ฮั๊วยู่จิงได้หันกลับไป นางได้มองลงไปที่พื้นก่อนที่จะพูดขึ้น “ทำไมข้าจะต้องกลัวกัน? ข้าจะต้องเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าให้ได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นขอทานชราก็เหมือนจะมีสติขึ้นมาเล็กน้อย ตัวเขาได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “ทุกคนที่อยู่ภายใต้โลกใบนี้ต่างก็เกรงกลัวศาลาปีศาจลอยฟ้าที่แสนจะช่วยร้าย ทุกๆ คนล้วนแต่ทำทุกวิถีทางก็เพื่อที่จะ…” ขอทานชราหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อไป “…อยู่ให้ห่างจากที่แห่งนี้…เจ้านี่มันน่าขันซะจริง”
“ไม่มีที่ให้ข้าไปได้อีกแล้ว” ฮั๊วยู่จิงได้พูดออกมาอีกครั้งในขณะที่ส่ายหัว “แล้วทำไมข้าจะต้องบอกเรื่องนี้กับขอทานด้วยล่ะ? เจ้าน่ะควรจะอยู่ในที่ของเจ้ามากกว่า ถ้าหากมีคนลงมาจากภูเขาและจัดการเจ้าจริง เมื่อถึงเวลานั้นอย่ามาหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”
ท่าทีของขอทานชรายังคงเฉยเมย ตัวเขาได้เดินไปที่ฮั๊วยู่จิงก่อนที่จะนั่งลงข้างๆ กับนาง ชายชราได้ยกน้ำเต้าขึ้นมาเพื่อดื่ม แต่ก็พบว่ามันมีแต่ความว่างเปล่า ขอทานเฒ่าได้เขย่าน้ำเต้าอย่างสุดแรงเพื่อที่จะดื่มด่ำกับเหล้าหยดสุดท้าย หลังจากที่ได้ดื่มแล้วเขาก็ได้หันไปทางฮั๊วยู่จิงอีกครั้ง “แม่นาง เจ้าดูใจดีกับข้าจริงๆ ข้าขออะไรแนะนำเจ้าสักอย่าง เจ้าน่ะไม่เหมาะกับศาลาปีศาจลอยฟ้าหรอก” ทันทีที่พูดจบขอทานเฒ่าก็ได้เรอออกมา กลิ่นของแอลกอฮอล์ได้ลอยคละคลุ้งไปทั่ว
ฮั๊วยู่จิงได้ปิดจมูกของตัวเองก่อนที่จะขยับไปที่ข้างๆ นางได้แต่ใช้ความคิดกับตัวเอง ‘ข้าจะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้านี่กัน ช่างยุ่งไม่เข้าเรื่องซะจริง! ‘
ขอทานชราได้พูดต่อไป “แม่นาง คุยกับข้า…”
“อะไรกัน? “
“ทำไมเจ้าถึงอยากที่จะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน? “
ฮั๊วยู่จิงได้มองไปที่ขอทานเฒ่าคนนั้น นางจำสิ่งที่เกิดขึ้นที่สำนักลั่วได้ดี และเพราะแบบนั้นนางจึงส่ายหัวไป “ข้าไม่มีที่อื่นให้ไปแล้ว”
คำพูดของนางได้ทำให้ขอทานเฒ่าอดคิดถึงตัวเองไม่ได้ ไม่มีที่ให้ไปอย่างงั้นหรอ? ทุกมุมโลกเปรียบเหมือนกับบ้านของตัวเขา มีท้องฟ้าเป็นผืนผ้าห่ม มีพื้นโลกเป็นเหมือนกับเตียงนอน หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน เมื่อลองมองย้อนกลับมาที่หญิงสาวนางนี้…ดูเหมือนว่านางจะแตกต่างจากตัวเขาเกินไป ขอทานเฒ่าได้จ้องไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนที่จะครุ่นคิดอะไรบางอย่างต่อไป
หลังจากนั้นไม่นานขอทานเฒ่าก็ได้ถามออกมาด้วยท่าทางที่งุนงง “แม่นาง ที่นี่คือภูเขาทองสินะ? “
