บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมามากขึ้น ทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อมที่จะโจมตีกันและกัน…
หลี่จิงยี่จ้องไปที่เจียงอาเฉียน
เล้งลั่วไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ตัวเขาในตอนนี้ยังไม่ได้หายสนิท ถ้าหากจะต้องต่อสู้กับอัศวินดำทั้งสี่จริงตัวเขาจะต้องตกอยู่เป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่
อัศวินดำเพิ่งจะสังเกตเห็นพฤติกรรมของเล้งลั่วที่ไม่เหมือนกับปกติเข้า อัศวินดำคนหนึ่งได้หัวเราะออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความพยายามปลอมตัวเป็นท่านหัวหน้ามากไปสินะ ฆ่าพวกมันซะ! “
อัศวินดำกว่าร้อนคนได้ล้อมพวกเขาเอาไว้
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็โกรธจัดก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ให้ศิษย์ไปจัดการเจ้าพวกนั้นเถอะ ศิษย์จะจัดการทุกคนไม่ให้ใครหลุดรอดไปได้แน่”
ก่อนที่ลู่โจวจะตอบอะไรไป เล้งลั่วก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่จำเป็นจะต้องเข้ามายุ่งหรอก…ข้าน่ะได้ท่องโลกยุทธภพมากว่าหลายปีแล้ว ข้าน่ะมีไพ่ตายเก็บไว้เป็นเรื่องธรรมดา” แทนที่จะถอยกลับไปเล้งลั่วกลับเดินไปข้างหน้าแทน การเดินไปข้างหน้าของเขาทำให้คนอื่นๆ ตกใจ
“ฆ่ามันซะ! ” อัศวินความมืดทั้งสี่ได้บุกเข้าโจมตีพร้อมกัน ดาบของอัศวินทั้งสี่ได้เสียบตรงไปที่เล้งลั่วในเวลาเดียวกัน
มือของเล้งลั่วได้อยู่ที่ด้านหลังของเขา ตัวเขาได้กลายเป็นยอดฝีมือจนฝึกฝนตัวเองไปถึงจุดอันสูงส่งมากว่าหลายปีแล้ว เป็นธรรมดาที่ตัวเขาจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องอับอาย
พรึ๊บ!
เล้งลั่วได้หายไปจากสายตาของทุกคน
ในช่วงเวลาต่อมาตัวเขาก็ได้ปรากฏตัวท่ามกลางหมู่อัศวินดำ
ในเวลาเดียวกันพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีที่มีกลีบดอกบัวถึง 8 กลีบก็ได้เบ่งบ้านขึ้น ดอกบัวทองคำได้หมุนรอบพลังร่างอวตารอย่างรวดเร็ว
พลังอันมหาศาลได้หมุนเวียนใกล้ๆ กับอัศวินดำทั้งหลาย
ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวเท่านั้นกลุ่มอัศวินทั้งหลายกว่าร้อยคนก็ได้สลายตัวไป
พลังดอกบัวสีทองได้ส่องสว่างจะดูคล้ายกับชามสีทองขนาดยักษ์
พลังร่างอวตารของเล้งลั่วได้หายไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่มันปรากฏตัว
แม้ว่าร่างอวตารจะคงพลังได้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว มันก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับอัศวินดำทั้งหมด
พลังร่างอวตารที่มีดอกบัวถึง 8 กลีบเป็นเหมือนกับขีดจำกัดที่มนุษย์สามารถฝึกฝนตัวเองไปถึงได้
สำนักเที่ยงธรรมและสำนักดาบสวรรค์เคยปล่อยข่าวลือออกมา ปรมาจารย์จากศาลาปีศาจลอยฟ้าสามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบในเมื่อนานมาแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้เขาก็ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังร่างอวตารดอกบัว 9 กลีบไป แต่ถึงแบบนั้นกลับไม่มีใครเชื่อ ยี่เทียนซินเป็นคนหนึ่งที่ได้เห็นพลังร่างอวตารดอกบัว 9 กลีบ แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง ยี่เทียนซินคิดว่าดอกบัวทั้งหลายคงจะหมุนตัวเองเร็วจนเกินไป และเพราะแบบนั้นนางจึงไม่แน่ใจนั่นเอง
