หมิงซี่หยินได้ยืนกอดอกก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์น้องแปด เจ้านี่กล้าซะจริงนะถึงได้ดูถูกท่านอาจารย์ลับหลังแบบนี้”
ซู่ฮ่องกงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้สั่นไปทั้งตัว “ศิษย์พี่สี่ ข้าไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นหรอก ท่านอาจารย์ในตอนนี้ก็ยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม แม้ว่าเขาจะอายุมากแค่ไหนแต่ท่านอาจารย์ก็ยังแข็งแกร่งมากที่สุดอยู่ดี”
ในตอนนั้นเองฮั๊ววู่เด๋า, โจวจี้เฟิง และฝานซงต่างก็คารวะก่อนที่จะโค้งคำนับ “ท่านปรมาจารย์! “
หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และซู่ฮ่องกงต่างก็หันกลับมา พวกเขาเห็นลู่โจวกำลังตรงมา จ้าวยู่ในตอนนี้ยังคงตามลู่โจวมาติดๆ
เมื่อลู่โจวเดินมาถึงลานหน้าศาลา ตัวเขาก็เห็นทุกคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว “สถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? “
“ศิษย์น้องยี่ได้เข้าไปแล้วครับ นางตั้งใจที่จะใช้เคล็ดวิชาคลื่นสีครามที่มีเพื่อบรรเทาฤทธิ์ของดอกแมกโนเลีย ถ้าหากมีศิษย์น้องหญิงคอยช่วยแล้วศิษย์น้องเล็กจะต้องไม่เป็นอะไรแน่” หมิงซี่หยินได้พูดออกมา
ลู่โจวพยักหน้าเมื่อจ้องมองทุกคนที่มารวมตัวกัน ในที่สุดตัวเขาก็เหลือบไปมองซู่ฮ่องกง “เจ้าแปด ทำไมเจ้าถึงดูตื่นกลัวแบบนั้นล่ะ? ” ซู่ฮ่องกงในตอนนี้กำลังสั่นไปทั้งตัว
ซู่ฮ่องกงเช็ดเหงื่อที่อาบใบหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “ไม่ ไม่มีอะไรหรอกครับท่านอาจารย์…ข้าก็แค่กังวลเกี่ยวกับศิษย์น้องเล็กมากไปหน่อย” ในตอนนี้เขากำลังอยู่ต่อหน้าอาจารย์ผู้ที่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์สุดแข็งแกร่ง การที่จะพูดผิดออกมาแม้แต่คำเดียวท่านอาจารย์ของเขาก็คงจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่
“ยี่เทียนซินฝึกฝนเคล็ดวิชาคลื่นสีครามมา นางจะต้องช่วยเบิกเส้นพลังลมปราณทั้งแปดได้อย่างง่ายดายแน่…พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
ซู่ฮ่องกงรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของผู้ที่เป็นอาจารย์
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้ไอออกมาเบาๆ ตัวเขากลัวว่าจะถูกลากไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ลู่โจวที่เห็นท่าทีของลูกศิษย์ทั้งสองคนเปลี่ยนไปก็ได้แต่สงสัย แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ฮั๊ววู่เด๋าได้เดินมาหา ในตอนนั้นเขาได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ก็จริงอยู่ที่ว่ายี่เทียนซินสามารถลดผลอันรุนแรงของสมุนไพรได้ แต่พลังวรยุทธของนางในตอนนี้ยังคงอ่อนแอเกินไป ข้ากังวลว่านางอาจจะรับมือกับพลังสมุนไพรไม่ได้”
“แล้วเจ้ามีข้อเสนอแนะอื่นอีกไหม? “
“เพื่อความปลอดภัยกับทุกฝ่าย…ข้าคิดว่าท่านควรจะลงมือด้วยตัวเอง ท่านปรมาจารย์”
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ลู่โจว
ลู่โจวเป็นเหมือนกับอาจารย์ของยี่เทียนซิน ยี่เทียนซินที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาคลื่นสีครามมาย่อมเรียนรู้จากผู้เป็นอาจารย์ เท่ากับว่าลู่โจวในตอนนี้คือผู้ที่สามารถใช้เคล็ดวิชาคลื่นสีครามที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงเหมาะสมแล้วที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้
‘ยี่เทียนซินยังคงฟื้นฟูตัวเองอยู่ พลังของนางในตอนนี้คงจะไม่ได้เยอะไปกว่าพลังของผู้เป็นอาจารย์เก่าอย่างแน่นอน’
ข้อเสนอแนะของฮั๊ววู่เด๋าดูสมเหตุสมผลเป็นที่สุด ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
“แค่ยี่เทียนซินก็เพียงพอแล้ว” ในตอนนี้ลู่โจวเพิ่งจะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ระดับแรกเท่านั้น ตัวเขายังไม่ได้มีพลังวรยุทธที่มั่นคงเหมือนกับคนอื่นๆ ด้วยซ้ำไป การจะทำให้ผลของดอกแมกโนเลียบรรเทาลงได้คงจะเกินความสามารถของตัวเขาไปไกล
ตู๊ม!
