หยวนเอ๋อที่ถือกล่องใบนั้นด้วยความเคารพได้เปิดมันออกมาอย่างนุ่มนวล หลังจากนั้นนางก็ได้แต่พูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์…ศิษย์พี่รองได้มอบของสิ่งนี้ให้กับข้า มันเป็นชุดเสื้อผ้าค่ะ”
สายตาของลู่โจวกำลังจับจ้องไปที่ชุดเสื้อผ้าที่เปล่งประกาย ‘นางไม่ได้ขโมยชุดนี่มาจริงๆ สินะ? ‘ หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้พูดออกมา “เอามาให้ข้าเร็วเข้า”
หยวนเอ๋อได้ว่างกล่องลงอย่างเชื่อฟังก่อนที่จะเปิดฝากล่องทั้งหมดออก
ซีหยวนและภรรยาต่างก็จับจ้องไปที่กล่องพร้อมๆ กัน พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญชนเท่านั้น แม้ว่าจะพอมีสหายที่รู้จักอยู่ในโลกของยุทธภพบ้าง แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่อาจที่จะรู้ได้เลยว่าเสื้อผ้าที่ดูคล้ายกับชุดที่ทำมาจากขนนกพวกนี้คืออะไร
ลู่โจวรู้จักของสิ่งนี้ดี แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร มันยังคงดูทั้งสงบและเยือกเย็น “ชุดขนเมฆา”
“ชุดขนเมฆาอย่างงั้นหรอ? “
ว่ากันว่าชุดขนเมฆาถูกสร้างขึ้นในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา มันถูกสร้างขึ้นมาโดยช่างฝีมือถึง 3 รุ่นด้วยกัน เพียงแค่การตกแต่งและการออกแบบชุดเพียงอย่างเดียวก็กินเวลาไปกว่าหลายสิบปี วัสดุทั้งหมดที่ใช้สร้างของสิ่งนี้ถูกนำมาจากป่าแห่งม่านหมอกทั้งหมด ชุดขนเมฆาสามารถต้านทานความเสียหายจากพลังลมปราณได้ มันเป็นคุณสมบัติเดียวกับที่เสื้อคลุมวิถีเซนมี ถ้าหากจะวัดกันด้วยคุณภาพ ชุดขนเมฆาตัวนี้คงจะมีระดับที่สูงกว่าเสื้อคลุมตัวนั้นด้วยซ้ำไป
ลู่โจวไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่ายู่ฉางตงจะใจกว้างถึงเพียงนี้ ตัวเขาได้หยุดใช้ความคิดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะรับของสิ่งนี้ไปซะเถอะ” สำหรับลู่โจวการที่จะทิ้งของล้ำค่าแบบนี้ไปคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่
หยวนเอ๋อเกาหัว “ศิษย์เก็บของสิ่งนี้เอาไว้ได้จริงๆ หรอคะ? “
ลู่โจวได้พยักหน้าตอบกลับไป
หยวนเอ๋อได้ตอบรับออกมาก่อนที่จะเก็บชุดขนเมฆาตัวนี้ไป
ลู่โจวได้จ้องมองไปยังคู่สามีภรรยาตระกูลซีก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วพวกเจ้าก็ไปได้แล้วล่ะ”
จากบทสนทนาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ทำให้ลู่โจวรู้จักหยวนเอ๋อมากขึ้น หยวนเอ๋อเมื่อครั้งที่ยังเด็กนางได้ป่วยเป็นโรคร้ายเข้า ซีหยวนได้พยายามหาหมอมากมายหลายคนที่พอจะมีฝีมือมารักษาโรคร้ายนี้ หมอทั้งหลายต่างก็ลงความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน พวกเขาได้บอกเอาไว้ว่าจุดตันเถียนของหยวนเอ๋อจะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ซีหยวนยังคงจำเรื่องนี้ได้ดี ในตอนที่หยวนเอ๋อเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พบกับดอกแมกโนเลียสีดำดอกนี้เข้า เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงส่งซีอันไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เพื่อเรื่องนี้นั่นเอง
แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ยังสับสนอยู่ ด้วยความสามารถและตัวตนที่ซีหยวนมี เขาคนนี้คงจะไม่สามารถที่จะหาดอกแมกโนเลียสีดำมาได้แน่
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานลู่โจวก็ตัดสินใจที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ลู่โจวไม่ได้อธิบายสถานการณ์ทุกอย่างมากนัก ปัญหาของหยวนเอ๋อได้คลี่คลายไปแล้ว สมบัติอย่างแมกโนเลียสีดำเป็นอะไรที่ล้ำค่ามาก ถ้าหากซีหยวนยังคงเก็บสมบัติชิ้นนี้ต่อไป บ้านสกุลซีคงจะต้องพบกันปัญหาอีกครั้งแน่
…
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงเพิ่งจะมาถึงบ้านสกุลซีในบ่ายของวันนั้น