ฮั๊วยู่จิงที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก “เจ้าอย่าคิดที่จะรบกวนข้าเลย ได้โปรดไปที่อื่นเถอะ! “
“ข้าจะไม่ไปไหนหรอกนะ” ขอทานเฒ่าได้ยกน้ำเต้าขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ หลังจากนั้นตัวเขาก็จำได้ว่าเหล้าของเขามันหมดลงแล้ว “ชีวิตที่ไม่มีสุราก็เหมือนกับชีวิตที่ขาดสีสัน ช่างน่าเบื่ออะไรเช่นนี้”
ฮั๊วยู่จิงกลอกตาของนางไปมอง ‘ไม่เพียงแต่เป็นขอทานเท่านั้น เจ้านี่ยังเป็นพวกติดสุราอีกสินะ ช่างสิ้นหวังอะไรเช่นนี้! ‘
ขอทานเฒ่าได้หันไปมองที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าภูเขาทองจะมีเครื่องดื่มรสเริศไหม”
“เห็นทีข้าจะต้องไปดูด้วยตัวเองซะแล้วล่ะ ถ้าหากข้าพบสุราชั้นยอด บางทีข้าอาจจะหลุดพ้นจากชีวิตที่แสนน่าเบื่อแบบนี้ซะที” ขอทานเฒ่าได้ลุกขึ้นยืนอย่างเงอะงะก่อนที่จะตบฝุ่นออกจากตัวเอง
สถานการณ์ในอตนนี้มันดูน่าอึดอัดเป็นอย่างมาก
ยังไงซะขอทานก็ยังเป็นขอทาน เขาคนนี้คงจะไม่ได้อาบน้ำมานานแล้ว และในตอนนี้ชายชราก็กำลังปัดฝุ่นออกมาจากตัวเองอยู่
ขอทานเฒ่าได้เดินตรงไปยังม่านพลังของภูเขาทอง ตัวเขาคิดว่าจะเดินผ่านมันไปได้อย่างง่ายๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วหนทางของเขาก็สิ้นสุดลงเมื่อเดินชนเข้ากับม่านพลัง ขอทานเฒ่าได้เดินเซถอยหลังกลับมาจากแรกกระแทกก่อนที่จะล้มลง
ฮั๊วยู่จิงที่เห็นแบบนั้นรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ นางพยายามที่จะปิดตาลง
ขอทานเฒ่าได้ร้องออกมาก่อนที่จะเอามือปิดจมูกและกลิ้นไปตามพื้น
ฮั๊วยู่จิงส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ทำไมเจ้าจะต้องทำแบบนั้นด้วย? “
ในขณะนั้นเองก็ได้มีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งลงมาที่เชิงเขา นางรีบเดินลงมาก่อนที่จะไปยังทางเข้า “ท่านต้วนมู่เฉิงได้ฝากข้อความมา ในตอนนี้ท่านอาจารย์กำลังเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอยู่ เขาคงจะไม่ได้พบเจ้าแน่ เพราะแบบนั้นเจ้าควรจะไปซะดีกว่า”
สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธหญิงพูดออกมาไม่ได้ฟังดูแย่เลย ฮั๊วยู่จิงที่ได้ยอนแบบนั้นรู้สึกสบายใจมากขึ้น นางได้โค้งคำนับให้กับผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้น “พี่สาว ได้โปรดรับฝากข้อความของข้าไปที บอกว่าฮั๊วยู่จิงคนนี้จะไม่ไปไหนจนกว่าจะถูกยอมรับจากศาลาปีศาจลอยฟ้า”
“ทำไมท่านถึงต้องทำแบบนี้กัน…”
“ได้โปรดช่วยข้าทีเถอะพี่สาว”
ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
“ช้าก่อน” ขอทานเฒ่าได้ลุกขึ้นยืน มือของเขายังคงปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ ตัวเขาได้เดินมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะยกน้ำเต้าขึ้นมา “ข้าอยากที่จะดื่ม…”
