หยวนเอ๋อไม่เคยเห็นพัดขนนกยูงมาก่อน นางเคยได้ยินเรื่องของอาวุธชิ้นนี้มาจากผู้เป็นศิษย์พี่นางเท่านั้น เมื่อหยวนเอ๋อได้เห็นนางก็ได้แต่ตื่นตกใจ หยวนเอ๋อได้พึมพำออกมา “สวยงามอะไรแบบนี้…” หลังจากนั้นนางก็หันมาดูอาวุธที่ตัวเองครอบครองอยู่ “แม้ว่ามันจะดูสวยงามแต่มันก็ดูล้าสมัย สายสะพายนิพพานของข้าก็ยังดีกว่าอยู่ดี”
หมิงซี่หยิน “…”
นับตั้งแต่ที่หยวนเอ๋อได้สายสะพายนิพพานมาดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ทำให้หยวนเอ๋อรู้สึกประทับใจได้อีกต่อไป
‘ดูนางมีความสุขกับผ้าสีแดงผืนนั้นซะจริงนะ’
ลู่โจวมองไปที่พัดขนนกยูง “แล้วเจ้าพบเจ้าเจ็ดได้ยังไงกัน? “
หมิงซี่หยินได้ตอบกลับมาอย่างภาคภูมิใจ “เรื่องมันยาวท่านอาจารย์…”
“งั้นก็ลืมมันไปซะเถอะ” ลู่โจวไม่ได้คิดจะฟังต่อ ตัวเขาได้หยิบพัดขนนกยูงขึ้นมาดู
หมิงซี่หยินที่ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ดูเหมือนโอกาสที่ตัวเขาจะได้คุยโม้จะหมดลงไปแล้ว ในท้ายที่สุดหมิงซี่หยินก็รายงานเรื่องสุดท้ายออกมา “ท่านอาจารย์ ในตอนนี้พลังของศิษย์น้องเจ็ดถูกผนึกเอาไว้ เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่มีที่ให้ไป ข้าเจอคนทรยศอย่างยู่ฉางตงและหนึ่งในสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่จากสำนักอาเวจีไปยู่ชิงอยู่กับศิษย์น้องเจ็ดด้วย”
ลู่โจวได้พูดสาปแช่งอยู่ภายใน ‘ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะพลังวรยุทธของเจ้าเจ็ดถูกผนึกอย่างงั้นสินะ? ‘ แม้จะคิดแบบนั้นแต่ตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “ข้าคือคนที่ผนึกพลังวรยุทธของเจ้าเจ็ดเอง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเอาชนะเจ้านั่นได้ ไปยู่ชิงเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพลังลึกซึ้งมากกว่าของเจ้ามาก ในเมื่อไปยู่ชิงอยู่ที่นั่นแล้วเจ้าเอาอาวุธชิ้นนี้กลับมาได้ยังไงกัน? “
หมิงซี่หยินได้โอกาสนี้เพื่อคุยโม้โอ้อวด “ไปยู่ชิงเป็นหนึ่งในสาวกของสำนักอเวจี เมื่อข้าเอ่ยชื่อท่าน ไปยู่ชิงก็กลัวจนหมดหนทาง ที่นั่นยังมียู่ฉางตงยืนอยู่ด้วย เพราะแบบนั้นข้าก็เลยได้แต่อาวุธของศิษย์น้องเจ็ดมา…”
“ยู่ฉางตงไม่ได้พยายามเพื่อหยุดเจ้าอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
“เขาไม่ได้ขัดขวางข้า…ยู่ฉางตงรู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด เขาไม่กล้าที่จะแย้งข้าแน่” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อหยวนเอ๋อนึกถึงในครั้งที่เจอกับศิษย์พี่รองอย่างยู่ฉางตงที่เมืองอันยาง นางก็นึกสงสัยอะไรบางอย่าง ‘ศิษย์พี่รองน่าจะเป็นคนที่รับฟังเหตุผลนิ? ‘
“โชคดีที่ศิษย์ฉลาดพอที่จะยึดพัดขนนกยูงของศิษย์น้องเจ็ดเอาไว้ได้ก่อนที่ข้าจะจากไป…ด้วยวิธีนี้ศิษย์น้องเจ็ดก็จะไม่สามารถก่อกรรมได้อีกต่อไป”
ลู่โจวที่ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ “ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”
หมิงซี่หยินได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ขอบคุณสำหรับคำชมท่านอาจารย์”
“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็กลับไปพักผ่อนซะเถอะ”
“ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องรายงาน”
“แล้วมันคืออะไรกัน? “
“ในตอนที่ศิษย์กลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ศิษย์ได้ผ่านโรงน้ำชาของเมืองถังซีมา ศิษย์ได้ยินมาว่าอดีตเจ้าสำนักของสำนักดาบสวรรค์ลั่วซิงกงวางแผนที่จะรวมไพร่พลเพื่อที่จะโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้า”
