ยู่เฉิงไห่หันกลับไปที่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก่อนที่จะพูดขึ้น “พวกเจ้าทุกคนล้วนมีส่วนช่วยให้สำนักอเวจีของพวกเราแข็งแกร่งจนมาถึงตอนนี้…”
“พวกเราไม่กล้าเรียกร้องความดีความชอบครับ” ฮั๊วจงหยางได้ตอบกลับไปอย่างเร่งรีบ
“ตั้งแต่ที่ข้าออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามาข้าก็ได้ก่อตั้งสำนักอเวจีแห่งนี้ขึ้น นี่ถือเป็นแผนการอันยิ่งใหญ่สำหรับข้า” ยู่เฉิงไห่หยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาอย่างช้าๆ “พวกเจ้าทุกคนล้วนแต่ได้รับความช่วยเหลืออันยอดเยี่ยมจากคนที่ข้าเชื่อใจมากที่สุดในใต้หล้านี้”
พวกเขาทั้งสามไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหายใจออกมาดังๆ
ยู่เฉิงไห่ได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินไปตรงหน้าของฮั๊วจงหยาง
ฮั๊วจงหยางได้คุกเข่าลงก่อนที่จะโคกศีรษะลงบนพื้น มือทั้งสองข้างของเขาทำความเคารพยู่เฉิงไห่อย่างไม่หยุดพัก “ข้าเต็มใจที่จะได้รับการลงโทษ ข้าเป็นคนสั่งให้ทุกคนถอยกลับมาเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนอื่นๆ พวกเขาก็แค่เชื่อฟังคำสั่งข้าเท่านั้น! “
ทันทีที่ฮั๊วจงหยางพูดจบ หยางเยียนเองก็คุกเข่าลงมาเช่นกัน “พี่จงหยางก็แค่เป็นห่วงพวกเราเท่านั้น พวกเราเองที่เป็นผู้สนับสนุนความคิดนั้น ได้โปรดลงโทษพวกเราด้วยเถอะ! “
ดีชิงเองก็คุกเข่าลงมา “ข้าไม่มีอะไรจะพูดเสริม ข้าเต็มใจทำตามการตัดสินใจของพี่จงหยาง ได้โปรดลงโทษข้าด้วย! “
ท้ายที่สุดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็เลือกที่จะล่าถอยเมื่อจะต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า “ถ้าหากพวกเราซื้อเวลาให้ยู่เฉิงไห่ได้มากกว่านี้ บางทีสำนักแห่งความบริสุทธิ์คงจะถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว” ยู่เฉิงไห่ได้ตั้งเป้าอันยิ่งใหญ่เอาไว้ ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นของพวกอ่อนหัด สิ่งที่ยู่เฉิงไห่เกลียดมากที่สุดก็คือการที่ทิ้งกันในยามวิกฤตเช่นนี้
ไม่ว่ายังไงการเคลื่อนไหวของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างเป็นการเคลื่อนไหวอันแสนประหลาด ยู่เฉิงไห่ได้วางมือลงบนไหล่ของฮั๊วจงหยางก่อนที่จะยกตัวของเขาขึ้นมา “พวกเจ้าเป็นคนที่ข้าเชื่อใจมากที่สุด ข้าจะไม่โทษพวกเจ้าหรอก”
“ท่านเจ้าสำนัก…”
“เจ้าน่ะทำเรื่องนี้ได้ดีแล้ว”
ฮั๊วจงหยางรู้สึกงุนงง คนอื่นๆ เองก็ถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน
‘ท่านเจ้าสำนักจะไม่ลงโทษพวกเราแต่เรียกพวกเรามาที่นี่อย่างงั้นหรอ? ‘
‘ทำไมจู่ๆ ท่านเจ้าสำนักถึงได้ผ่อนปรนให้กับพวกเราเช่นนี้กัน? ‘
ผู้พิทักษ์ทั้งสามรู้สึกงุนงง พวกเขาเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราไม่คู่ควรกับความใจกว้างของท่านเลย! ” ฮั๊วจงหยางตัวสั่นในขณะที่คุกเข่าอยู่
“ยืนขึ้นมาซะเถอะ” ยู่เฉิงไห่ไม่ได้ดังตัวของฮั๊วจงหยางออกมาอีกต่อไป “สิ่งที่ข้าพูดล้วนแต่เป็นความจริง พวกเจ้าคือคนที่ข้าเชื่อใจได้มากที่สุด ข้าจะไม่ลงโทษพวกเจ้า”
ในตอนนั้นเองยู่เฉิงไห่ก็ได้นึกถึงพลังผนึกมนตราขึ้นมา ถ้าหากศิษย์น้องเจ็ดของเขาไม่ได้รับหน้าที่เป็นนกต่อให้ ตัวเขาก็คงจะไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ อันที่จริงแล้วยู่เฉิงไห่รู้สึกเกรงกลัวต่อผู้เป็นอาจารย์เสมอๆ แต่เพราะชื่อเสียงและสถานะที่เขามีทำให้ตัวเขาไม่อาจที่จะแสดงความกลัวแบบนั้นออกมาได้
ฮั๊วจงหยางและคนอื่นๆ รู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดของยู่เฉิงไห่ พวกเขาได้แต่ลุกขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก”
ยู่เฉิงไห่พยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นตัวเขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย “ไม่ว่าจะยังไงถ้าหากพวกเจ้าเจออาจารย์ของข้าอีกละก็…”
ก่อนที่ยู่เฉิงไห่จะได้พูดจบ ฮั๊วจงหยางก็ชิงพูดออกมาอย่างรวดเร็วซะก่อน “ไม่ต้องเป็นห่วงไปท่านเจ้าสำนัก ถ้าหากพวกเราเจอท่านปรมาจารย์อีก พวกเราจะใช้ชีวิตที่มีเพื่อหยุดเขาให้ได้! “
“ไม่…” ยู่เฉิงไห่ส่ายหัวปฏิเสธ “พวกเจ้าจะต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้…”
ทั้งสามที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็สบตากัน
‘ท่านเจ้าสำนักกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?’