ทุกๆ คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็ใจจดใจจ่อกับคลื่นพลังที่กระจายตัวออกมาจากห้อง คลื่นพลังได้กระจายไปทั่วทุกทิศทาง เหล่าผู้ที่เฝ้ารอทั้งหมดต่างก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังนี้ได้อย่างชัดเจน คลื่นพลังระดับนี้จะเป็นคลื่นพลังที่พบได้ในผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น นอกจากนี้คลื่นพลังที่ว่ายังเป็นคลื่นพลังรากฐานที่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธสร้างพลังอวตารแห่งร้อยวิถีของตัวเองได้ พลังงานสีทองนี้เองเป็นพลังระดับพื้นฐานแห่งเต๋า
ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับย่อย ระดับแรกพื้นระดับพื้นฐานแห่งเต๋า, ระดับที่สองระดับพื้นฐานแห่งโกลาหล และระดับสุดท้าย ระดับเต๋าผสมผสาน
จากสิ่งนี้เองคนที่พอจะมีแววว่าจะพัฒนาตัวเองไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้คงจะมีเพียงหยวนเอ๋อเพียงเท่านั้น!
ในขณะที่พลังงานกำลังเอ่อร้นออกมาจากห้อง ในตอนนี้เองท้องฟ้าของศาลาทางใต้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังลมที่แน่นหนา
ทุกๆ ต่างก็ดีใจเมื่อเห็นแบบนั้น
“ศิษย์น้องเล็กสามารถไปถึงอีกขั้นได้แล้วสินะ! “
“ในตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีนักสู้ที่ยอดเยี่ยมเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วสินะ! “
“ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นหรอ…เมื่อไหร่กันที่ข้าจะไปถึงขั้นนั้นได้? “
นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนเศร้าเมื่อได้เห็นแบบนี้
โจวจี้เฟิงผู้ที่เคยภาคภูมิใจในความอัจฉริยะของตัวเองมาโดยตลอดในตอนนี้ได้แต่มองไปที่พลังที่กำลังเอ่อล้นออกมา เมื่อเทียบกับหยวนเอ๋อเด็กสาวผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ โจวจี้เฟิงคนนี้ก็ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป
หยวนเอ๋อได้ฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงแค่ใช้เวลาอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าแค่ 5 ปีเพียงเท่านั้น ด้วยเวลาเพียงแค่นี้หยวนเอ๋อจะต้องเป็นอัจฉริยะที่หาใครเทียบไม่ได้แน่
ประตูที่เคยปิดอยู่ได้เปิดออก ในตอนนั้นเองที่ด้านในก็ยังเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นเดิม
ปั๊ง!
