ศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้ยังคงห่างไกลกับศาลาปีศาจลอยฟ้าในยุคทองมาก
แม้ว่าตอนนี้จะมีฝานซุยเหวิน ยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 8 กลีบ แต่ถึงแบบนั้นศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้ก็ยังคงเทียบกับช่วงเวลาเดิมที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเคยแข็งแกร่งกว่านี้ไม่ได้ ในช่วงเวลานี้เองแทบที่จะไม่มีคนกลัวศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไป
ศิษย์คนแรกอย่างยู่เฉิงไห่สามารถก่อตั้งสำนักอเวจีได้ด้วยตัวของเขาเอง ยู่เฉิงไห่สามารถทำให้สำนักของเขาเติบโตจนกลายเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพได้…ความแข็งแกร่งของเขาถือเป็นที่ประจักษ์อย่างแท้จริง [หมายเหตุนักแปล: ขอเปลี่ยนชื่อสำนักทางใต้เป็นสำนักอเวจีนะครับ]
ส่วนศิษย์คนที่สองอย่างยู่ฉางตงเองก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้ครั้งไหน ถ้าหากศิษย์ทั้งสองยังคงอยู่ที่ภูเขาทอง แม้ว่าจะมีสิบยอดฝีมือมารุมล้อมภูเขาทองเหมือนกับในอดีตก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอะไรที่น่าห่วงอีกต่อไป
และเพราะเหตุผลในเรื่องของความแข็งแกร่ง ลู่โจวจึงจะต้องทิ้งให้เหล่าศิษย์สาวกส่วนหนึ่งอยู่ปกป้องที่ภูเขาทองแห่งนี้ ลู่โจวในตอนนี้จึงได้พาหยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน และต้วนมู่เฉิงไปที่เมืองอันยาง
จ้าวยู่และซู่ฮ่องกงล้วนแต่อ่อนแอจนเกินไป พวกเขาทั้งสองคนคงจะเหมาะกว่าถ้าหากจะอยู่ปกป้องศาลาปีศาจลอยฟ้า
หลังจากที่หยวนเอ๋อได้ถูกลงโทษสถานหนักไป หยวนเอ๋อก็ไม่ได้กระโดดเอะอะโวยวายเพื่อที่จะขี่วิซซาร์ดเหมือนกับเคย
เมื่อวิซซาร์ดปล่อยพลังแห่งความเป็นมงคลออกมา ในตอนนั้นเองซู่ฮ่องกงศิษย์คนที่แปดก็ได้แต่เบิกตากว้าง เขาได้แต่พูดออกมาอย่างสงสัย “ทะ…ท่านอาจารย์ปราบสัตว์ขี่นี่ได้เมื่อไหร่กัน? “
โจวจี้เฟิงได้ตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “การจะจับสัตว์ขี่ธรรมดาได้ก็คงจะต้องจับในที่ที่มันอาศัยอยู่อย่างป่าลึกลับ แต่การที่จะจับสัตว์ขี่ในตำนานแบบนี้ได้มันจะต้องมีสิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย…สิ่งสิ่งนั้นที่เรียกว่าโชคชะตายังไงล่ะ”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์คนที่หนึ่งเคยจับสัตว์ขี่ในตำนานอย่างฮิปโปกริฟฟ์ที่ป่าแห่งม่านหมอกได้ แต่ถึงแบบนั้นกลับไม่มีใครเคยได้เห็นสัตว์ขี่ตัวนั้นมาก่อนเลย….”
