ที่โลกยุทธภพมีเหล่าผู้ฝึกยุทธที่มีความเชี่ยวชาญในการฝึกยุทธมากมายหลายประเภทด้วยกัน ในบรรดาเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายเองก็มีอัจฉริยะเช่นกัน ในตอนนี้มีเพียงผู้ฝึกยุทธเพียงไม่กี่เพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะสามารถฝึกฝนตัวเองจนเชี่ยวชาญในแต่ละทักษะไปได้
การที่จะหาผู้ฝึกยุทธที่ใช้เคล็ดวิชาแห่งการรักษาแบบลู่โจวได้เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก ใครกันที่จะฝึกเคล็ดวิชาเพื่อการรักษาผู้อื่นแบบนี้ได้? ชั่วครู่ต่อมาพลังแสงสีฟ้าก็ได้อ่อนจางลง
ในตอนนั้นเองใบหน้าของฝานซงก็เริ่มที่จะกลับมีสีสันอีกครั้ง ฝานซงเริ่มกลับมาหายใจอย่างราบรื่น
เล้งลั่วได้พูดออกมา “แม้ว่าจะใช้เคล็ดวิชาเมตตาธรรมจะเป็นเคล็ดวิชาแห่งการรักษาที่ยอดเยี่ยม แต่การที่จะหาผู้ใช้เคล็ดวิชาได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” เล้งลั่วไม่ได้คิดจะเก็บคำชื่นชมเอาไว้เลย ตัวเขารู้สึกประทับใจจริงๆ
ลู่โจวได้ชักมือกลับมาหลังจากที่การรักษาสิ้นสุดลง
ใบหน้าของฝานลี่เทียนเต็มไปด้วยความยินดีก่อนที่ตัวเขาจะรู้สึกสงบอีกครั้ง “ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ “
ลู่โจวได้เหลือบมองไปที่ฝานลี่เทียน
ค่าความจงรักภักดีเพิ่มขึ้น 5%
แม้ว่าฝานลี่เทียนจะมาจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเมื่อสำนักเก่าได้ถูกทำลายไปเลย
ลู่โจวมองว่านี่เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่ได้มาจากการเดินทางในครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วฝานลี่เทียนเป็นยอดฝีมือชั้นสูงจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ถ้าหากเทียบกันที่ฝีมือแล้วเขาก็คงจะเทียบเท่าได้กับเล้งลั่ว
ลู่โจวได้ยินการแจ้งเตือนของระบบแล้วเช่นกัน การสวามิภักดิ์ของฝานลี่เทียนทำให้ตัวเขาได้รับแต้มบุญ 2,000 แต้ม การได้แต้มบุญที่มากกว่าปกตินี้แสดงว่าสาวกคนใหม่จะสวามิภักดิ์ได้
ลู่โจวได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ‘ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้จะคุ้มค่ามาก เพียงแค่ใช้การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตก็ได้แต้มบุญกลับมามากมายขนาดนี้’ ลู่โจวที่พูดแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “พาเจ้านั่นกลับไปภูเขาทองซะ”
“ค่ะท่านอาจารย์” จ้าวยู่ยกมือขึ้น ฝานซงถูกห่อหุ้มด้วยพลังก่อนที่จะลอยกลับไปยังรถม้าลอยฟ้า
ฝานลี่เทียนได้ไอออกมาอย่างผิดธรรมชาติก่อนที่จะมองไปยังรถม้าล่องเมฆา ‘แล้วข้าจะขึ้นรถม้าไปได้ยังไงกัน? ด้วยพลังที่ข้ามีในตอนนี้ข้าจะไปขอความช่วยเหลือของใครได้บ้าง’
ในเวลานั้นเองเสียงแตรอันก้องกังวานก็ได้ดังมาจากส่วนท้ายของแม่น้ำเรียวบาง
เล้งลั่วที่ได้ยินแบบนั้นเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้นก่อน “นั่นจะต้องเป็นกำลังเสริมจากพระราชสำนักแน่”
“ใครสนกัน? พวกเราจะจัดการทุกคนที่กล้ามาที่นี่เอง” หยวนเอ๋อได้หยิบสายสะพายนิพพานออกมาอีกครั้ง สายสะพายยังคงส่องแสงสีแดงสดท่ามกลางแสงจากดวงอาทิตย์
ฝานลี่เทียนรู้สึกเวียนหัวเมื่อต้องจ้องมองมัน ทุกอย่างถูกแสงสีแดงจากสายสะพายเข้าปกคลุม ฝานลี่เทียนมั่นใจว่าตัวเขาในตอนนี้ยังไม่ได้เมาจนขาดสติไป และในตอนนั้นเองเสียงแตรก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าเสียงเจ้าของเสียงแตรนี่พยายามจะล่อพวกเขาให้ไปหา