โดยธรรมชาติแล้วพวกเขารู้ดีว่าไม่ใช่คู่มือของศาลาปีศาจลอยฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเคยได้รับคำสั่งให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเว้นแต่ว่าไม่มีทางเลือก กฎข้อนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยนับตั้งแต่สำนักอเวจีถูกก่อตั้งขึ้น
“พวกเจ้าไปได้แล้ว” ยู่เฉิงไห่ได้พูดขึ้น
“ครับ”
ฮั๊วจงหยางกำลังจะจากไป แต่ถึงแบบนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ท่านเจ้าสำนัก มันจะดีแล้วหรอที่ส่งไปยู่ชิงไปคุ้มครองศิษย์น้องคนที่เจ็ดของท่านคนเดียวแบบนี้? “
“ข้ารู้ดีว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่”
เมื่อได้ยินแบบนั้นฮั๊วจงหยางก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกต่อไป “ข้าน้อยขอตัวก่อน”
ไปยู่ชิงแห่งโถงพยัคฆ์ขาว หนึ่งในสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่รู้ความจริงที่ว่าสีวู่หยานั้นถูกผนึกพลังวรยุทธไป เพราะแบบนั้นยู่เฉิงไห่จึงได้สั่งให้ไปยู่ชิงคุ้มกันสีวู่หยาเพื่อกลับไปที่หุบเขามังกรหมอบ
สองชั่วโมงต่อมา
รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีใกล้ที่จะถึงที่หมายแล้ว
สีวู่หยาในตอนนี้กำลังนั่งอย่างสง่างามอยู่บนรถม้าลอยฟ้าร ดวงตาของเขาปิดลงราวกับชายหนุ่มรูปงามที่กำลังพักผ่อน บางครั้งสีวู่หยาพยายามที่จะโคจรพลังลมปราณขึ้นมาเพื่อคลายพลังผนึก น่าเสียดาย ร่างกายของเขาในตอนนี้เป็นเหมือนกับภาชนะที่ว่างเปล่า ตัวเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ปัจจุบันสีวู่หยาไม่ได้ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป สิ่งเดียวที่ตัวเขามีก็คือความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายจากการฝึกยุทธ เมื่อผู้ฝึกยุทธไม่สามารถโคจรพลังได้คนคนนั้นก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ สีวู่หยาในตอนนี้เป็นคนไร้ประโยชน์ ตัวเขาเปิดตาขึ้นมาก่อนที่จะพูดขึ้น “หยุดได้แล้ว”
ไปยู่ชิงเป็นผู้ที่ควบคุมพังงารถม้าลอยฟ้าอยู่นั่นเอง ในตอนนี้ทั้งสองคนกำลังลอยอยู่บนท่ามกลางอากาศ
ไปยู่ชิงได้ถามออกมาด้วยความสับสน “ท่านสีวู่หยา พวกเราใกล้ที่จะถึงหุบเขามังกรหมอบแล้วแท้ๆ …ทำไมพวกเราถึงต้องหยุดด้วย? “
“ท่านอาจารย์มาถึงสำนักแห่งความบริสุทธิ์ทั้งๆ ที่เดินทางมาจากแม่น้ำเรียวบางทางตะวันออกโดยใช้เวลาสั้นๆ …หมายความว่าจะต้องมีใครสักคนที่ทำให้ข้อมูลเรื่องนี้รั่วไหลไปได้” สีวู่หยาได้พูดขึ้น
ไปยู่ชิงที่ได้ยินแบบนั้นตกตะลึง ตัวเขาได้พูดต่อ “ท่านกำลังสงสัยข้าอย่างงั้นหรอท่านหมิงซี่หยิน? “
ท้ายที่สุดแล้วคนที่ได้รับหน้าที่จัดการกับม่อฉีเป็นใครไปไม่ได้นอกซะจากไปยู่ชิง
สีวู่หยาได้ส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว…” ตัวเขาไม่อาจจะพูดได้ว่ามีแหล่งข่าวอยู่ท่ามกลางคนของเหวยซู่หยานเมื่อวันก่อน
“เปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าไปทางใต้ซะ…หุบเขามังกรหมอบเป็นสถานที่ที่ใช้รวบรวมข่าวสารชั่วคราวก็เท่านั้น มันเป็นที่ที่มีไว้เพื่อหลอกคนอื่นๆ ตรงไปทางใต้ซะ…ตรงไปทางใต้ 10 ไมล์ ที่นั่นมียอดเขาราชพฤกษ์ ถ้าเป็นที่นั่นจะต้องปลอดภัยแน่นอน” สีวู่หยาได้ชี้ไปยังทิศทางตรงหน้า
