เช้าวันรุ่งขึ้นที่ห้องโถงใหญ่
ลู่โจวในตอนนี้มองทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว
ฝานซงเป็นคนที่ไม่อยู่นี้เพราะอาการบาดเจ็บ ฝานลี่เทียนเองก็ได้รับการพักฟื้นมาส่วนหนึ่งแล้วหลังจากที่กินดอกแมกโนเลียสีดำไปเมื่อหลายวันก่อน แม้ว่าเล้งลั่วจะแข็งแกร่งแต่ตัวเขาก็แทบที่จะไม่เหลือพลังอยู่เลย มันเป็นเพราะเล้งลั่วฝืนใช้พลังไปเมื่อหลายวันก่อน
ลู่โจวในตอนนี้จึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับ 3 คนนี้
“ท่านอาจารย์…มีจดหมายของเจียนอาเฉียนมาถึงเมื่อเช้านี้ จดหมายของเขาได้พูดคล้ายกับที่ศิษย์น้องเจ็ดเขียน แต่มีบางเรื่องที่เขาเห็นต่าง” จ้าวยู๋ได้หยิบจดหมายออกมาก่อนที่จะเริ่มอ่าน “สำนักดาบสวรรค์ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ดูเหมือนว่าจะมีผู้ให้การช่วยเหลือพวกเขาอยู่ แต่นั่นไม่ใช่สิบสำนักใหญ่ การเคลื่อนไหวของพวกเขาลึกลับเกินกว่าที่ข้าจะสืบข่าวมาได้”
ลู่โจวพยักหน้า จากข้อมูลที่ได้มาเห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่เจียงอาเฉียนมีนั้นแม่นยำมากกว่าข้อมูลของสีวู่หยา ตัวเขายังคงนิ่งเงียบ ลู่โจวได้เดินออกจากห้องโถงใหญ่พร้อมกับเอามือไขว้หลัง
ฮั๊ววู่เด๋า, ต้วนมู่เฉิง, หมิงซี่หยิน, จ้าวยู่, หยวนเอ๋อ, โจวจี้เฟิง, ฮั๊วยู่จิง และผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งสิบได้เดินตามลู่โจวไป
ไม่นานนักพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงรถม้าล่องเมฆา
“ศิษย์พี่ ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องเล็กว่าท่านสามารถควบคุมรถม้าล่องเมฆาได้ดีขึ้นมาก” หมิงซี่หยินพูดขึ้น
“การที่จะเปรียบเทียบฝีมือของผู้อื่นถือเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์สำหรับเจ้า ไม่มีอะไรจะต้องพูดถึงทักษะของคนอื่นหรอกนะ…” ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมาก่อนที่จะโบกมืออย่างเร่งรีบ
“ข้าไม่ได้โกหกท่านแม้แต่น้อย การที่ควบคุมรถม้ามันจะดีต่อการฝึกยุทธของตัวท่านเอง…ศิษย์พี่ มันยังมีข้อดีอีกข้อหนึ่งที่ได้จากการฝึกควบคุมรถม้า…” หมิงซี่หยินกำลังกระซิบบอกเรื่องที่สำคัญ
“แล้วมันคืออะไรกัน? ” ต้วนมู่เฉิงเดินเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้
หมิงซี่หยินได้พูดออกมาเบาๆ “มันสามารถทำให้ผู้ควบคุมรถม้าสามารถสงบใจและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้น…ด้วยผลลัพธ์นี้มันจะต้องดีกับการฝึกยุทธในอนาคตแน่”
“เจ้ากำลังบอกว่าข้าเป็นคนอารมณ์ร้อนอย่างงั้นหรอ? “
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นศิษย์พี่” หมิงซี่หยินรีบโบกมือปฏิเสธอย่างลนลาน
เมื่อต้วนมู่เฉิงได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์น้องสี่ เจ้าคิดยังไงกับหอกราชันย์ของข้ากัน? “
“มันทั้งสง่างามและทรงพลัง มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่คู่ควรกับท่านแล้วศิษย์พี่” หมิงซี่หยินได้พูดชมเชย
ต้วนมู่เฉิงส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจกับอาวุธกระจอกๆ แบบนั้น เพราะแบบนั้นเจ้าก็ควรที่จะเป็นผู้ควบคุมรถม้าน่ะถูกแล้ว เจ้าจะได้สามารถสงบใจและควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้ ไม่ว่ายังไงอาวุธระดับสรวงสวรรค์ก็ยังเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์อยู่วันยังค่ำ ไม่จำเป็นที่มันจะต้องดูสง่างามมันก็ใช้ได้”