ในตอนนี้ที่พักของพวกเขาได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว
…
ในช่วงดึกของวันนั้นเอง
ดวงจันทร์ของวันยังคงส่องแสงสุกสกาวอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
เหล่าผู้คนที่อยู่ในบ้านสกุลซีต่างก็ได้ยินเสียงของผู้คนจำนวนมากที่มาจากท้องถนนได้
“กองทัพกบฏ มาแล้ว! ” มีใครบางคนตะโกนขึ้น
ลู่โจวในตอนนี้ยังไม่ได้เข้านอน ตัวเขากำลังนั่งสมาธิเพื่อเดินพลังลมปราณของตัวเองให้เสถียรมากกว่านี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังวิเศษที่ได้มาจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ก็เป็นได้ ในตอนนี้สภาพจิตใจของเขายังคงดีเช่นเคย
ลู่โจวได้ลืมตาขึ้นมา ตัวเขาเห็นแค่เพียงแสงไฟที่กะพริบออกมาจากด้านนอกประตู
“ท่านอาจารย์ กองทัพของพวกกบฏอยู่ทั่วท้องถนน พวกเราควรจะออกไปดูเจ้าพวกนั้นไหม? ” เสียงของหมิงซี่หยินได้ดังออกมาจากนอกห้อง
ลู่โจวได้ตอบกลับไป “ไม่จำเป็นจะต้องไปยุ่งเรื่องนอกบ้านสกุลซีหรอก”
“ครับท่านอาจารย์”
ลู่โจวได้หลับตาอีกครั้งก่อนที่จะเดินพลังลมปราณของตัวเขาต่อไป
ในตอนนั้นเองเสียงกีบเท้าของม้าก็ได้ดังไปทั่วท้องถนนของเมืองอันยาง
หน้าที่ดูแลความสงบสุขเป็นหน้าที่ของเหวยซู่หยาน ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างลู่โจวไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องแบบนี้เลย
ไม่นานหลังจากนั้นเองเสียงการต่อสู้ก็ได้ดังขึ้น
ผู้คนที่อยู่ภายในเมืองต่างก็ได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน
ครู่ต่อมาทุกอย่างก็ได้เงียบลงอีกครั้ง
…
ในเช้าของวันรุ่งขึ้น
ลู่โจวได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ตัวเขาได้แต่ส่ายหัวออกมาเบาๆ
การฟื้นฟูพลังวรยุทธของลู่โจวในตอนนี้เป็นไปได้อย่างเชื่องช้า…แต่ถึงแม้ว่าจะช้าแค่ไหนมันก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แม้ว่ามันจะค่อยๆ คืบหน้าแต่ลู่โจวก็รู้สึกดีไปกับมัน ถ้าหากเทียบกับในตอนที่ตัวเขาเพิ่งจะมายังโลกแห่งนี้ ในตอนนั้นตัวเขาใช้พลังอะไรเลยไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ในหัวของลู่โจวมีวิธีการฝึกฝนตัวเองมากมายหลายอย่าง จากประสบการณ์และความเข้าใจที่ตัวเขามี ลู่โจวมีความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนวรยุทธที่มากกว่าคนทั่วไปมาก แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวเขาในตอนนี้เลย วิธีการอันหลากหลายใช้ไม่ได้ผลกับตัวเขาในตอนนี้ สิ่งที่ลู่โจวพอจะใช้ประโยชน์จากความรู้พวกนี้ได้ก็คงจะมีเพียงเอาไว้ใช้เพื่อสั่งสอนลูกศิษย์ของตัวเขา
…
ในขณะเดียวกันที่ท้องฟ้าทางตอนเหนือของเมืองอันยาง
รถม้าลอยฟ้าได้พุ่งตรงมาทางเมืองอันยางด้วยความเร็วคงที่
รถม้าลอยฟ้าคันนั้นดูยิ่งใหญ่ควรค่าให้ชายตามอง
เหล่าผู้ฝึกยุทธหลายสิบคนได้ล้อมรถม้าลอยฟ้าคันนั้นเอาไว้
แม้ว่าชาวเมืองอันยางจะเคยเห็นรถม้าลอยฟ้ามาก่อน แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยเห็นรถม้าลอยฟ้าที่ดูสง่างามเช่นนี้
รถม้าลอยฟ้าคันนี้เป็นที่รู้จักกันดี
ชาวเมืองในตอนนี้เหมือนจะลืมเรื่องความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนไปซะสนิท พวกเขาได้แต่เหลือบมองไปบนท้องฟ้า
รถม้าลอยฟ้ายังคงลอยต่อไปก่อนที่จะหยุดอยู่ที่เหนือเมืองอันยาง
ในเวลาเดียวกันนั้นเองสัญญาณควันที่บ่งบอกถึงการปรากฏตัวของกองกำลังศัตรูก็ได้ลอยอยู่เหนือเมืองอันยาง
กลุ่มควันได้ลอยออกไปไกลสุดขอบฟ้า…
กลุ่มผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากที่ได้ลอยมาได้กระโดดลงจากฟากฟ้าก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่เมืองอันยาง!