ทันใดนั้นเองยี่เทียนซินก็ได้กระแทกประตูก่อนที่จะกระเด็นออกมา…
ที่ด้านในยังคงมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลู่โจวเพียงแค่มองไปที่ยี่เทียนซินอย่างไม่แยแส หลังจากนั้นเขาก็ได้เดินเข้าไปภายในห้องแห่งนั้น ทันทีที่ตัวเขาเดินเข้าไปด้านใน ลู่โจวก็ได้เห็นหยวนเอ๋อกำลังเปล่งแสงสีทองออกมา นอกเหนือจากนี้ที่ตัวเธอยังเปี่ยมไปด้วยพลังงานที่ดูแปลกประหลาด และยังมีพลังจากคลื่นสีครามติดอยู่ที่ใต้เท้าของเธอ พลังงานทั้งสองดูเหมือนจะสอดคล้องกันเป็นที่เรียบร้อย
หยวนเอ๋อในตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียงไม่ขยับไปไหน ร่างกายของเธอสงบนิ่งราวกับสายน้ำที่นิ่งลึก พลังออร่าได้เปล่งประกายออกมาจากตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดหยวนเอ๋อก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น
“ท่านอาจารย์? ” หยวนเอ๋อรู้สึกสับสนเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นผู้เป็นอาจารย์ เธอได้แต่คิดว่านี้กำลังจะฝันไป พลังลมปราณรอบตัวของหยวนเอ๋อได้สลายหายไปด้วยเช่นกัน
“ยินดีด้วยศิษย์น้องเล็ก”
“ยินดีด้วยศิษย์น้องเล็กที่ฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้”
“ยินดีด้วยศิษย์น้องเล็ก”
ข้อความแสดงความยินดีได้ดังมาจากปากของผู้เป็นศิษย์พี่ หยวนเอ่อในตอนนี้จ้องมองไปที่มือคู่เดิมก่อนที่จะเริ่มเดินพลังลมปราณบางส่วนออกมา ทันทีที่เดินพลังลมปราณพลังร่างอวตารที่มีความสูงเทียบเท่ากับตัวเธอเองก็ได้ปรากฏขึ้น มันไม่ได้มีดอกบัวทองคำเหมือนกับพลังร่างอวตารอื่นๆ เมื่อหยวนเอ๋อกำหมัดแน่นพลังร่างอวตารของเธอก็ได้หายไป
หยวนเอ๋อได้กระโดดลงจากเตียงก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ศิษย์ฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว! “
“คุกเข่าลงซะ” ลู่โจวได้พูดออกมาด้วยเสียงที่นุ่มนวล
หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง เธอได้แต่คุกเข่าอย่างเชื่อฟัง
“เจ้ารู้ไหมว่าความผิดพลาดของเจ้าคืออะไร? “
“ข้ารู้” หยวนเอ๋อตอบออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“ศิษย์…ศิษย์ไม่อาจรู้ได้”
“…” ลู่โจวถึงกับพูดไม่ออก
หมิงซี่หยินได้พูดออกมาจากด้านนอกห้อง “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าน่ะใจร้อนกินดอกแมกโนเลียสีดำไปทั้งสองดอกโดยที่ไม่ปรึกษาใคร! ถ้าหากศิษย์น้องยี่ไม่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเจ้า เจ้าก็คงจะไม่สามารถที่จะพัฒนาตัวเองไปได้หรอก! “
“ศิษย์พี่ยี่เทียนซินอย่างงั้นหรอ? “
“นางบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก…ตอนนี้นางสบายดีแล้ว อีกไม่กี่วันนางก็คงจะพักฟื้นจนหายดี” หมิงซี่หยินได้พูดขึ้น
เมื่อได้ยินแบบนั้น หยวนเอ๋อก็ได้แต่เสียใจกับสิ่งที่ทำไป เธอได้แต่ก้มหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์ทำผิดไปแล้ว ได้โปรดอย่าลงโทษศิษย์สถานหนักเลย”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เจ้ารู้ว่าตัวเองทำผิดและเต็มใจที่จะกลับใจ…ลุกขึ้นซะเถอะ” ลู่โจวได้พูดออกมาในขณะที่ลูบเครา
ซู่ฮ่องกงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับนั่งลงไปกับพื้น
