ซู่ฮ่องกงได้แต่จ้องมองอย่างงุนงง ตัวเขาได้เอ่ยปากถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ศิษย์พี่สี่ เจียงอาเฉียนเป็นใครกันแน่? “
“เขาก็คือหลิวเฉิน เจ้าชายองค์ที่สามของราชวงศ์แห่งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์” หมิงซี่หยินตอบกลับผู้เป็นศิษย์น้องอย่างไม่แยแส เจียงอาเฉียนมีชื่อจริงว่าหลิวเฉินนั่นเอง
ซู่ฮ่องกงที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ‘นี่มันเป็นการซ่อนตัวตนสินะ ช่างฉลาดจริงๆ ‘
“คนคนนี้เป็นคนที่ทำให้ท่านอาจารย์รู้ความจริงเรื่องของเหวยซู่หยานได้อย่างงั้นสินะ? ” ต้วนมู่เฉิงได้ถามออกมาอย่างสงสัย
หมิงซี่หยินได้ตอบกลับมา “ถูกแล้วล่ะ เจียงอาเฉียนเป็นคนที่บอกสถานที่ที่เหวยซู่หยานซ่อนตัวอยู่ คราวนี้ดูเหมือนว่าเขาจะรู้แล้วว่าเหวยซู่หยานเป็นตัวปลอม ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงแสดงว่าเจ้านั่นคงจะมีคนที่คอยจับตาดูเหวยซู่หยานอยู่อย่างงั้นสินะ”
ลู่โจวกำลังใช้ความคิดของตัวเองอยู่…การอนุมานของหมิงซี่หยินสมเหตุสมผลมาก
แม้ว่าเหล่าชนชั้นสูงจากพระราชวังจะรู้ว่าเหวยซู่หยานเป็นตัวปลอม แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มาก ผู้ที่ซึ่งเป็นแม่ทัพหลวงผู้คุมสามกองทัพหลวงเป็นเหมือนกับภาพพจน์อันแสนสำคัญของพระราชวังหลวง ถ้าหากความจริงเรื่องของเหวยซู่หยานถูกเปิดโปงจริงๆ กองทัพหลวงทั้งหมดจะต้องสูญเสียสมดุลจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แน่
‘พระชายายี่กำลังทำให้ยุทธภพตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างงั้นหรอ? พระชายาคนนี้มาจากภูมิภาคทางด้านตะวันตก นางมีแรงจูงใจอะไรกันถึงต้องการแบบนี้? ไม่ว่าม่อหลี่และเหวยซู่หยานจะมีความขัดแย้งกันแค่ไหน ยังไงซะพวกเขาทั้งสองก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขององค์ชายองค์ที่สอง พวกเขาที่ไม่ถูกกัน…เลยอยากให้เหวยซู่หยานตายอย่างงั้นหรอ? ‘ ลู่โจวไม่สามารถคำตอบของคำถามได้เลย ‘แทนที่จะเดาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าต่อไป สู้ถามเจ้าพวกนั้นตรงๆ เลยคงจะดีกว่ามาก’
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งก็ได้เข้ามายังห้องโถงใหญ่ “ที่เชิงเขา ซีอันมาขอเข้าพบค่ะ”
‘ซีอันคือใครกัน? ‘
หมิงซี่หยินได้แต่เกาหัวของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดขึ้น “ท่านอาจารย์…คนคนนี้คือญาติของศิษย์น้องเล็ก เขาเคยเดินทางมาที่หุบเขาแห่งนี้มาก่อน”
ต้วนมู่เฉิงขมวดคิ้วก่อนที่จะถามออกไป “นี่มันเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า? “
“ให้เขาเข้ามาซะ” ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเอง
“ค่ะ! “
ไม่นานซีอันก็ได้มาถึงห้องโถงใหญ่ ดวงตาของเขาได้เหลือบมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว ตัวเขาได้แต่กลัวว่าเหล่าวายร้ายจะมาทำร้ายตัวเขาเหมือนกับในครั้งที่แล้ว ซีอันที่มาถึงก็ได้พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ทะ…ท่านผู้อาวุโส…”
