จ้าวยู่รู้สึกโกรธมาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ที่กลับมายังศาลาปีศาจลอยฟ้า สีหน้าอันโกรธเกรี้ยวของนางได้เข้าไปสู่ห้องโถงใหญ่
เมื่อนางเข้าไปในห้องโถงใหญ่ได้ก็เห็นหมิงซี่หยินยืนรออยู่ก่อนแล้ว “ศิษย์น้องห้า เกิดอะไรขึ้นกัน? “
“ศิษย์พี่ลองดูสิ่งนี้ดู” จ้าวยู่ได้ส่งจดหมายฉบับนั้นให้กับหมิงซี่หยิน
หมิงซี่หยินได้อ่านจดหมายอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไป ทันทีที่อ่านจบหมิงซี่หยินก็ได้สบถออกมา “ตาแก่ลั่วซิงกงนั่น! กล้าดียังไงกันมาเรียกพวกเราแบบนี้!? ลั่วซิงกงรนหาที่ซะแล้ว! “
“เอ๊ะ นี่มันอะไรกัน? ” ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างรูปวงรีที่อยู่ด้านล่างตัวอักษร ด้านในของวงรีเต็มไปด้วยเส้นผิดปกติมากมายหลายเส้น มันแปลกเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ หลังจากที่จ้องอยู่นานตัวเขาก็ไม่อาจที่จะเข้าใจได้อยู่ดี
จ้าวยู่ได้พูดต่อไป “ศิษย์พี่ พวกเราจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านอาจารย์”
“ได้”
ทั้งสองเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ด้วยกัน
บังเอิญว่าหยวนเอ๋อเองก็อยู่ในห้องโถงใหญ่เช่นกัน นางกำลังฝึกฝนควบคุมการใช้สายสะพายนิพพานให้ดีขึ้นกว่าเดิมอยู่
“ศิษย์พี่ทั้งสองดูนี่สิ! ดูสายสะพายนิพพานข้า มันเปี่ยมไปด้วยพลังไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว! ” หยวนเอ๋อได้คุยโวออกมาอย่างตื่นเต้น
“ถูกแล้วศิษย์น้อง” หมิงซี่หยินไม่มีเวลาคุยกับผู้เป็นศิษย์น้องคนนี้มากพอ
หมิงซี่หยินและจ้าวยู่สังเกตเห็นลู่โจวที่กำลังถือพู่กันอยู่ ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพยายามวาดอะไรบางอย่างอยู่
“คารวะท่านอาจารย์! ” ศิษย์ทั้งสองได้คุกเข่าทำความเคารพลู่โจวอย่างพร้อมเพรียงกัน
หมิงซี่หยินจ้องไปที่กระดาษที่อยู่บนโต๊ะ ตัวเขาเห็นภาพวาดกล่องที่เจอในห้องลับเข้า มันเป็นภาพวาดจำลองของกล่องใบนั้น มันเป็นภาพวาดที่ดูเหมือนกับกล่องอย่างสมบูรณ์แบบ “ท่านอาจารย์ช่างมีฝีมือที่น่าทึ่งอะไรแบบนี้! ท่านได้เปิดโลกให้กับข้าจริงๆ ” แม้ว่าจะมีคำพูดแปลกๆ แต่หมิงซี่หยินก็ไม่เคยที่จะอ่านลายมือของผู้เป็นอาจารย์ออกเลย ใครจะไปรู้กันว่าอาจารย์คนนี้จะมีฝีมือชั้นยอดในการวาดรูปแทน
หากไม่ได้ใช้การฝึกฝนและความทุ่มเทให้มากพอเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถวาดภาพได้เหมือนจริงขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้วาดภาพนี้จะมีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำเหนือจินตนาการได้ ลู่โจวที่ได้วาดภาพเสร็จแล้วได้วางพู่กันลงบนโต๊ะ ตัวเขามองไปที่หมิงซี่หยินและจ้าวยู่ก่อนที่จะถามขึ้น “พวกเจ้ามีอะไรกัน? “
“ท่านอาจารย์โปรดดูนี่ด้วย” หมิงซี่หยินได้ส่งจดหมายฉบับที่ 13 จากสำนักดาบสวรรค์ให้กับมือลู่โจว
ลู่โจวได้คลี่จดหมายก่อนที่จะอ่านอย่างรวดเร็ว ตัวเขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แม้ว่าในจดหมายจะมีเนื้อหาที่ไม่พึงปรารถนามากขนาดไหนแต่ลู่โจวก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร
หมิงซี่หยินได้พูดต่อ “ท่านอาจารย์ สำนักดาบสวรรค์กำลังแพร่กระจายเรื่องนี้ไปทุกหนทาง พวกมันกล้าดูถูกศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงเพียงนี้ ศิษย์หมดความอดทนอีกต่อไป ให้อนุญาตศิษย์ลงจากภูเขาด้วยเถอะ ศิษย์จะสังหารสมาชิกสำนักดาบสวรรค์ทุกคนและเอาเลือดพวกเขามาล้างภูเขาเอง”
จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นได้พูดต่อ “ศิษย์เห็นด้วย” โชคดีที่ต้วนมู่เฉิงไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าหากเขาเห็นจดหมายยั่วยุฉบับนี้แน่นอนว่าเขาจะต้องลงจากภูเขาไปโดยที่ไม่บอกให้ใครได้รู้แน่
“ท่านอาจารย์…ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าพวกนั้นจะเตรียมตัวมายังไง ยังไงซะพวกเราก็ให้อภัยการยั่วยุของเจ้าพวกนั้นไม่ได้” หมิงซี่หยินยังคงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ส่งจดหมายให้กับเจียงอาเฉียนซะ ให้เขาไปสืบเรื่องของลั่วซิงกงมา นอกจากนี้ช่วยส่งภาพวาดภาพนี้ให้กับเขาได้ตรวจสอบด้วย” ลู่โจวชี้ไปยังภาพวาดที่เสร็จสมบูรณ์ มันเป็นภาพวาดกล่องนั่นเอง
“ศิษย์จะรีบจัดการในทันที” จ้าวยู่หยิบภาพวาดขึ้นมาก่อนที่จะจากไป
หมิงซี่หยินมองไปที่วงรีที่อยู่ด้านล่างก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ ท่านเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางมากที่สุดแล้ว สิ่งนี้คืออะไรกันอย่างงั้นหรอครับ? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกมาอย่างสงสัย
ลู่โจวได้หมุนตัวอักษรไปรอบๆ เพื่อให้ดูวงรีได้ชัดขึ้น
หลังจากที่มองดูอีกรอบ ดวงตาของหมิงซี่หยินก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “นี่มันรูปเต่าหัวหดอยู่ในกระดอง”
หมิงซี่หยินพูดถูกแล้ว มันเป็นรูปเต่าที่หัวหดอยู่ในกระดองนั่นเอง มันเป็นคำสบประมาทศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ไม่กล้าตอบโต้อะไร
“ทะ…ท่านอาจารย์จะปล่อยเรื่องนี้จริงๆ อย่างงั้นหรอครับ? ” หมิงซี่หยินรู้สึกโกรธมากจนพูดไม่เป็นคำ ถ้าหากเป็นอาจารย์ของเขาในอดีต อาจารย์ของเขาคงจะพาทุกคนไปสังหารสำนักดาบสวรรค์โดยที่ไม่ยั้งคิดแล้ว
“เจ้าคิดว่าพวกเราควรทำยังไงกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
หมิงซี่หยินตกใจที่ได้ยินคำถามแบบนี้ ‘ท่านอาจารย์ตั้งใจที่จะเล่นอะไรกันแน่? ‘ หลังจากที่พึมพำกับตัวเองตัวเขาก็ได้ตอบมา “เนื่องจากพวกเขาลบหลู่พวกเราก่อน ลั่วซิงกงสมควรที่จะตายแล้ว”
“ช่างมันเถอะ” ลู่โจวได้ตอบกลับมาอย่างเยือกเย็น
หมิงซี่หยินถึงกับผงะ ความตื่นเต้นได้พลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขา เลือดของเขาเริ่มเดือดพล่าน ในตอนนี้ตัวเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น หมิงซี่หยินไม่สามารถที่จะรอลงจากภูเขาได้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเร็วๆ นี้ตัวเขายังรู้สึกแย่ที่ไม่ได้รับชัยชนะมา ในตอนนี้หมิงซี่หยินกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง
ไม่นานหลังจากนั้นจ้าวยู่ก็ได้กลับมา ในมือของนางมีจดหมายฉบับหนึ่ง “ศิษย์ได้ส่งจดหมายหาเจียนอาเฉียนแล้ว…ศิษย์น้องเจ็ดได้ส่งจดหมายฉบับนี้มา…” จ้าวยู่ได้พูดออกมาอย่างไม่มั่นใจ สีวู่หยาเคยทำให้ผู้เป็นอาจารย์โกรธมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ไม่มีใครรู้ว่าลู่โจวกำลังไม่พอใจอะไรไหม
“อ่านมันซะ” ลู่โจวได้พูดออกมา
จ้าวยู่เปิดจดหมายของสีวู่หยาขึ้น “ท่านอาจารย์ที่รัก ข้ามีเรื่องที่อยากที่จะขอท่าน…”
ในระหว่างที่อ่านอยู่หมิงซี่หยินก็อดที่จะสบถออกมาด้วยความโกรธแค้นไม่ได้ “เจ้าบ้านั่น! กล้าส่งจดหมายมาขอร้องท่านอาจารย์อีกอย่างงั้นหรอ! ศิษย์เสียใจจริงๆ ที่ไม่หยุดเจ้านั่นตั้งแต่ตอนนั้น! “