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้เอ่ยปากถามขึ้นมาในทันที “ศิษย์น้องแปดเจ้าทำอะไรกัน? “
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร…ข้า…ข้าก็แค่ยังไม่ชินก็เท่านั้น…” ซู่ฮ่องกงไม่เคยเห็นผู้เป็นอาจารย์พูดอะไรแบบนี้ออกมา
“ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย…อยู่ให้ห่างจากข้าจะดีกว่า” หมิงซี่หยินรีบถอยห่างจากซู่ฮ่องกงไป เขากลัวว่าตัวเองจะถูกศิษย์น้องผู้โง่เขลาคนนี้พาซวยไปด้วย
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะจ้องมองไปยังหยวนเอ๋อ “เจ้าเพิ่งจะฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ ดังนั้นเจ้าควรจะทำความเคยชินกับพลังใหม่ให้ได้ซะก่อน…นอกจากนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหยกแห่งความบริสุทธิ์ต่อไปซะ ฝึกฝนตัวเองตามที่ข้าได้เคยแนะนำเอาไว้”
หยวนเอ๋อได้แต่พยักหน้าตอบรับกลับมาแรงๆ “ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง” หยวนเอ๋อที่พูดเสร็จก็ได้หัวเราะคิกคักก่อนที่จะพูดต่อไป “ท่านอาจารย์ของศิษย์สุดยอดที่สุดแล้ว! “
ลู่โจวขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ข้าจะจริงจังกับเจ้าได้สินะ”
หยวนเอ๋อได้นั่งลงอีกครั้งก่อนที่จะฝึกฝนพลังตัวเองให้คุ้นชิน
ลู่โจวได้เดินออกจากห้องไปโดยที่ยังเอามือไขว้หลังอยู่
เมื่อเห็นลู่โจวเดินออกมา คนอื่นๆ ที่มุงดูอยู่ต่างก็ล่าถอยกลับไป
ลู่โจวได้เดินไปหายี่เทียนซินที่กำลังนอนอยู่ ในตอนนี้ที่ริมฝีปากของเธอเปื้อนไปด้วยเลือด…
ยี่เทียนซินกำลังถูกผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสองคนดูแลอยู่ ในตอนนี้ร่างกายของนางดูไม่สู้ดีเท่าไหร่ นอกจากนี้นางยังดูอ่อนเพลียมากอีกด้วย พลังลมปราณที่นางมีดูทั้งอ่อนแรงและไม่แน่นอน
ยี่เทียนซินรีบคุกเข่าก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์รู้ดีว่าทำผิดไปแล้ว ศิษย์ไม่ควรที่จะทำตามใจตัวเอง”
“ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องยี่ช่วยศิษย์น้องเล็กเอาไว้ ท่านอาจารย์อย่าได้ทำอะไรนางเลย” หมิงซี่หยินได้คุกเข่าลงข้างๆ กับยี่เทียนซิน
ซู่ฮ่องกงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ได้คุกเข่าลงเช่นกัน
ต้วนมู่เฉิงได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์น้องสี่พูดถูกแล้ว ได้โปรดท่านอาจารย์ไตร่ตรองใหม่ด้วยเถอะ”
จ้าวยู่ไม่ได้พูดอะไร แต่ถึงแบบนั้นนางก็ได้คุกเข่าลงกับพื้น
ศิษย์ทุกคนของลู่โจวต่างก็คุกเข่าอยู่ในตอนนี้
หัวใจของยี่เทียนซินเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย นางไม่คุ้นเคยกับช่วงเวลาแบบนี้มาก่อนเลย ในเมื่อเห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหมดคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน ยี่เทียนซินก็ได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์…ให้ศิษย์…ให้ศิษย์เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยเถอะ! ได้โปรดทำให้ความปรารถนาของศิษย์คนนี้เป็นจริงด้วย! “
ที่ลานหน้าศาลายังคงเงียบสงบ สายตาของลู่โจวกำลังจับจ้องไปที่อดีตศิษย์อย่างยี่เทียนซิน