ผู้ฝึกยุทธหญิงที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้ว
ในตอนนั้นเองสายสะพายสีแดงก็ได้ลอยออกมาจากม่านพลังป้องกันภูเขาทอง
ขอทานเฒ่าที่เห็นแบบนั้นถึงกับเสียการทรงตัวจนล้มลง
หยวนเอ๋อตัวน้อยกำลังบินอยู่ที่กลางอากาศ นางได้ชี้ไปยังขอทานเฒ่าคนนั้น “พวกเราไม่มีสุราหรอกนะ ไสหัวไปซะ! “
“สาวน้อยคนนี้เหตุใดกันถึงดุร้ายเช่นนี้! ” ขอทานเฒ่าได้อุทานออกมาด้วยความหวาดกลัว
หยวนเอ๋อดึงสายสะพายนิพพานกลับมาก่อนที่จะคล้องเอาไว้รอบตัวเอง “และเจ้า…ไสหัวไปได้แล้ว! ถ้าหากท่านอาจารย์พูดว่าจะไม่รับเจ้า ยังไงเขาก็ไม่รับเจ้า”
“ข้ายินดีที่จะรอ” น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน ฮั๊วยู่จิงตัดสินใจที่จะรอต่อไป
“งั้นเจ้าก็รอไปก็แล้วกัน” หยวนเอ๋อที่พูดจบก็ได้กลับศาลาปีศาจลอยฟ้าไปพร้อมๆ กับผู้ฝึกยุทธหญิง
ขอทานเฒ่าได้ส่ายหัว ตัวเขาได้แตะจมูกที่บวมเปล่งอย่างไม่แน่ใจก่อนที่จะนอนลงบนพื้น “ข้าเหนื่อยจริงๆ …เห็นทีจะต้องงีบหลับก่อนที่จะออกเดินทางซะแล้ว” ไม่นานหลังจากนั้นขอทานเฒ่าก็ได้ส่งเสียงกรนออกมา
สามวันต่อมา
ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ตัวเขารู้สึกได้ถึงพลังวิเศษที่มาจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นี้
ตัวเขาไม่ได้ไปเมืองอันยางอย่างเปล่าประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ลู่โจวก็เข้าใจเรื่องพื้นฐานที่เกี่ยวกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์แล้ว
เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ทั้งสามส่วนล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่แตกต่างกันทั้งหมด
หลังจากที่ทำความเข้าใจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดลู่โจวก็เข้าใจวิธีการฝึกฝนมันแล้ว…
การจะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ได้มันคล้ายกับการรับรู้ถึงพลังลมปราณ การที่จะได้รับพลังวิเศษนี้มันคล้ายกับการดูดซับพลังลมปราณก่อนที่จะรวบรวมมันจนกลายเป็นพลังไป แม้ว่าจะคล้ายคลึงแต่ดูเหมือนว่าพลังนี้เองจะพิเศษกว่าพลังทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ลู่โจวจำพลังแห่งคำพูดที่ได้ปล่อยไปในเมืองอันยางได้ดี ตัวเขาที่นึกออกได้พยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคสำหรับลู่โจวนั่นก็คือตัวเขาสามารถใช้มันได้เพียงแค่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มาอย่างเนิ่นนาน…สำหรับลู่โจวแล้วตัวเขารู้สึกเสียดาย
ลู่โจวสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่มีทิ้งไป ในตอนนี้การจะคิดถึงแต่เรื่องนั้นมันไม่ได้มีความหมายอะไร ตัวเขาสามารถทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อไปได้เท่านั้น ไม่มีความทรงจำใดรวมไปถึงประสบการณ์อะไรที่ช่วยลู่โจวในเรื่องนี้ได้เลย