ไปยู่ชิงพูดขึ้น “ว่ากันว่าท่านหมิงซี่หยินมักจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นไหนๆ ดูเหมือนว่าข่าวลือพวกนี้จะเป็นความจริงสินะ ข้าประทับใจจริงๆ ” หลังจากที่พูดจบตัวเขาก็ควบคุมรถม้าให้บินไปทางทิศใต้
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลง
ไปยู่ชิงได้กระโดดลงจากรถม้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านหมิงซี่หยิน พวกเรามาถึงยอดเขาราชพฤกษ์แล้ว”
ทั้งสองคนได้ลงมาจากรถม้าก่อนที่จะเดินไปยังห้องแห่งหนึ่ง
“ขอบคุณเจ้าจริงๆ ที่มาส่งข้าถึงที่ ช่วยฝากคำขอบคุณข้าไปให้ศิษย์พี่ใหญ่ด้วยเมื่อเจ้ากลับไปถึง”
ไปยู่ชิงได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อท่านเจ้าสำนักได้สั่งการข้าแล้ว เพราะแบบนั้นท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ในเมื่อพลังวรยุทธของท่านถูกปิดผนึกเอาไว้ ข้าจะเป็นผู้คุ้มกันให้กับท่านจนกว่าจะได้รับพลังวรยุทธกลับคืนมาเอง”
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง ตัวเขารีบสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “งั้นเชิญนั่งก่อน”
ไปยู่ชิงคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าท่านชอบอยู่ในที่ที่เงียบสงบ…ข้าไม่อยากที่จะสร้างความลำบากใจให้กับท่านอีกต่อไป ให้เหล่าสาวกของท่านจัดที่พักให้กับข้าเถอะ” ตัวเขาชี้ไปยังสาวกของหุบเขาแห่งความมืดที่อยู่นอกห้อง ไปยู่ชิงเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดี
สีวู่หยาไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ตัวเขาได้ปล่อยให้ไปยู่ชิงทำตามอำเภอใจ ในตอนที่ไปยู่ชิงจากไป ในตอนนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มจางๆ
ในตอนนั้นเองผู้ดูแลหุบเขาราชพฤกษ์ก็ได้เข้ามาทักทาย “ขออภัยด้วยที่ข้ามาทักทายท่านช้าไป ท่านเจ้าสำนักได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
“ไม่เป็นไร ไปยู่ชิงเขาเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดผู้พิทักษ์แห่งสำนักอเวจี ช่วยดูแลเขาแทนข้าด้วยล่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วล่ะก็เจ้าก็แยกย้ายไปทำงานซะเถอะ” สีวู่หยาเหนื่อยล้าจากสิ่งที่ทำ ตัวเขาต้องการที่จะคลายพลังผนึกมนตราที่มีอีกครั้ง
“ข้ามีเรื่องอื่นที่จะต้องรายงาน”
“อะไรกัน? “
“หลายวันก่อนได้มีแขกผู้มาเยือน เขาคนนั้นแซ่หลี่ เขามาที่นี่ก็เพราะต้องการอะไรบางอย่างจากท่านเจ้าสำนัก”
สีวู่หยาขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “แซ่หลี่อย่างงั้นหรอ? ” สีวู่หยาเป็นคนที่ไม่ชอบสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันมากกว่าสิ่งอื่นใด เขาไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
ผู้ดูแลหุบเขาที่ฟังแบบนั้นได้แต่ตกใจก่อนที่จะพูดต่อไป “เขาคนนั้นรู้ทั้งตัวตนและรหัสผ่านของท่าน…หรือว่าเขาจะเป็นพวกแอบอ้างกัน? “
“เจ้านั่นอยู่ไหน? “
“อยู่ที่ห้องรับแขกของหุบเขาราชพฤกษ์”
ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็เริ่มรู้สึกไม่ดี ตัวเขารู้สึกได้ถึงลางร้าย มันเป็นความรู้สึกที่ประจวบเหมาะกันมากเกินไป
ในตอนนั้นเองเสียงอันคุ้นเคยก็ได้ดังขึ้น “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ศิษย์น้องเจ็ดสีวู่หยา”