หมิงซี่หยินได้ถามออกไป “เกิดอะไรขึ้นกัน? มีคนถูกลักพาตัวอีกอย่างงั้นหรอ? “
เมื่อเห็นแบบนี้ลู่โจวก็ได้นึกถึงจีเทียนเด๋าที่เคยตั้งกฎเอาไว้ กฎที่ว่าก็คือการให้เหล่าสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าตัดสายสัมพันธ์กับผู้คนในอดีต ญาติของหยวนเอ๋อคนนี้ได้ประสบกับปัญหามาหลายครั้งแล้ว ผู้ที่มักจะมีความสัมพันธ์กับเหล่าวายร้ายส่วนมากจะเป็นเพียงคนธรรมดา ถ้าหากพวกเขาถูกลักพาตัวอีกครั้ง ลู่โจวซึ่งเป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าก็คงจะต้องเดือดร้อนอีกครั้ง ฝานซงเองก็เป็นหนึ่งในผู้ทำผิดกฎ เมื่อฝานซงกลับมาลู่โจวก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องตักเตือนสถานหนัก
ซีอันโบกมือปฏิเสธอย่างเร่งรีบก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่ ไม่…ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น”
“แล้วมีอะไรกัน? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกไปอีกครั้ง
ซีอันได้ถอนหายใจออกมาก่อนจะเล่าเรื่องขึ้น “นายท่านของข้าและนายหญิงวางแผนที่จะออกจากเมืองอันยางไป พวกเขาทั้งคู่คิดถึงแต่นายน้อย…พวกเขาหวังว่าจะพบกับนายน้อยเป็นครั้งสุดท้าย”
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับกฎของศาลาปีศาจลอยฟ้าไหม? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกมา
“ข้า…ข้ารู้”
“ไหนเลยเจ้าถึงยังมาที่นี่อีก? “
“นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลักพาตัวที่หุบเขาตะวันฟ้า นายท่านของข้าและนายหญิงก็ได้แต่คิดถึงนายน้อยมาโดยตลอด ในตอนนี้นายน้อยกำลังจะอายุ 16 ปี ถ้าหากนายท่านไม่ได้พบกับนายน้อยในครั้งนี้ พวกเขาทั้งคู่ก็คงจะไม่มีโอกาสที่จะได้พบนายน้อยอีกต่อไป ได้โปรดเถอะท่านปรมาจารย์ ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย” ซีอันได้พูดออกมาในขณะที่คุกเข่าขอร้อง
ลู่โจวได้แต่คิดสงสัย คนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าแม้แต่จะติดต่ออะไรกับศาลาปีศาจลอยฟ้า นี่ไม่ต้องพูดถึงการติดต่อศาลาปีศาจลอยฟ้าซ้ำๆ นี่มันแปลกเกินไป ในตอนที่คนสกุลซีถูกลักพาตัวไป ในตอนนั้นทั้งผู้นำตระกูลและผู้เป็นภรรยาต่างก็หมดสติมาโดยตลอด พวกเขาจึงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเห็นหยวนเอ๋อเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ถึงแบบนั้นเมื่อสาวกตัดสินใจที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้า เหล่าสาวกทั้งหมดจะต้องตัดสายสัมพันธ์กับเรื่องในอดีต แม้แต่สายเลือดเดียวกันก็จะต้องถูกตัดความสัมพันธ์เช่นกัน ถ้าหากเหล่าสาวกของเขาทุกคนมีความผูกพันกับทางโลกมากถึงขนาดนี้ทุกคน การที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้จะต้องเป็นไปไม่ได้แน่ ลู่โจวได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ตัวเขาไม่ได้รับร้อนที่จะให้คำตอบอะไรซีอัน