ในตอนที่หมิงซี่หยินกลับมาตัวเขาก็ได้เฝ้ามองม่านพลังอย่างละเอียด อันที่จริงม่านพลังนี้ดูอ่อนกำลังกว่าม่านพลังจากในอดีตมาก ในระหว่างที่พูดผู้อาวุโสก็ได้บินออกไปที่ด้านนอกภูเขาทองก็เพื่อที่จะไปตรวจสอบข่าวลือ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สาวกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าหรือแม้แต่คนนอกเองก็ยังรู้เรื่องที่ลู่โจวได้ดูดซับพลังจากม่านพลังไปเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องที่ห้องลับของศาลาปีศาจลอยฟ้าถูกทำลายอีกด้วย
ลู่โจวไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับสิ่งที่ได้ฟัง “ลั่วซิงกงเป็นชายผู้แตกสลายไปแล้ว…เจ้านั่นไม่ได้มีความสำคัญมากพอที่จะพูดถึง”
หมิงซี่หยินรีบโค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์อาสาที่จะลงจากภูเขาทองไปเพื่อเด็ดหัวของลั่วซิงกงเอง! “
ในตอนนั้นเองโจวจี้เฟิงก็ได้รีบเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ ทันทีที่เขาเข้ามาในห้องโถงใหญ่ตัวเขาก็รีบทักทายลู่โจว “ท่านปรมาจารย์, ท่านหมิงซี่หยิน, ท่านหยวนเอ๋อ…”
“เกิดอะไรขึ้นกัน? “
“ข้าได้ยินมาว่าท่านหมิงซี่หยินกลับมาแล้วข้าก็เลยมาหาเขา” เห็นได้ชัดว่าโจวจี้เฟิงมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูดด้วย
เมื่อหมิงซี่หยินเห็นโจวจี้เฟิงอยู่ไม่สุข เขาก็ได้กลอกตาหนีก่อนที่จะพูดออกมา “หยุดลังเลได้แล้ว มีอะไรก็พูดออกมาซะ เจ้าน่ะควรจะเลิกใช้วิธีของพวกสำนักฝ่ายธรรมะได้แล้ว วิธีหน้าซื่อใจคดของพวกสำนักฝ่ายธรรมะนั่นน่ะ”
ใบหน้าของโจวจี้เฟิงเปลี่ยนไปเป็นสีแดงหลังจากที่ได้ฟังคำเย้ยหยันของหมิงซี่หยิน “ท่านปรมาจารย์…ให้ข้าไปที่สำนักดาบสวรรค์ด้วยเถอะ! “
“ทำไมเจ้าต้องการที่จะไปที่นั่นด้วย? เจ้าต้องการที่จะไปที่นั่นด้วยพลังวรยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นน่ะหรอ? ” หมิงซี่หยินได้พูดโจมตีโจวจี้เฟิงอีกครั้ง
โจวจี้เฟิงได้แต่เกาหัวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเชื่องช้า “ข้า…ข้าสามารถชักจูงพวกเขาได้”
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าเป็นสาวกของสำนักดาบสวรรค์ การที่เจ้าจะกลับไปแบบนั้นจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง แม้ว่าลั่วซิงกงจะยังเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษอยู่ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่ใช่ศัตรูที่น่ากังวลอะไรสำหรับข้าอยู่ดี”
“เจ้าน่ะไม่รู้พลังของท่านอาจารย์ซะแล้ว! ” หมิงซี่หยินพูดเสริม
โจวจี้เฟิงได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “การที่ลั่วซิงกงเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษไม่ใช่เรื่องที่สูญเปล่าเลย ในตอนที่ข้าอยู่ที่สำนักดาบสวรรค์ข้าเคยได้ยินข่าวลือที่ว่าลั่วซิงคงได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่จะทำให้พลังวรยุทธของตัวเองเพิ่มพูนขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ ได้ พวกเราควรจะระวังลั่วซิงกงเอาไว้จะดีกว่า! “
“เคล็ดวิชาที่เพิ่มพลังวรยุทธในระยะเวลาสั้นๆ อย่างงั้นหรอ? เจ้านั่นไม่กลัวว่าตัวเองจะสูญเสียพลังวรยุทธที่มีไปอย่างงั้นหรอ? การจะทำแบบนั้นได้มันจะต้องมีผลเสียตามมาแน่” หมิงซี่หยินได้ถามออกมาอย่างงุนงง
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้…” โจวจี้เฟิงพูดขึ้น
เส้นทางแห่งการฝึกยุทธมักจะมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎนั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม
เล้งลั่วเองเลือกที่จะระเบิดร่างกายของตัวเองเพื่อช่วยรถม้าล่องเมฆาให้รอดจากพลังของสิบสุดยอดคนทรงมา ถ้าหากลู่โจวไม่ได้รักษาให้ เล้งลั่วก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกันถ้าหากตาแก่อย่างลั่วซิงกงฝืนใช้เคล็ดวิชาเพื่อเพิ่มพลังของตัวเองในชั่วเวลาหนึ่งแบบนั้น แล้วมันต่างอะไรกับวีรกรรมของเล้งลั่วกัน? ใครจะไปจ่ายค่าตอบแทนที่มากมายขนาดนั้นได้?