“ท่านอาจารย์ นี่อาจจะเป็นกับดักก็เป็นได้ ได้โปรดระวังตัวด้วย” หยวนเอ๋อได้ขยับเข้าไปใกล้ลู่โจว เมื่อได้ยินแบบนั้นลู่โจวเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลไป” ลู่โจวได้เดินไปมองแม่น้ำเรียวบางในขณะที่เอามือไขว้หลังเอาไว้
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนต่างก็สงสัยว่าพวกเขาควรที่จะตามไปด้วยไหม ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนก็เป็นเพียงแค่ชายชราที่ไม่ได้มีกำลังการต่อสู้อะไรที่แข็งแกร่งอีกต่อไป แม้ว่าเล้งลั่วจะอาการดีขึ้นมาแล้วแต่ถึงแบบนั้นพลังวรยุทธของเขาก็ยังหายไปกว่าครึ่ง บางทีพลังวรยุทธของเขาอาจจะฟื้นฟูมาเพียง 2 ส่วนก็เป็นได้ ส่วนฝานลี่เทียนเองก็ไม่ได้มีพลังอะไรอีกต่อไป การที่จะพาเขาไปด้วยก็คงจะมีแต่ภาระเพิ่มซะเปล่าๆ
หยวนเอ๋อในตอนนี้ดูไม่ได้กังวลอะไร นางกระโดดไปที่ข้างๆ ของผู้เป็นอาจารย์ ไม่มีที่ไหนในโลกที่ปลอดภัยไปกว่าการที่อยู่ใกล้ๆ กับอาจารย์อย่างลู่โจว
เล้งลั่วที่พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “…ถ้าหากเจ้ากลัวมากล่ะก็ เจ้าก็รออยู่ที่นี่ซะสิ”
“อย่าพูดอะไรไร้สาระไปหน่อยเลย ถ้าหากข้ากลัวจริง ข้าก็คงไม่ไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้านั่นหรอก” ฝานซงได้ตอบกลับไป
ทั้งคู่ได้สบตากันก่อนที่จะเดินไปทางตะวันออกของแม่น้ำเรียวบาง
พวกเขาทั้งสี่คนได้เดินหลบซากปรักหักพังของสิ่งก่อนสร้างทั้งหมดก่อนที่จะโผล่พ้นออกมาจากสวน
ต้วนมู่เฉิงเฝ้าดูทุกคนจากบนรถม้าล่องเมฆา ตัวเขากำลังสงสัยว่าควรจะไปด้วยดีไหม ต้วนมู่เฉิงในตอนนี้ยังไม่ชินกับการควบคุมรถม้าลอยฟ้า ถ้าหากจะให้ตัวเขาควบคุมรถม้าไปในเส้นทางเล็กๆ เส้นทางที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างลู่โจวเพิ่งจะเดินทางไปคงจะเป็นเรื่องยาก ต้วนมู่เฉิงได้ใช้เวลาตัดสินใจอีกชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจอยู่ที่เดิมต่อไป
ลู่โจวและหยวนเอ๋อเป็นฝ่ายเดินนำ เมื่อพวกเขาทั้งหมดเดินผ่านเส้นทางเดินยาวไปพวกเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ได้พบดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ ชายหนุ่มคนนั้นได้บิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน
ชายหนุ่มได้ผิวปากออกมาอีกคั้ง
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ได้กลอกตาไปมองก่อนที่จะพูดขึ้น “ไร้ยางอายจริงๆ “
ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือเจียงอาเฉียนนั่นเอง
เจียงอาเฉียนได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ดูเหมือนว่าจดหมายฉบับนั้นจะไปถึงมือท่านได้สินะ ท่านผู้อาวุโส ถ้าหากไม่เป็นแบบนั้นข้าก็คงไม่ได้พบกันท่านที่นี่”
ลู่โจวมองไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะถามออกมาด้วยความอยากรู้ “เจ้ารู้ที่อยู่ของม่อฉีได้ยังไงกัน? “
เจียงอาเฉียนได้ยืดตัวก่อนที่จะพูดออกมา “เรื่องนั้นมันง่ายนิดเดียว ข้าก็แค่ดักอ่านจดหมายของม่อฉีก็เท่านั้น เขาได้ส่งคำขอร้องเพื่อขอกำลังเสริมจากที่ต่างๆ มา คนเดียวที่พอจะช่วยเขาได้นั่นก็คือม่อหลี่”
ลู่โจวพยักหน้า
ในตอนนั้นเองเล้งลั่วและฝานลี่เทียนก็ได้เดินผ่านไป