“ทำไมพวกเจ้าถึงจะต้องย้ายไปด้วยล่ะ? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
ซีอันรีบตอบกลับมา “อันยางในตอนนี้ไม่ได้สงบสุขอีกต่อไป เกิดคดีการฆ่าฟันไปทุกหนทุกแห่ง…ว่ากันว่าพวกชนเผ่าอื่นเป็นเบื้องหลังในการก่อความวุ่นวายครั้งนี้ ก่อนหน้านี้คนสกุลซีได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ทางการมาโดยตลอด…แต่ในตอนนี้ทุกคนล้วนหนีไปหมดแล้ว! “
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้าออกมา เมื่อรวมเข้ากับข่าวที่เหวยซู่หยานต้องการที่จะระงับความขัดแย้งในเมืองอันยาง ดูเหมือนว่าซีอันคนนี้จะพูดความจริง
ซีอันได้แต่ก้มลง ตัวของเขาสั่นไปทั้งตัว
ห้องโถงใหญ่ในตอนนี้ยังคงเงียบสงบ
ซีอันได้เหลือบมองไปที่มหาวายร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนที่จะก้มศีรษะลงอีกครั้ง ในตอนนี้ซีอันไม่อาจที่จะรู้ได้เลยว่าลู่โจวกำลังคิดอะไรอยู่ภายในใจกันแน่
หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดลู่โจวก็ได้โบกแขนก่อนที่จะตอบกลับ “ส่งเขาไปซะ”
หมิงซี่หยินรับคำสั่งมาก่อนที่จะแสดงท่าเชิญชวนซีอัน “ตามข้ามา”
“ทะ…ท่านปรมาจารย์? ” ตัวเขาได้ถูกเชิญออกไปในขณะที่ยังไม่ได้ยินคำอนุญาตของลู่โจว ในตอนนี้เขาได้แต่ตกตะลึงเท่านั้น
ในตอนนั้นสีหน้าของหมิงซี่หยินก็ได้เปลี่ยนไป น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรำคาญ “ยังไม่ไปอีกงั้นหรอ? “
ซีอันรีบลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินตามหมิงซี่หยินออกจากห้องโถงใหญ่ไป
…
ในขณะเดียวกันที่ห้องโถงใหญ่ของสำนักแห่งความมืด ณ หุบเขามังกรหลับใหล
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านหมิงซี่หยินจากศาลาปีศาจลอยฟ้าส่งจดหมายมา…”
“เกิดอะไรขึ้นกัน? ” สีวู่หยาได้ลุกขึ้นยืนช้าๆ ตัวเขารู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง ตัวเขาได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามาเป็นเวลานานแล้ว แล้วทางศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ไม่เคยติดต่ออะไรกลับมา แล้วในตอนนี้พวกเขากลับติดต่อกลับมา สำหรับสีวู่หยาแล้วนี้เป็นอะไรที่น่าสงสัยมาก
“จดหมายฉบับนี้ถูกส่งไปยังเมืองอันยางก่อนที่จะถูกส่งกลับมาที่นี่ ทางศาลาปีศาจลอยฟ้าอยากที่จะให้ท่านตามหาที่อยู่ของเยี่ยนซานให้”
“เยี่ยนซานอย่างงั้นหรอ? “
“ถูกต้องแล้วครับ เขาคนนั้นเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสำนักนักล้วงเยี่ยนซาน”
“สำนักนักล้วงในตอนนี้ไม่มีอีกต่อไป เยี่ยนซานถือเป็นเพียงสมาชิกคนเดียวที่เหลืออยู่ ท่านอาจารย์ข้าไปมีธุระอะไรกับเจ้านั่นกัน? ” สีวู่หยาได้แต่คิดว่าเรื่องนี้แปลกมาก
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน…”
การเรียกเยี่ยนซานว่าเป็นทายาทของสำนักนักล้วงเป็นวิธีทางในการเรียกที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าหากจะให้พูดตามตรงเยี่ยนซานคนนี้เป็นเพียงแค่หัวขโมยเท่านั้น
