกลับมามีพลังอีกครั้ง ฝานซุยเหวินรอดพ้นจากความตายแล้วนั่นเอง
หลังจากที่ใช้พลังของเคล็ดวิชาเวหาพงพนาช่วยฝานซุยเหวิน ในตอนนี้อาการของเขาจึงกลับมาคงที่อีกครั้ง
หมิงซี่หยินที่รักษาฝานซุยเหวินเบื้องต้นเสร็จก็ได้อุ้มเขากลับมาที่รถม้าลอยฟ้าอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสฮั๊ว!” โจวจี้เฟิงได้ชี้ไปที่ทิศตะวันออก และเพราะว่าตัวเขากำลังอยู่บนรถม้าลอยฟ้าเพราะแบบนั้นเองจึงมองเห็นได้ไกลกว่าผู้ที่อยู่เบื้องล่าง
ในตอนนั้นเองฮั๊ววู่เด๋าก็ได้ลากร่างกายอันอ่อนล้าของตัวเองกลับมา เสื้อผ้าทั้งตัวของเขาขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ฮั๊ววู่เด๋าได้ก้าวเท้าอย่างหนักแน่นเพื่อที่จะไปหาพวกต้วนมู่เฉิง
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้เดินไปหาฮั๊ววู่เด๋าก่อนที่จะช่วยพยุงตัวเขาเอาไว้ หลังจากนั้นต้วนมู่เฉิงก็ได้ถามออกมาอย่างสงสัย “ลั่วฉีซานอยู่ที่ไหนกัน?”
ฮั๊ววู่เด๋าถอนหายใจก่อนที่จะส่ายหัว เขาเหลือบมองไปที่ต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะหันไปมองลู่โจวที่อยู่บนรถม้าลอยฟ้า “ทักษะการใช้ดาบของเจ้านั่นแข็งแกร่งจนเกินไป…ข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้านั่นได้เลย”
ลู่โจวมองไปที่ฮั๊ววู่เด๋าอย่างตั้งใจก่อนที่จะพูดขึ้น “แต่เจ้านั่นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้เช่นกัน” ท้ายที่สุดถึงแม้ว่าฮั๊ววู่เด๋าจะมีพลังใหม่ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่อาจที่จะเอาชนะศัตรูได้ สิ่งที่ฮั๊ววู่เด๋าจะทำได้นั่นก็คือต้านทานการโจมตีไปเรื่อยๆ จนกว่าลั่วฉีซานจะหมดความอดทน
“ฮั๊ววู่เด๋าได้พยักหน้า “สุดท้ายแล้วพวกเราก็เสมอกัน”
“แล้วลั่วฉีซาน เจ้านั่นไปไหนแล้ว?” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
“เจ้านั่นไปแล้ว…”
“เจ้า…” หมิงซี่หยินได้เหวี่ยงแขนอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อ “เจ้ากล้าปล่อยให้คนที่มาลบหลู่ศาลาปีศาจลอยฟ้าหนีไปได้ยังไง?”
ทุกๆ คนจับจ้องไปที่ฮั๊ววู่เด๋า
ท้ายที่สุดแล้วฮั๊ววู่เด๋าก็มาจากสำนักหยุน บางทีผลการต่อสู้อาจจะไม่ได้จบลงด้วยการเสมอ มีโอกาสที่ผู้อาวุโสคนนี้จะปล่อยให้อดีตสหายหนีไป แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครล่วงรู้ความจริงได้ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีพยานคนไหนรู้เห็นเรื่องในเหตุการณ์การต่อสู้นี้
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ตอบกลับไปในทันที “ทุกๆ คำที่ข้าพูดออกมาล้วนเป็นความจริง…ถ้าหากท่านปรมาจารย์ไม่เชื่อข้า ข้ายินดีที่จะรับผิดทุกอย่างเอง”
“พอได้แล้ว! ท่านอาจารย์ของข้าไม่ตกหลุมพรางแบบนั้นหรอก…” หมิงซี่หยินได้พูดขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ลู่โจวยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ข้าเชื่อเจ้า”
ฮั๊ววู่เด๋าได้เงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตกใจ หลังจากนั้นเขาก็ได้คารวะลู่โจว “ขอบคุณมากท่านปรมาจารย์!”
ในเวลาเดียวกันนั้นเองลู่โจวก็สังเกตเห็นค่าความจงรักภักดีของฮั๊ววู่เด๋าเพิ่มมากขึ้น 5%
ต้วนมู่เฉิงได้พาฮั๊ววู่เด๋ากลับมาที่รถม้าล่องเมฆา
“พวกเรากลับศาลาปีศาจลอยฟ้ากันได้แล้ว”
“ครับ/ค่ะ!”
…
ในขณะเดียวกันนั้นเองห่างจากจุดระเบิดไปกว่า 3 ไมล์ด้วยกัน
ลั่วฉีซานได้ปักดาบของตัวเองลงบนพื้นดินเพื่อทรงตัวก่อนที่จะพูดพึมพำกับตัวเอง “เจ้าแก่นั่นเก่งกาจจริงๆ …ถ้าหากเจ้านั่นไม่ใช่พลังลมปราณไปกับการป้องกันเวทมนตร์คาถา ข้าคนนี้เห็นทีจะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ ใครจะไปรู้กันว่านักบุญแห่งดาบอย่างข้าจะหนีจากการต่อสู้มาด้วยสภาพที่สะบักสะบอมแบบนี้?”
“ช่วยไม่ได้ ข้าคงได้แต่ลืมไปล่ะนะ…” ลั่วฉีซานได้ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ในตอนที่ลั่วฉีซานกำลังจะจากไป ในตอนนั้นเองชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวอยู่ข้างหน้ากว่า 50 เมตร
ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวเป็นผู้เอ่ยปากทักทายขึ้นก่อน “สวัสดี”
แม้ว่าจะไม่มีเรี่ยวแรงอะไรมากแต่ลั่วฉีซาจก็ไม่ได้ไม่ระวังตัวเอง ตัวเขาที่เห็นชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวปรากฏตัวขึ้นรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าคือ?”
“ข้ามีชื่อว่ายู่ฉางตง”
“…” ดวงตาของลั่วฉีซานที่ได้ฟังแบบนั้นเบิกกว้าง ตัวเขาได้กำดาบแน่นจนตัวสั่น ในตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมากพอที่จะสู้กับยู่ฉางตงได้
“ดาบปีศาจอย่างงั้นหรอ?”
“นั่นก็แค่ฉายาของข้าเท่านั้น มันไม่มีความหมายอะไรที่จะพูดถึง” ยู่ฉางตงได้หันกลับมาพูดกับลั่วฉีซาน
ลั่วฉีซานได้ก้าวถอยหลัง “ข้ามาที่นี่ก็เพราะคำสั่งของเจ้าสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ข้ามาก็เพื่อชำระล้างมลทินในสำนักของพวกเรา ข้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าหรอกนะ”
“เจ้ากำลังกลัว”
“ข้า…ข้าไม่ได้กลัว…”
“ไม่ เจ้านั่นแหละกลัว ยู่ฉางตงส่ายหัวเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มจางๆ “ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ฟันพวกที่ใกล้ตายหรอกนะ…””
“…” ลั่วฉีซานไม่ได้เชื่ออะไรในคำพูดนี้เลย
“เจ้าน่ะมันอ่อนแอ อ่อนแอจนน่าเบื่อ”