แต่พลังอวตารเล้งลั่วแตกต่างกันออกไป มันเป็นพลังของผู้ที่มีประสบการณ์มาแล้ว มันเป็นพลังที่แตกต่างจากอัศวินดำทั่วๆ ไป แม้ว่าผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไปยังเห็นพลังร่างอวตารของเล้งลั่วได้
การแสดงพลังอวตารดอกบัว 8 กลีบในระยะเวลาสั้นๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อัศวินดำทั้งหลายกลัวได้ หลายๆ คนต่างก็คุกเข่าเมื่อสัมผัสพลัง หลายๆ คนที่ถูกพลังก็ได้กระอักเลือดออกมา บางคนหวาดกลัว บางคนก็ดูตกตะลึง
ในตอนนี้เล้งลั่วไม่ได้โจมตีอีกต่อไป ตัวเขายืนตรงพร้อมกับเอามือไขว้หลังเอาไว้เช่นเคย ตัวเขามองดูเหล่าอัศวินดำทั้งหมดที่ล้มลงไปกับพื้นก่อนที่จะพูดขึ้น “อ่อนหัด! “
สี่อัศวินดำมองไปที่เล้งลั่ว ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวกว่าเดิมมาก
ดาบทั้งหลายได้ตกลงไปทั่วพื้น
อัศวินดำหลายร้อยคนทำตัวราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แสนจะน่ากลัว แม้แต่แรงจะยืนเองเหล่าอัศวินดำยังแทบที่จะไม่มี
“พวกเราตาบอดเองที่จดจำท่านไม่ได้ โปรดอภัยให้พวกเราด้วยท่านฝาน! ” อัศวินดำทั้งสี่ได้ยอมจำนน
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบ ผู้นำอัศวินดำคนใหม่รวมไปถึงสี่อัศวินดำต่างก็ยอมแพ้ พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกซะจากคุกเข่า
หลังอัศวินดำทั้งสี่ อัศวินดำจำนวนมากได้คุกเข่าก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปที่ด้านหน้า
“ท่านฝานจริงๆ ด้วย”
“ทักทายท่านฝานเร็วเข้า! “
“ท่านฝาน ท่านยังมีชีวิตอยู่สินะ”
แม้ว่าจะยอมจำนนแต่โดยดีแต่ถึงแบบนั้นในน้ำเสียงของเหล่าอัศวินก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอยู่ดี
แต่น่าเสียดาย ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แม้ว่าบางอย่างอาจจะยังเหมือนเดิม แต่ผู้คนย่อมเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เล้งลั่วได้พูดต่อไป “ฝานซุยเหวินน่ะไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว…”
“ท่านฝาน”
“หุบปากซะ! ” เล้งลั่วพูดออกมาอย่างไร้ความลังเล น้ำเสียงของเขาไม่ได้มีพลังลมปราณเจือปนอยู่ แต่ถึงแบบนั้นมันก็รุนแรงเทียบเท่ากับคลื่นเสียงได้
อัศวินดำทั้งหลายได้แต่ถอยหลังกลับไปด้วยความตกใจ พวกเขามองไปที่อดีตผู้นำคนนั้นด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
อัศวินดำทั้งสี่ไม่ใช่อดีตลูกน้องผู้จงรักภักดีคนเดิมอีกต่อไป แม้ว่าอัศวินดำทั้งสี่จะไม่สามารถแทนอัศวินดำทั้งสี่กลุ่มเดิมได้ แต่ถึงแบบนั้นในบรรดาอัศวินดำทั้งหมดอัศวินดำทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ยังเป็นยอดฝีมือในหมู่ของอัศวินดำอยู่ดี แต่แม้ว่าจะเก่งกาจในหมู่อัศวินดำ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบพวกเขาก็หมดแรงใจในการต่อสู้ซะแล้ว
ลู่โจวและคนอื่นๆ รู้ดีว่าเล้งลั่วสามารถจัดการกับอัศวินดำทุกคนได้ พวกเขารู้ดีว่าผู้ที่เคยเป็นผู้นำอัศวินดำคนนี้เป็นคนแบบไหน เห็นได้ชัดว่าเล้งลั่วรู้สึกใจอ่อนเพราะวันเวลาเก่าๆ ที่ตัวเขามีให้กับอัศวินดำนั่นเอง