“กองทัพกบฏ! “
“กองทัพกบฏ! “
ทันทีที่เห็นแบบนั้นชาวเมืองก็รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้คืออะไร ชาวเมืองทั้งหมดรีบกลับไปยังบ้านของตัวเอง
ความโกลาหลครั้งใหญ่ในเมืองอันยางได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
การต่อสู้ครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเป้าหมายของผู้ฝึกยุทธก็ไม่ใช่ชาวเมืองอันยาง เป้าหมายของพวกเขาก็คือทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองนั่นเอง
เสียงของการฆ่าฟันกันได้ดังไปทั้งเมือง
ประตูทางตอนเหนือถูกเปิดขึ้นด้วยฝีมือของเหล่าผู้ฝึกยุทธ ทหารกว่าหลายพันคนกำลังทะลักเข้ามาในเมืองอันยางแห่งนี้
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงต่างก็กระโดดขึ้นไปบนดาดฟ้าบ้านสกุลซีก่อนที่จะจ้องมองมาจากระยะไกล
ทางตอนใต้ของเมือง กองทหารและผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากต่างก็เริ่มการต่อสู้ขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งสองฝ่ายได้เข้าปะทะกันอย่างไม่หยุดยั้ง
หมิงซี่หยินได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “การก่อกบฏเมืองอันยาง…ดูเหมือนจะร้ายแรงน่าดู”
“พวกเราจะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
“ทำไมพวกเราถึงควรเข้าไปยุ่งล่ะ? นี่เป็นเรื่องของทางพระราชสำนัก มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับศาลาปีศาจลอยฟ้าของพวกเราเลย” หมิงซี่หยินได้ทำตามคำพูดของลู่โจวอย่างเชื่อฟัง
“พวกเราคงจะได้แต่นั่งอยู่ที่นี่เพื่อชมการแสดงเท่านั้น…”
เหล่าคนรับใช้ของบ้านสกุลซีต่างก็ไม่กล้าที่จะออกจากตัวบ้านไปแม้แต่ก้าวเดียว
การต่อสู้ได้เกิดขึ้นบนท้องถนนอย่างดุเดือด
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้ตัดสินใจที่จะนั่งอยู่บนดาดฟ้าก่อนที่จะจ้องมองดูการต่อสู้อย่างดุเดือดจากระยะไกล
“เหวยซู่หยานทำได้จริงอย่างงั้นหรอ…หรือเขาก็แค่ส่งทหารลิ่วล้อไปตายเท่านั้น? ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างขบขัน
ทันใดนั้นเองทหารกว่าครึ่งก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นจากรถม้าเป็นผู้ฝึกยุทธด้วยกันทั้งหมด แม้ว่าพวกเขาจะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้และขั้นมหาราชครูเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นทหารธรรมดาทั่วๆ ไปก็ไม่อาจที่จะต้านทานได้เลย ทหารทั้งหมดล้วนแต่ถูกบดขยี้ไปทีละเล็กทีละน้อยราวกับมดปลวก
“ยังไงซะของปลอมก็เป็นของปลอมอยู่วันยังค่ำแหละนะ…ถ้าหากเจ้านั่นปราบกบฏไม่ได้ ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าน่ะจะรักษาตำแหน่งไปได้ตลอดหรอก” หมิงซี่หยินได้พูดออกมา
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็เห็นพลังร่างอวตารทศภพทั้งสองร่างปรากฏขึ้นที่ทางตอนเหนือ
“ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวจริงๆ แล้วสินะ”
พลังร่างอวตารทศภพเป็นพลังร่างอวตารของผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางขึ้นไปนั่นเอง
ด้วยพลังร่างอวตารทั้ง 2 นั่นก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะข่มขวัญผู้ฝึกยุทธผู้สวมหน้ากากให้สั่นกลัวได้