เจียงอาเฉียนได้มองดูพวกเขาก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสฮั๊ว” เจียงอาเฉียนได้เดินไปจับมือฝานลี่เทียนเอาไว้ก่อนที่จะพูดทักทาย
ฝานลี่เทียนที่เห็นแบบนั้นรู้สึกงุนงงกับพฤติกรรมของเจียงอาเฉียน
สายตาของเจียงอาเฉียนได้เหลือบไปมองเล้งลั่วก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้นำแห่งอัศวินดำ ท่านฝาน ข้ารู้สึกยินดีจริงๆ ที่ได้พบท่าน! “
“หุบปากไปซะ! “
เจียงอาเฉียนได้ถอยกลับไปที่ด้านข้างของฝานลี่เทียน ตัวเขาได้พึมพำออกมาอย่างเบาๆ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าผู้อาวุโสฮั๊วจะต้องเป็นมิตรกว่า…”
ฝานลี่เทียนไม่อาจที่จะทนได้อีกต่อไป “เจ้าไร้ยางอายนี้มาจากไหนกันแน่? “
เจียงอาเฉียนถึงกับตกตะลึง ‘ข้าเป็นมิตรและทักทายทุกคนก่อนแท้ๆ ไหนเจ้าพวกนี้ถึงตอบแทนข้าแบบนี้กัน? ‘
หยวนเอ๋อได้พูดออกมาอย่างกระตือรือร้น “เจ้านี้คือปู่ของฝานซง! เขาเป็นยอดฝีมือลำดับแรกของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ต่างหาก! “
เจียงอาเฉียนได้เกาหัวไปพักหนึ่งก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป
“ปู่อย่างงั้นหรอ? “
“เงียบซะ! ” ฝานลี่เทียนได้ตะโกนขึ้น
เจียงอาเฉียนรู้ดีว่ายอดฝีมือลำดับแรกของสำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้หายสาบสูญไปกว่าร้อยปีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน จะต้องไม่มีใครคาดคิดแน่ว่ายอดฝีมือคนนี้จะมาปรากฏตัวอยู่กับพวกศาลาปีศาจลอยฟ้าแบบนี้ หลังจากที่คิดทบทวนเรื่องราวได้พักหนึ่ง ศิษย์สาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าคงจะไม่คิดที่จะพูดเล่นด้วยแน่ ‘คงจะดีกว่านี้ถ้าหากข้าจะรักษาภาพลักษณ์อันต่ำต้อยนี่ต่อไป…ยังไงซะชีวิตก็ยังสำคัญที่สุดอยู่ดี’
“ข้าต้องขออภัยจริง ข้ามีตาหามีแววไม่ ได้โปรดอย่าถือสาข้าเลย ข้าเป็นหนึ่งในผู้ช่วยชีวิตฝานซงก็เท่านั้น” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมา
ลู่โจวได้หันกลับไปมองที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างแยบยล “เจ้าน่ะหรอช่วยฝานซง? “
เจียงอาเฉี่ยนได้เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะพูดจาอย่างอวดดี “ถ้าหากข้าไม่เร็วพอ ป่านนี้ฝานซงก็คงจะต้องตายไปแล้ว เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็เท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นฝานซงก็กลับคิดลอบโจมตีม่อฉี เขาน่ะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ “
ฝานลี่เทียนไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรเมื่อได้ยินแบบนี้ ตัวเขาได้แต่คารวะเพื่อเป็นการขอบคุณเจียงอาเฉียนก็เท่านั้น
“ไม่เป็นไรเลย นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เจียงอาเฉียนได้คารวะกลับมา
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “แล้วเจ้าต้องการอะไรกัน? ต้องการคำขอบคุณจากข้าด้วยอย่างงั้นหรอ? “
เจียงอาเฉียนได้โบกมืออย่างเร่งรีบ “ไม่ ไม่ ไม่…ไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณแทนข้าหรอก ท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็ต้องร่วมมือกันอยู่ดี” น้ำเสียงของเจียงอาเฉียนฟังดูอึดอัดเป็นอย่างมาก “ที่นี่มีเวทมนตร์คาถาอยู่ มันยังไม่ถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะแจ้งเตือนท่าน พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป”