เล้งลั่วได้รับบาดเจ็บและในตอนนี้พลังวรยุทธของเขาก็ยังไม่ฟื้นฟูมาจนเต็มที่ เป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากแล้วที่ตัวเขาสามารถใช้พลังร่างอวตารที่มีดอกบัวถึง 8 กลีบในเวลาเสี้ยววินาทีได้
ลู่โจวคิดว่าเล้งลั่วจะต้องแบกรับภาระหนักมาแล้วเพื่อมาที่นี่ ใครจะไปรู้กันว่าเขาสามารถทำได้ถึงขนาดนี้
ตอนนี้ลู่โจวไม่จำเป็นจะต้องเคลื่อนไหวอะไร
สีหน้าของฝานลี่เทียนเปลี่ยนไปในทันที ใบหน้าที่ดูเหี่ยวเฉาของเขาเต็มไปด้วยท่าทีที่แข็งกระด้าง ไม่ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ตัวเขาก็อดที่จะชื่นชมเล้งลั่วไม่ได้
ลู่โจวในตอนนี้ได้ปล่อยตัวเจียงอาเฉียนไป
เจียงอาเฉียนได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตัวเขารู้สึกราวกับเพิ่งจะได้รับอิสรภาพมาหลังจากที่ถูกกักขังมากกว่า 100 ปี
ลู่โจวได้เดินไปที่ด้านหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “เล้งลั่ว”
เล้งลั่วได้หันกลับมา เขาได้คารวะให้กับลู่โจว
เมื่ออัศวินดำทั้งหมดเห็นแบบนั้นพวกเขาก็ต่างตกใจ
‘ใครกันที่ได้รับความเคารพจากเล้งลั่วผู้ใช้พลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบได้? ‘
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ชายชรา ลู่โจวในตอนนี้ดูอายุมากแล้ว แต่ถึงแบบนั้นร่างกายของเขากลับมีพลังไม่เหมือนกับชายชราทั่วๆ ไป
หยวนเอ๋อรีบเดินตามผู้เป็นอาจารย์ของนางไป
ลู่โจวได้มองไปที่อัศวินดำก่อนที่จะพูดออกมา “ม่อหลี่สั่งให้พวกเจ้ามาอย่างงั้นหรอ? “
อัศวินดำไม่ใช่พวกงี่เง่า แม้แต่เล้งลั่วยังคารวะให้กับชายชราคนนี้ เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะดูถูกลู่โจวได้
หนึ่งในอัศวินดำคนหนึ่งที่เอาชนะความกลัวได้พูดขึ้น “อัศวินดำในตอนนี้รับคำสั่งจากทางราชวงศ์โดยตรง พวกเรารับคำสั่งมาจากองค์จักรพรรดิ”
ลู่โจวหันไปมองหลี่จิงยี่ก่อนที่จะมองไปยังเจียงอาเฉียน เขาไม่คิดว่าม่อหลี่จะสามารถควบคุมองค์จักรพรรดิได้ถึงขนาดนี้
ถ้าหากเป็นแบบนี้ความจริงคงมีเพียงอย่างเดียว องค์จักรพรรดิคงจะไม่อยากเห็นสำนักแห่งความบริสุทธิ์ต้องล่มสลายไป นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พระราชสำนักเลือกส่งหลี่จิงยี่และอัศวินดำเพื่อมาสนับสนุนสำนักแห่งความบริสุทธิ์
ในตอนนี้เท่ากับว่าพระราชสำนักมีกองกำลังอยู่ 3 กองกำลังด้วยกัน กองกำลังแรกก็คือคนของเหวยซู่หยาน คนเหล่านี้เป็นคนที่ใช้ในการปราบกองทัพกบฏนั่นเอง แม้ว่าคนพวกนั้นจะอยู่ที่นี่ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับลู่โจว ตัวเขายังเคยช่วยชีวิตของหลี่จิงยี่เอาไว้ ส่วนกองกำลังที่สองนั่นก็คืออัศวินดำ อัศวินดำที่ไร้ฝานซุยเหวินเป็นผู้นำไม่ได้มีความแข็งแกร่งอะไรอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นเล้งลั่วได้อยู่ที่นี่แล้ว อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดจะต้องถอยแน่เมื่อเห็นเล้งลั่วเข้า ส่วนกองกำลังที่สามนั่นก็คือองครักษ์ของจักรพรรดิ โดยธรรมชาติแล้วองค์จักรพรรดิคงจะไม่เรียกใช้องครักษ์พวกนั้นแน่