ทุกคนมองไปที่ลู่โจว
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “สำนักดาบสวรรค์คิดว่าจะสู้กับข้าได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น “ถูกต้องแล้ว! ในครั้งที่สิบสุดยอดฝีมือโจมตีท่านอาจารย์ในตอนนั้น พวกเขาก็ยังทำอะไรไม่ได้ ตอนนั้นผู้เป็นลูกชายก็ได้ตายจากไปจากการโจมตี ในตอนนี้ก็ถึงคราวผู้เป็นพ่อออกโรง…ช่างน่าขันอะไรแบบนี้! “
โจวจี้เฟิงได้พูดต่อไป “ท่านอาจจะประเมินขอบเขตพลังของเขาผิดไปก็ได้ท่านปรมาจารย์”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นได้ก้าวออกมาข้างหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ลืมเรื่องขอบเขตนั้นไปซะเถอะ…”
“ทะ…ท่านหยวนเอ๋อ….ท่านกำลังหมายความว่าอะไร? ” เมื่อโจวจี้เฟิงฟังแบบนั้น ตัวเขาก็นึกถึงพลังของสายสะพายที่หยวนเอ๋อมีได้
“ข้าพยายามฝึกฝนสายสะพายนิพพานมาโดยตลอด…ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้ารับประกันได้เลยว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บจากการฝึกกับข้าแน่” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
โจวจี้เฟิงที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับผงะ
หมิงซี่หยินเองก็พูดไม่ออก
‘นั่นเป็นเรื่องจริงอย่างงั้นหรอหยวนเอ๋อ? ‘
‘ดูเหมือนจะมีอะไรไม่ถูกต้องซะแล้ว’
ศิษย์สาวกทุกคนไม่เคยเห็นหยวนเอ๋อขอขมาใครนอกซะจากลู่โจว
ก่อนที่หมิงซี่หยินจะคิดทบทวนเรื่องนี้เสร็จ หยวนเอ๋อก็ได้ออกจากประตูไปก่อนแล้ว
โจวจี้เฟิงได้แต่คารวะก่อนที่จะตามนางไป
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้พยักหน้าเล็กน้อย ‘ดูเหมือนหยวนเอ๋อจะโตขึ้นมาแล้วสินะ’
หมิงซี่หยินได้แต่ขยี้ตา ตัวเขารู้สึกราวกับกำลังฝันไปจนได้แต่บีบตัวเองอย่างรุนแรงขึ้นมา ‘โอ๊ย! เจ็บจริง! ข้า…ข้าไม่ได้ฝันไปสินะ นี่มันเป็นเรื่องจริง! ‘
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะมองท่าทีที่แปลกประหลาดของหมิงซี่หยิน
“ท่านอาจารย์…ข้าสบายดี…ข้าก็แค่คันเนื้อคันตัวนิดหน่อย” หมิงซี่หยินพูดติดๆ ขัดๆ
ในตอนนั้นเองต้วนมู่เฉิงก็ได้เดินเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกับหอกราชันย์ เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นราวกับขุนเขา ตัวเขาเดินไปหาหมิงซี่หยินก่อนที่จะตบไหล่ของเขาอย่างรุนแรง “ท่านอาจารย์ครับ”
ใบหน้าแห่งความเจ็บปวดได้ปรากฏขึ้นบนสีหน้าของหมิงซี่หยิน ‘แล้วทำไมต้องตบข้าเพื่อทักทายท่านอาจารย์ด้วยล่ะ? ‘
ลู่โจวถามขึ้น “เรื่องการซ่อมแซมห้องลับไปถึงไหนกันแล้ว? “
นับตั้งแต่ที่ห้องลับถูกทำลายไป ลู่โจวก็ไม่มีสถานที่ไหนที่จะฝึกฝนตัวเองได้อย่างสงบสุขได้อีกต่อไป แม้ว่าสภาพแวดล้อมของศาลาทางทิศตะวันออกจะพอรับไหว แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังขาดความสงบสุขเหมือนกับห้องลับอยู่ดี
“พวกเราจะต้องใช้เวลาอีกกว่า 10 วัน ท่านอาจารย์ในระหว่างที่ข้ากำลังจัดข้าวของข้าได้พบกับกล่องใบนี้ ได้โปรดตรวจสอบมันด้วย” ต้วนมู่เฉิงพูดขึ้น
“กล่องอย่างงั้นหรอ? “
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสองคนก็ได้ถือกล่องใบนั้นเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่
กล่องใบนั้นมีสภาพเก่าแก่ แต่อย่างไรก็ตามมันก็เพิ่งจะผ่านการทำความสะอาดมา วัสดุที่ใช้สร้างกล่องเป็นของที่มีเอกลักษณ์ มันคล้ายกับทั้งหนังและไม้ในเวลาเดียวกัน ที่กล่องมีสีน้ำตาล
เมื่อผู้ฝึกยุทธหญิงวางกล่องลงบนพื้น หมิงซี่หยินก็ได้เดินไปหาพวกนางอย่างอยากรู้อยากเห็น “ในนี้มันคืออะไรกัน? “
“ข้าเองก็ไม่รู้” ต้วนมู่เฉิงตอบกลับไป
“เปิดมันออก เดี๋ยวพวกเราก็ได้รู้เอง! “