“เจ้าไม่ได้สกัดกั้นการส่งจดหมายของม่อฉีแล้วหรอกหรอ? “
“จดหมายของเขามีมากกว่าหนึ่ง ลำพังข้าเองไม่อาจที่จะสกัดกั้นจดหมายทั้งหมดได้”
ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก
ในตอนนั้นเองมีกลุ่มทหารได้พุ่งเข้าใส่พวกเขา
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนต่างหันไปมอง
ในตอนนั้นเองพื้นดินได้สั่นสะเทือน ผิวน้ำของทะเลสาบได้กระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจียงอาเฉียนก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะตื่นกลัวเลย ตัวเขายังคงยืนพิงรั่วด้วยท่าทีที่สบายๆ โดยปกติแล้วคนอย่างเจียงอาเฉียนจะเป็นคนแรกที่คิดหนีอยู่เสมอ
“กำลังเสริมจากทางพระราชสำนักกำลังจะมาถึง เจ้าไม่กลัวเลยอย่างงั้นหรอ? “
ฝานลี่เทียนได้มองไปที่เล้งลั่วก่อนที่จะพูดออกมา “ตอบมาซะ ท่านปรมาจารย์กำลังพูดกับเจ้าอยู่! “
เล้งลั่วไม่ได้สนใจอะไร
ในตอนนั้นเองทหารกว่าร้อยคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
ทหารกลุ่มนั้นมีหญิงสาวที่สวมชุดปักสีน้ำเงินเป็นผู้นำ ด้านหลังของนางมีทหารสวมหมวกแน่นหนาสี่คนตามมาติดๆ จากพลังรอบตัวที่เหล่าทหารมีทุกๆ คนก็ต่างรู้ได้ทันทีว่าทหารพวกนี้ไม่ใช่พวกไร้ฝีมือเลย
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนต่างก็มองไปที่ลู่โจว พวกเขาพยายามที่จะสงบใจให้ได้มากที่สุด โชคดีที่พวกเขาทั้งคู่มากับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้ ปรมาจารย์คนนี้จะต้องรับมือกับทหารทั้งหมดได้แน่ ถ้าหากพวกเขาคิดหนีไปเฉยๆ การทำแบบนั้นก็คงจะมีแต่เสียหน้าแย่
หลังจากนั้นไม่นานทหารก็เข้ามาใกล้มากขึ้น และมากขึ้นไปอีก
หญิงสาวผู้เป็นผู้นำได้กระโดดลงมาจากม้าก่อนที่จะเดินนำหน้าไปอย่างสง่างาม
เป็นเพราะนางเองก็ไม่ได้รู้สึกชอบหน้าอะไรเจียงอาเฉียน นางจึงเลือกที่จะทักทายลู่โจวก่อน “จิงยี่ขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
หยวนเอ๋อได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ามาแล้วสินะ”
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนต่างก็รู้สึกสับสน ‘ศาลาปีศาจลอยฟ้าสมรู้ร่วมคิดกับพวกพระราชสำนักแล้วอย่างงั้นหรอ? ‘ ทั้งสองคนไม่รู้ว่าลู่โจวได้ช่วยชีวิตหลี่จิงยี่ในตอนที่อยู่ในเมืองอันยางเอาไว้ เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะทักทายลู่โจวได้แบบนี้
ลู่โจวได้ลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยม่อฉีอย่างงั้นหรอ? “
ใบหน้าของหลี่จิงยี่เต็มไปด้วยความอึดอัด หลังจากนั้นนางก็ได้ตอบกลับมา “ข้าทำตามคำสั่งเพียงเท่านั้น ข้าตั้งใจที่จะฆ่าทุกคนที่เข้าใกล้แม่น้ำเรียวบางแห่งนี้…ข้าจะไม่ลืมบุญคุณที่ท่านช่วยข้าเอาไว้ท่านผู้อาวุโส แต่ท่านไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ท่านควรจะรีบออกไปจากแม่น้ำแห่งนี้จะดีกว่า ข้าจะรีบเก็บกวาดเรื่องที่นี่เอง”
‘นางพยายามจะช่วยอย่างงั้นหรอ? ‘ ฝานลี่เทียนที่เห็นแบบนั้นอดที่จะไอออกมาไม่ได้ ตัวเขากำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลี่จิงยี่ได้พูดต่อไป “ดูเหมือนจะมีกำลังเสริมมาจากกองกำลังอื่นๆ เช่นกัน พวกเขาจะต้องเดินทางมาที่นี่แน่”