และเพราะเรื่องในครั้งนี้ทำให้พิสูจน์สิ่งที่ลู่โจวคิดเอาไว้ ยู่เฉิงไห่ศิษย์ของเขากำลังวางแผนที่จะล้มล้างจักรพรรดิ ความทะเยอทะยานของเขาได้แสดงออกตามแผนที่ได้วางเอาไว้อย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกันนั้นเองเล้งลั่วก็จำได้ว่าตัวเขาเคยถูกควบคุมให้กลายมาเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินดำ ตัวเขารู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหล่าอัศวินดำเลย แต่ไม่ว่ายังไงเหล่าอัศวินดำก็ยังเป็นอัศวินดำ ยังไงซะอดีตลูกน้องของเขาก็เป็นผู้ที่ต่อสู้เคียงข้างตัวเขามาโดยตลอด
‘ข้าจะต้องตัดสัมพันธ์ในอดีตให้ได้ ฝานซุยเหวินน่ะตายไปแล้ว ในตอนนี้มีแต่เล้งลั่วเท่านั้น’ หลังจากที่คิดได้แบบนั้นแล้วเล้งลั่วก็ได้มองไปที่เหล่าอัศวินดำก่อนที่จะตะโกนขึ้น “พวกเจ้ากำลังรออะไรอยู่ล่ะ? ไสหัวไปได้แล้ว! “
อัศวินดำทั้งหมดทำตัวราวกับพวกเขาเพิ่งจะได้รับนิรโทษกรรม อัศวินดำทั้งหมดรีบควบม้าก่อนที่จะหายตัวไปในป่าอย่างรวดเร็ว
เมื่ออัศวินดำทั้งหมดได้จากไป เล้งลั่วก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ ดูเหมือนว่าการใช้พลังเมื่อครู่นี้จะทำให้ร่างกายของเขาได้รับภาระไป สำหรับตอนนี้นี่ถือเป็นขีดจำกัดของตัวเขา อาการบาดเจ็บที่เล้งลั่วได้รับมันร้ายแรงเกินไป ที่ตัวเขาสามารถแสดงละครตบตามาได้ถึงขนาดนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ยังไงซะตัวเขาก็ได้ตัดสัมพันธ์ที่เคยมีในอดีตได้
เจียงอาเฉียนได้แบกดาบที่ตัวเขามีก่อนที่จะเดินไปหาลู่โจว “ท่านผู้อาวุโส เป็นแผนของท่านแน่ๆ “
หยวนเอ๋อได้มองไปที่เจียงอาเฉียนอย่างสงสัย “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่? “
“อัศวินดำเป็นเบี้ยขององค์จักรพรรดิ และเพราะท่านไปปล่อยให้อัศวินดำให้เป็นอิสระไป ท่านจะต้องสร้างปัญหาให้กับยู่เฉิงไห่ได้แน่” เจียงอาเฉียนได้อธิบายออกมา
ลู่โจวหันไปมองเจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะฉลาดมาก…ทำไมเจ้าไม่มาดื่มชาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าสักถ้วนก่อนที่จะออกเดินทางกันล่ะ? “
“…” เจียงอาเฉียนรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า ข้าขอบคุณมากจริงๆ แต่ข้ามีธุระที่จะต้องไปทำ ท่านผู้อาวุโสไว้เราค่อยพบกันใหม่” หลังจากที่พูดจบเจียงอาเฉียนก็ได้เดินจากไป ตัวเขากลัวว่าลู่โจวจะคว้าตัวเอาไว้อีกครั้ง หลังจากที่กระโดดเข้าไปในป่าตัวเขาก็ได้พูดออกมาใหม่ “ท่านผู้อาวุโส ก่อนที่ข้าจะไปข้าขอแจ้งข่าวเอาไว้ก่อน ศิษย์คนที่เจ็ดของท่านกำลังอยู่ที่แท่นบูชาหลักของสำนักแห่งความบริสุทธิ์” เสียงของเจียงอาเฉียนได้ขาดหายไปแค่นั้น
คนอื่นๆ ที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก
เจียงอาเฉียนบอกลู่โจวเรื่องนี้ก่อนที่จะจากไป เขาจะต้องกลัวลู่โจวมากแค่ไหนกัน?
หลี่จิงยี่ไม่สามารถที่จะกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองได้อีกต่อไป นางได้หัวเราะไปสักพักกว่าที่จะรวบรวมสติได้ “งั้นข้าเองเห็นทีจะต้องขอตัวก่อน”
ลู่โจวมีความประทับใจอันดีต่อหลี่จิงยี่ อย่างน้อยที่สุดนางคนนี้ก็รู้จักกาลเทศะ ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ได้ห้ามอะไรนางเอาไว้
หลี่จิงยี่ได้พาเจ้าหน้าที่ทั้งสี่คนของนางรวมไปถึงคนอื่นๆ จากไป
ในตอนนี้แม่น้ำเรียวบางได้กลับมาเงียบสงบอีกครั้งแล้ว
ลู่โจวได้หันกลับไปที่รถม้าก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าศิษย์ไม่รักดี”
“ท่านอาจารย์พวกเราจะไปที่ไหนกัน? “
“แท่นบูชาหลักสำนักแห่งความบริสุทธิ์”