ตัวเขาได้เหลือบมองไปที่แต้มบุญที่มีอยู่ 6,970 แต้มบุญ
ค่าความโชคดีเองมีถึง 89 แต้มแล้ว
‘ครั้งแรกใช้ค่าความโชคดีไปที่ 33 แต้ม ครั้งที่สองใช้ค่าความโชคดีที่ 66 แต้ม ถ้าหากรูปแบบไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจริง บางทีครั้งที่สามจะต้องใช้ค่าความโชคดีอยู่ที่ 99 แต้มสินะ? ‘
“จับฉลากนำโชค”
“ติ้ง! คุณได้ใช้แต้มบุญ 50 คุณได้รับค่าความโชคดี 1 แต้ม”
ตัวเขาเหลือจับฉลากนำโชคอีกเพียง 9 ครั้งเท่านั้นก็จะมีค่าความโชคดีอยู่ที่ 99 แต้ม
ลู่โจวหยุดไปกลางคัน ว่ากันตามตรงตอนนี้ตัวเขารู้สึกประหม่า แม้ว่าตัวเขาจะเป็นจีเทียนเด๋าผู้ที่ผ่านโลกมาแล้วกว่าหลายร้อยปี แต่ถึงแบบนั้นวิธีคิดรวมไปถึงการใช้ชีวิตของชีวิตลู่โจวก่อนหน้านี้ก็ช่างแตกต่างจากวิถีชีวิตแบบนี้อย่างสิ้นเชิง ตัวเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนุ่มแน่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อจะต้องเผชิญหน้ากับจับฉลากนำโชคแบบนี้
ลู่โจวหายใจเข้าลึกๆ
“จับฉลากนำโชค! “
“ติ้ง! คุณได้ใช้แต้มบุญ 50 คุณได้รับค่าความโชคดี 1 แต้ม”
ตัวเขาได้จับฉลากนำโชคไปถึง 9 ครั้งอย่างรวดเร็ว
ลู่โจวเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังสงบนิ่ง โชคดีที่ลู่โจวเตรียมใจเอาไว้แล้ว…
ดูเหมือนจะใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ไม่ได้สินะ
“จับฉลากนำโชค! “
“ติ้ง! คุณได้ใช้แต้มบุญ 50 ค่าความโชคดีถึง 100 แต้มแล้ว คุณได้รับการ์ดกรงผนึกกักขังโฉมใหม่ x5, การ์ดรักษาฉุกเฉินโฉมใหม่ x3, และการ์ดพลังชีวิต x5”
“การ์ดกรงผนึกกักขังโฉมใหม่ อัตราการใช้สำเร็จ 100% ไม่มีขาย”
“การ์ดรักษาฉุกเฉินโฉมใหม่ อัตราการรักษา 100% ไม่มีขาย”
ลู่โจวกำลังคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ ค่าความโชคดี 100 แต้ม จะต้องใช้แต้มบุญทั้งหมด 5,000 แลกมา ถ้าหากลู่โจวไม่ได้คำนวณ ตัวเขาก็คงจะคิดว่าได้รางวัลก้อนโตไปแล้ว อย่างน้อยๆ ลู่โจวก็ไม่ได้พบกับความสูญเสียจนเกินไป ตัวเขารู้สึกพอใจกับการ์ดโฉมใหม่แล้ว นอกจากนี้การ์ดพวกนั้นยังไม่สามารถที่จะซื้อได้อีกด้วย ด้วยความผิดหวังเล็กๆ ทำให้ลู่โจวตัดสินใจที่พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ‘ปล่อยเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน’
ในขณะนั้นเองเสียงของจ้าวยู่ก็ได้ดังออกมาจากห้อง “ท่านอาจารย์ เยี่ยนซานมาที่นี่ค่ะ”
“สถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? ” ลู่โจวถามขึ้นมา ถ้าหากเยี่ยนซานทำภารกิจไม่สำเร็จ เขาก็คงจะมาไม่ถึงที่นี่แน่