ตามที่คาดการณ์เอาไว้ ผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถอยห่างออกไป ท้ายที่สุดแล้วผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูหรือขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตามผู้ฝึกยุทธที่สวมหน้ากากก็มีมากจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังทหารหลักของพวกนั้นก็กำลังแห่กันเข้ามาผ่านทางประตูเมือง…ทั้งสองฝ่ายในตอนนี้มีจำนวนที่ใกล้เคียงกันแล้ว
ที่ท้องถนนของเมืองอันยางเต็มไปด้วยศพ พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธแหละเหล่าทหารทั้งหลาย ชาวเมืองธรรมดาทั่วๆ ไปไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้นี้
ทั่วทั้งเมืองอันยางได้เสียหายไปอย่างมาก ตึกรามบ้านช่องส่วนใหญ่ล้วนแต่ถูกทำลาย ที่ถนนหนทางของเมืองเองก็ถูกพลังทำลายล้างจนเป็นหลุมเป็นบ่อ
“จนมุมแล้วอย่างงั้นสินะ” หมิงซี่หยินที่กำลังนั่งมองอยู่บนดาดฟ้าหลังคาได้จ้องมองดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจ
“ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเหวยซู่หยานถึงเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย แต่เหล่าลูกน้องของเขาล่ะ? “
เหวยซู่หยานเป็นถึงแม้ทัพผู้บัญชากองทัพหลวงทั้งสามกองทัพ เหวยซู่หยานได้รับหน้ามอบหมายให้มาปราบการก่อกบฏในครั้งนี้ ถ้าหากเมืองอันยางยังคงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายแบบนี้ นี่จะเป็นการสร้างความอับอายให้กับทางพระราชสำนักไม่ผิดแน่
ยังไม่ทันที่จะสิ้นสุดเสียง ในตอนนั้นเองพลังอวตารแห่งร้อยวิถีก็ได้ปรากฏขึ้นทางเหนือของเมืองก่อนที่จะพุ่งมายังเมืองอันยางด้วยความเร็วสูง
“นั่นยอดฝีมือ! ” หมิงซี่หยินขมวดคิ้ว
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“นั่นมันพลังอวตารทั้งหกแห่งร้อยวิถี! “
ความสูงของพลังร่างอวตารที่ปรากฏตัวขึ้นสูงกว่า 70 ฟุตด้วยกัน พลังร่างอวตารที่มีความสูงเสียดฟ้าขนาดนี้ไม่ได้ทำลายสิ่งก่อสร้างภายในตัวเมืองแต่อย่างใด
ภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่ของร่างอวตาร กลุ่มผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากที่กำลังก่อความวุ่นวายอยู่ก็ได้ถูกจัดการ
ทุกๆ ที่ที่พลังร่างอวตารได้ผ่านพ้นไป ผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากทั้งหมดก็จะถูกโจมตีจนกระเด็นลอยหายไป
การปรากฏตัวของยอดฝีมือคนนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
หมิงซี่หยินได้จ้องมองดูสถานการณ์อย่างไม่กะพริบตา “พลังอวตารสามารถใช้แบบนี้ได้ด้วยอย่างงั้นหรอ? “
ต้วนมู่เฉิงเองก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน “นางจะต้องเป็นหนึ่งในคนของเหวยซู่หยานแน่…น่าแปลก ในตอนที่ท่านอาจารย์ได้พรากชีวิตสุนัขรับใช้เหวยซู่หยานไปแล้ว ทำไมนางถึงไม่ได้อยู่ที่นั่นกัน? “
ด้วยพลังที่ห่างชั้นกันเกินไปผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากจำนวนมากจึงได้แต่นอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น
กองกำลังจากทั้งสองฝ่ายต่างก็มีหลักการเป็นของตัวเอง พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ไม่อยากที่จะทำร้ายประชาชนคนธรรมดา
ในขณะที่ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่ยอดฝีมือคนนั้น
ในตอนนั้นเองพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีก็ได้หายไป หญิงสาวเจ้าของพลังที่สวมชุดคลุมปักสีน้ำเงินค่อยๆ ลอยตัวลงมา สีหน้าของนางในตอนนี้ดูมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก “ผู้ที่ยอมจำนนจะถูกไว้ชีวิต ส่วนผู้ที่เลือกจะต่อต้านต่อไปจะต้องถูกประหารโดยที่ไม่มีข้อยกเว้น!!”