จ้าวยู่มองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะอ่านต่อไป “ได้โปรดอย่าเพิ่งขัดเกลาพัดขนนกยูงด้วย…ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาวุธชิ้นนั้นถึงจุดสูงสุดแล้ว ในตอนที่ท่านอาจารย์มอบอาวุธชิ้นนี้ให้กับศิษย์เมื่อหลายปีก่อน ศิษย์ก็ถือครองมันในฐานะที่เป็นอาวุธล้ำค่ามาโดยตลอด เป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่อาวุธชิ้นนี้จะมีเจ้าของคนที่สองที่เหมาะไปกว่าศิษย์ ศิษย์เชื่อว่าท่านอาจารย์เองก็คงจะไม่อยากเห็นใครคนอื่นที่มาย่ำยีพัดขนนกยูงชิ้นนี้ได้เช่นกัน”
หมิงซี่หยินได้พูดสบถขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าคนหลงตัวเอง! “
“ข้าได้ยินมาว่าสำนักดาบสวรรค์กำลังส่งจดหมายเพื่อยั่วยุศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าได้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้แล้ว ลั่วซิงกงรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียว เขาก็แค่อยากที่จะสู้อย่างสุดชีวิต คนอื่นๆ ในสำนักฝ่ายธรรมะต่างก็รอสิ่งนี้เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ท่านอาจารย์ได้โปรดให้เวลาข้า 1 เดือน ข้าจะทำลายสำนักดาบสวรรค์เพื่อกำจัดหนามยอกอกของท่านเอง” หลังจากที่จ้าวยู่อ่านจดหมายจบนางก็ได้ส่งจดหมายให้กับหมิงซี่หยิน
หมิงซี่หยินที่อ่านเสร็จก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ดูเหมือนกับว่า…ศิษย์น้องเจ็ดเต็มใจจะทำทุกอย่างก็เพื่ออาวุธของเขาสินะ”
ลู่โจวสงสัยอยู่ภายในใจ ‘สีวู่หยารู้ได้ยังไงกันว่าข้ากำลังคิดที่จะขัดเกลาพัดขนนกยูง? หรือว่ามันอาจจะเป็นสายสัมพันธ์ที่สีวู่หยามีต่ออาวุธชิ้นนี้ถึงจุดสูงสุดก็เป็นได้ เพราะแบบนั้นเขาก็คงจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังเข้าใกล้กับอาวุธชิ้นนี้’
“ท่านอาจารย์ศิษย์มีคำถาม สำนักแห่งความมืดของสีวู่หยามีตาอยู่ทั่วทุกที่ แต่ถึงแบบนั้นสำนักแห่งความมืดก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร คนส่วนมากเป็นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ แล้วสีวู่หยาจะวางแผนจัดการกับสำนักดาบสวรรค์ได้ยังไงกัน? ” จ้าวยู่ได้ถามออกมา
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดตอบกลับ “เพราะเจ้าเจ็ดมีสำนักอเวจีหนุนหลังอยู่” ตัวเขากำลังคิดย้อนไปในตอนที่ใช้พลังผนึกมนตรา แม้ว่ากุ้ยหนิวจะปรากฏตัวขึ้น แต่ถึงแบบนั้นพลังผนึกที่ลู่โจวใช้กลับถูกสีวู่หยาแทน นั่นแสดงว่าสีวู่หยามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับยู่เฉิงไห่ไม่ผิดแน่ การล่มสลายของสำนักแห่งความบริสุทธิ์จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสีวู่หยาเช่นกัน
หมิงซี่หยินได้แต่เกาหัว แม้ว่าเขาไม่อยากที่จะยอมรับแต่มันก็เป็นเรื่องจริง “ถ้าหากศิษย์น้องเจ็ดทำงานร่วมกับสำนักอเวจี พวกเราก็คงจะวางใจศิษย์น้องเจ็ดได้”
“ไม่” ลู่โจวได้ยกมือขึ้นมา น้ำเสียงของเขาฟังดูนุ่มลึกกว่าเดิม “หนึ่งเดือนมันนานเกินไป…ลั่วซิงกงได้พยายามท้าดวลข้า พวกเราจะทำตามความปรารถนาของเจ้านั่นเอง”
ภารกิจใหม่ได้ปรากฏขึ้น “กอบกู้ชื่อเสียงของศาลาปีศาจลอยฟ้า รางวัล: 1,500 แต้มบุญ”
“ครับท่านอาจารย์”
“ค่ะท่านอาจารย์! “
หมิงซี่หยินและจ้าวยู่ได้พูดออกมาพร้อมเพรียงกัน พวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นอาจารย์
ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่สามารถอยู่อย่างสงบโดยที่ไม่ทำอะไรได้อีกต่อไป ในตอนนี้ลั่วซิงกงกำลังได้ใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนั่นเอง