จ้าวยู่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ตะโกนตักเตือนกลับมา “พวกเจ้าเบื่อที่จะใช้ชีวิตแล้วสินะ? “
เมื่อได้ฟังแบบนั้นคนอื่นๆ ก็ได้แต่เงียบลง
คงจะไม่ดีแน่ถ้าหากลู่โจวผู้ที่เป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยินเหล่าสาวกพูดถึงเรื่องยู่เฉิงไห่ ศิษย์ทรยศแบบนี้
ลู่โจวและหยวนเอ๋อได้ขี่วิซซาร์ดออกไปพร้อมกัน
ส่วนหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้แต่บินตามไปได้ด้วยความสามารถของตัวเอง
แม้ว่าความเร็วในการบินของผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถเทียบได้เลยกับความเร็วของสัตว์ขี่ แต่ถึงแบบนั้นความเร็วของทั้งหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงก็ไม่ได้ถือว่าช้าเลย
…
สองชั่วโมงต่อมา
ภายในเมืองอันยาง
ลู่โจวและหยวนเอ๋อในตอนนี้กำลังเดินอยู่บนถนนทางเดิน พวกเขาได้แต่ประหลาดใจ ในตอนนี้ถนนทางเดินไม่ได้แออัดเหมือนกับที่ลู่โจวเคยคาดเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นมีพ่อค้าแม่ค้าเหลือเพียงครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่ลู่โจวเคยมา เมืองอันยางในตอนนี้กำลังอยู่ในสภาวะที่รกร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หยวนเอ๋อเองที่เห็นสถานการณ์ทั้งหมดก็พบว่าแปลกประหลาดเช่นกัน หยวนเอ๋อจึงได้ถามผู้เป็นอาจารย์ออกมา “ท่านอาจารย์…พวกเราควรที่จะหาใครสักคนเพื่อสักถามเรื่องที่เกิดขึ้นดีไหม? ” หยวนเอ๋อไม่อยากที่จะทำผิดซ้ำซากอีก นางยังคงจำคำพูดของศิษย์พี่ได้ดี เพราะแบบนั้นก่อนที่จะทำอะไรนางจึงตัดสินใจถามผู้เป็นอาจารย์อย่างลู่โจวก่อน
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก” ลู่โจวตัดสินใจที่จะไปยังบ้านสกุลซี ในตอนนี้เมืองอันยางจะมีปัญหาอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเขา มันเป็นปัญหาของจักรพรรดิผู้ปกครองมากกว่า
หยวนเอ๋อพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งคู่ก็ได้มาถึงประตูบ้านสกุลซี
หยวนเอ๋อรู้ดีว่าควรจะทำอะไร “ท่านอาจารย์ ศิษย์จะไปเคาะประตูให้เดี๋ยวนี้”
ลู่โจวได้แต่ลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้าให้ ‘หยวนเอ๋อได้เรียนรู้แล้วสินะ ก่อนหน้านี้นางยังเตะประตูโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลยแท้ๆ ‘
ก๊อก! ก๊อก!
หยวนเอ๋อได้เคาะประตูไป 2 ครั้งด้วยกัน
ในตอนนั้นเองประตูบ้านสกุลซีก็ได้ถูกเปิดขึ้น
“นายน้อย? ” คนที่เปิดประตูขึ้นมาก็คือซีอัน คนคนนี้เป็นคนที่ไปศาลาปีศาจลอยฟ้าเพื่อขอร้องให้ลู่โจวช่วยคนสกุลซีที่ถูกลักพาตัวไปที่หุบเขาตะวันฟ้านั่นเอง และเพราะแบบนั้นทำไมซีอันคนนี้ถึงจำหยวนเอ๋อไม่ได้? ลู่โจวได้แต่เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ “ข้าน้อยจะรีบไปบอกนายท่านกับนายหญิงในทันที! “
ซีอันหันหลังก่อนที่จะวิ่งกลับไป ตัวเขาได้แต่ตะโกนว่านายน้อยกลับมาแล้ว
หยวนเอ๋อดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเรื่องนี้ นางได้แต่หันกลับมาก่อนที่จะพูดกับลู่โจว “ท่านอาจารย์…”
ลู่โจวที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “เข้าไปกันเถอะ”
เมื่อทั้งสองคนเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา พวกเขาทั้งคู่ก็ได้เห็นคนกว่าหลายสิบคนรวมไปถึงคู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าที่ต่างออกไป พวกเขาทั้งคู่คือพ่อแม่ของหยวนเอ๋อ ซีหยวนและซีจางชี