คนอย่างจีเทียนเด๋าจะยอมติดต่อกับตัวเขาก็เพื่อที่จะหาหัวขโมยเนี่ยนะ? …สีวู่หยาคาดการณ์เรื่องนี้อะไรไม่ได้เลย
สาวกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าน้อยได้ยินมาว่าเยี่ยนซานได้ขโมยของอะไรบางอย่างมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวพันกันก็เป็นได้”
สีวู่หยาได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอย่างงั้นเองหรอ ท่านอาจารย์ดูเหมือนหัวใจของท่านจะคับแคบลงอีกแล้วนะ”
“เอ่อ…ท่านเจ้าสำนัก พวกเราจะเอายังไงกับเรื่องของเยี่ยนซานดี? “
ในช่วงท้ายของวัน สำนักแห่งความมืดก็ไม่ได้ติดต่ออะไรศาลาปีศาจลอยฟ้ากลับไป เดิมทีพวกเขาสามารถที่จะปฏิเสธคำขอนี้โดยที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ ได้
“พวกเรามาเติมเต็มความปรารถนาของเขากันเถอะ” สีวู่หยาได้พูดออกมาเบาๆ “หลังจากที่ท่านอาจารย์แก่ชรามากขึ้น สิ่งนี้คงจะเป็นความต้องการในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่สินะ ในฐานะศิษย์เห็นทีข้าคงจะได้แต่ทำตามความปรารถนานั่นเพื่อให้ท่านอาจารย์รู้สึกสบายใจ”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
สาวกคนนั้นที่รับคำสั่งรีบหันหลังก่อนที่จะเดินจากไป
“ช้าก่อน”
“ท่านเจ้าสำนักมีอะไรอย่างงั้นหรอครับ? “
“ช่วงนี้สำนักเที่ยงธรรมได้เคลื่อนไหวอะไรไหม? ” สีวู่หยาได้ถามออกมาในขณะที่เอามือไขว้หลัง
“สำนักแห่งความบริสุทธิ์และสำนักเที่ยงธรรมได้จับมือร่วมกันและไปที่หุบเขาพยัคฆ์ แต่ถึงแบบนั้นพวกเขากลับไม่พบอะไร พวกเขาทั้งหมดได้เดินทางกลับมาเมื่อวานนี้ ข้าคิดว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดกำลังโกรธเกรี้ยวอยู่เป็นแน่”
“ดีมาก” สีวู่หยาได้ปิดพัดขนนกยูงก่อนที่จะถามต่อไป “แล้วจากทางพระราชวังล่ะ? “
“เหวยซู่หยานได้ออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ไป ตอนนี้ตัวเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองอันยางเพื่อระงับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น”
เมื่อสีวู่หยาได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ “นักต้มตุ๋นมือใหม่คนนี้ช่างกล้าหาญอะไรยิ่งนัก”
“ท่านเจ้าสำนักพวกเราควรจะเคลื่อนไหวไหม? “
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก”
“ครับท่านเจ้าสำนัก”
“รีบเผยแพร่ข่าวออกไปซะ ปล่อยข่าวไปว่าถุงมือผ้าไหมยักษ์ในตอนนี้ได้ปรากฏขึ้นที่เมืองอันยางแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสาวกของสีวู่หยาก้ได้แต่ตกตะลึง “ท่านเจ้าสำนักจะล่อเยี่ยนซานมาด้วยวิธีนี้สินะครับ…”
“แม้ว่าเยี่ยนซานจะมีฝีมือในการเป็นหัวขโมย…แต่ถึงแบบนั้นตัวเขามักจะชอบทำอะไรทุกอย่างด้วยความภาคภูมิใจเสมอๆ และเพราะอาจารย์ของข้าต้องการที่จะพบเยี่ยนซาน ข้าในฐานะศิษย์คงไม่อาจที่จะนิ่งดูดายได้ ใช้ถุงมือผ้าไหมยักษ์นั่นเป็นเหยื่อล่อซะ นั่นน่ะเป็นเหยื่อล่อที่ดีที่สุดแล้ว…”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปทำตามที่ท่านบอกในทันที…”