ซีหยวนเป็นชายวัยกลางคน เขาเป็นพ่อของหยวนเอ๋อนั่นเอง ชายคนนี้ดูเหมือนกับผู้ที่ไม่ย่อท้อ ส่วนภรรยาของเขาอย่างซีจางชีกลับดูสง่างามและสะสวย แม้ว่านางจะมีอายุแล้วก็ตามที ท่าทางกิริยาของนางทุกอย่างล้วนแต่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นซีหยวน เขาคนนี้ไม่ได้เกรงกลัวตัวของลู่โจวเองเลยแม้แต่น้อย นอกเหนือจากอาการตื่นตัว ซีหยวนไม่ได้แสดงความเป็นกังวลออกมาเลย การที่คนธรรมดาจะมีความกล้าหาญได้ถึงขนาดนี้เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก
“หยวนเอ๋อ! ” ผู้เป็นแม่อย่างซีจางชีรีบวิ่งเข้ามาก่อนที่จะสวมกอดหยวนเอ๋อเอาไว้
หยวนเอ๋อตกใจมาก การที่ไม่ได้พบกันถึง 6 ปีแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่หยวนเอ๋อจะไม่คุ้นชิน
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “รีบคารวะพ่อแม่เจ้าสิ”
“ค่ะ” หยวนเอ๋อได้คุกเข่าลงบนพื้น
การที่เคารพผู้ที่ให้กำเนิดเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้วที่จะทำ
‘ฉันจะต้องสอนลูกศิษย์คนนี้ให้ได้ดี’
เมื่อหยวนเอ๋อคุกเข่าลงบนพื้น ในตอนนั้นเองใบหน้าของผู้เป็นแม่อย่างจางชีก็ได้อาบไปด้วยน้ำตา ผู้เป็นแม่ที่พลัดพรากกับลูกสาวไปคงจะมีความในใจที่อัดแน่นอยู่แน่
ซีหยวนได้จ้องมองไปที่หยวนเอ๋อ หัวใจของเขากระวนกระวายเล็กน้อย ตัวเขาที่ยืนอยู่ห่างๆ ได้คารวะลู่โจว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
ลู่โจวพยักหน้าตอบรับกลับไป
คนรับใช้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไม่รู้จักลู่โจว คนรับใช้ทั้งหมดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหยวนเอ๋อได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว
ยังไงซะคนที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนแต่เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกของผู้ฝึกยุทธเลย เป็นไปอย่างที่ลู่โจวได้คาดหวังเอาไว้ ตัวเขาไม่มีอะไรจะพูดคุยกับคนพวกนี้… ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุประสงค์ในการมาที่นี่ของลู่โจวก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนเหล่านี้อีกด้วย
“ข้าเหนื่อยแล้วล่ะ”
ซีหยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบสั่งให้ซีอันเตรียมห้องให้พร้อม ซีหยวนรู้ดีว่าแท้จริงแล้วลู่โจวเป็นใคร เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงได้ห้ามทุกคนไม่ให้เข้าใกล้ห้องที่ลู่โจวได้ใช้พักผ่อนได้
…
ภายในห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ ห้องแห่งนี้มันดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก
ลู่โจวได้นั่งลงก่อนที่จะจ้องมองไปที่ซีหยวนและผู้เป็นภรรยา
ในตอนนี้ไม่มีคนนอกอยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว…
ซีหยวนและผู้เป็นภรรยาได้เดินไปหาลู่โจวด้วยความเคารพ “ท่านผู้อาวุโส ครั้งหนึ่งท่านเคยช่วยบ้านสกุลซีของพวกเราเอาไว้จากวิกฤตการณ์…ได้โปรดรับคำขอบคุณจากข้าน้อยไปด้วยเถอะ”
ในตอนที่ทั้งคู่กำลังคุกเข่า ในตอนนั้นเองลุ่โจวก็ได้โบกแขนของตัวเอง พลังจากแขนของลู่โจวได้ผลักพวกเขาทั้งคู่ให้ถอยกลับไป
“พวกเจ้าเป็นพ่อแม่ของหยวนเอ๋อ เพราะแบบนั้นพวกเราจึงมีสถานะที่เท่าเทียมกัน ไม่จำเป็นจะต้องคุกเข่าหรอก” ลู่โจวได้พูดออกมา
ซีหยวนและภรรยารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
ลู่โจวได้เหลือบมองพวกเขาทั้งสองคนก่อนที่จะพูดออกมาตรงๆ “ข้ามีคำถามที่อยากจะถามพวกเจ้า…ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะตอบคำถามข้าอย่างตรงไปตรงมา”
ซีหยวนที่ได้ฟังแบบนั้นไม่กล้าที่จะพูดอะไรอย่างอื่น “ได้โปรดถามมาเถอะท่านผู้อาวุโส”
“เกิดอะไรขึ้นที่เมืองอันยางกันแน่? “
ซีหยวนได้ตอบคำถามในทันที “ที่เมืองอันยางถูกกองทัพของพวกกบฏสร้างความเดือดร้อนให้ เพราะแบบนั้นประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราเลยต้องทุกข์ทรมานเพราะเรื่องนี้…อีกไม่นานชาวเมืองอันยางจะต้องถูกทิ้งให้ทุกข์ยากและไร้ที่อยู่อาศัยไปในที่สุด”
“แม่ทัพหลวงผู้ที่คุมกองทัพหลวงทั้งสามกองทัพเหวยซู่หยานมาถึงที่เมืองอันยางแล้วไม่ใช่หรอ? ” ลู่โจวได้ถามขึ้น
“แม่ทัพเหวยคนนั้นมาถึงเมืองอันยางในทางตอนเหนือเมื่อสองวันก่อนแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเขากลับยังไม่ได้เข้ามาภายในเมือง ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดกันท่านแม่ทัพถึงเลือกทำแบบนั้น” ซีหยวนได้ตอบกลับมา
ลู่โจวลูบเคราของเขาก่อนที่จะพยักหน้า
เหวยซู่หยานคนนี้เป็นตัวปลอม เพราะแบบนั้นการที่จะเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังคงจะไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายอะไร
“เอาล่ะคำถามสุดท้าย…” ลู่โจวกลืนน้ำลายก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “หยวนเอ๋อได้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งแต่ 10 ขวบ การเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องทำให้นางตัดสายสัมพันธ์ที่มีกับครอบครัวในอดีตไป ตามจริงข้าสามารถปล่อยให้ครอบครัวสกุลซีของเจ้าถูกลักพาตัวไปจนถูกสังหารยกครัวก็ย่อมได้…แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ไม่ได้ทำ พวกเจ้าทั้งหลายที่ติดต่อข้าในครั้งนี้มีเป้าหมายอะไรกันแน่? “
เมื่อซีหยวนได้ยินแบบนั้น เขาก็รีบหันไปหาจางชีผู้เป็นภรรยา ในตอนนั้นเองจางชีก็ได้หยิบกล่องสีแดงออกมาไว้ในมือ
ซีหยวนรีบพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโสโปรดดูด้วยตัวเองเถอะ”
ลู่โจวโบกมือ ในตอนนั้นเองกล่องสีแดงก็ได้ลอยเข้าหามือของตัวเขาเอง และเมื่อลู่โจวเปิดกล่องออกมา…สิ่งที่อยู่ภายในกล่องทำให้ตัวเขาและหยวนเอ๋อรู้สึกตกใจขึ้นมา
“ดอกแมกโนเลียสีดำ? “
ซีหยวนมองไปที่หยวนเอ๋อโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็เข้าใจความหมายได้ในทันที “หยวนเอ๋อ เจ้าออกไปข้างนอกก่อนเถอะ”
“ค่ะ ท่านอาจารย์” หยวนเอ๋อได้ออกจากห้องไปอย่างเชื่อฟัง เมื่อออกมาจากห้องนางก็ได้เหม่อมองท้องฟ้าเข้า ช่วงเวลานี้ศิษย์พี่ทั้งสองของหยวนเอ๋อยังคงเดินทางมาไม่ถึงแน่
หยวนเอ๋อไม่ได้ชอบพูดคุยพบปะผู้คนในบ้านสกุลซี เพราะแบบนั้นนางจึงเลือกเดินสำรวจตามตรอกซอกซอยอยู่ตามลำพัง
“สวัสดี”
เสียงที่ฟังดูอ่อนโยนได้ดังมาถึงหูของหยวนเอ๋อ
หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตัวสั่น เมื่อมองไปรอบๆ นางก็พบกับใครคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ใกล้ๆ “ใครกัน? “
ชายผู้ใช้ดาบชุดเขียวกำลังยืนหันหลังให้กับหยวนเอ๋ออยู่ตรงหน้า…