“เอ่อ…”
“เอาล่ะไปได้แล้ว” ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมาพลางตบไหล่ของหมิงซี่หยินอย่างหนักแน่น
‘ข้า…ข้าไม่เคยพูดเลยว่าข้าชอบอาวุธที่ดูสง่างาม’ หมิงซี่หยินได้แต่เดินไปหน้าพังงาอย่างช่วยไม่ได้
ต้วนมู่เฉิงหันไปมองผู้เป็นศิษย์น้อง ตัวเขากำลังคิดว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ก็ควรที่จะเรียนรู้การควบคุมอารมณ์เช่นกัน แม้ว่านางจะอายุยังน้อยแต่การเที่ยวใช้อาวุธระดับสรวงสวรรค์ทำร้ายผู้อื่นก็เป็นอะไรที่น่ากลัวอยู่ดี
คนอื่นๆ ในตอนนี้ได้ขึ้นรถม้าล่องเมฆาไป
ต้วนมู่เฉิงเดินไปข้างๆ ลู่โจว ตัวเขาได้แต่ลูบคลำหอกราชันย์ที่อยู่ในมือด้วยความพึงพอใจ ลวดลายมังกรของมันยังคงดูสง่างามเหมือนกับวันแรก
เมื่อหมิงซี่หยินเป็นผู้ควบคุมพังงา คนบนรถม้าล่องเมฆาก็ไม่ต้องทนกับอาการเวียนหัวอีกต่อไป ในตอนนี้ฮั๊ววู่เด๋ากำลังอยู่ข้างๆ กับลู่โจว ตัวเขากำลังมองไปที่รอบๆ ศาลาปีศาจลอยฟ้า จากมุมมองที่สูงกว่าทำให้เขาสามารถมองเห็นภูเขาทองได้ทั่วทุกมุม นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นม่านพลังได้อีกด้วย “ท่านปรมาจารย์ ข้ามีเรื่องที่อยากจะถามท่าน ในตอนที่ท่านดูดซับม่านพลังไปท่านกำลังฟื้นพลังวรยุทธที่มีอยู่อย่างงั้นสินะ? “
ลู่โจวมองไปที่ฮั๊ววู่เด๋าก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าคิดว่าเป็นแบบนั้นอย่างงั้นหรอ? “
“ข้าไม่กล้า”
“ข้าจะซ่อมม่านพลังนั้นเอง” ลู่โจวพูดขึ้น การอ่อนกำลังของม่านพลังเป็นประเด็นร้อนที่คนทั่วทุกมุมโลกต่างก็พูดถึง การดูดซับพลังจากม่านพลังไปเป็นของตนเท่ากับว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนี้จะต้องเสื่อมถอยมากแล้ว น่าเสียดายที่ลู่โจวไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ในการซ่อมม่านพลัง ถ้าหากจะพึ่งพาเหล่าสาวกที่มี งานนี้ก็คงจะใช้เวลาเป็นอย่างน้อยกว่า 3 ปี เล้งลั่วและฝานลี่เทียนที่เป็นยอดฝีมือเองก็ยังไม่มีพลังมากพอ เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงพึ่งพาอะไรพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ การจะซ่อมม่านพลังให้เร็วที่สุดได้จะต้องใช้พลังจากการ์ดระเบิดจุดสุดยอด แต่การจะใช้การ์ดอันแสนล้ำค่าเพื่อซ่อมแซมม่านพลังเพียงอย่างเดียวเป็นอะไรที่เกินเหตุไปหน่อย
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดต่อไป “เวทีดอกบัวเป็นสถานที่ของสำนักฝ่ายธรรมะ ข้ากังวลว่าการที่ลั่วซิงกงจงใจยั่วยุพวกเราแบบนี้เป็นเพราะว่าเขาได้เตรียมกับดักรอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว”
“ความกังวลเจ้าเป็นเหมือนกับโคมลอยจริงๆ นะ” ลู่โจวได้พูดพลางพยักหน้า
“ไม่ต้องห่วงไปผู้อาวุโสฮั๊ว…ไม่ว่าจะเป็นกับดักแบบไหนแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์แล้วมันก็ไม่มีความหมายอะไร”
ในตอนนั้นเองฮั๊วยู่จิงก็ได้เดินมาหา นางเป็นสมาชิกใหม่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า เพราะแบบนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรมากมายอะไร “ข้ามีเรื่องจะรายงาน”
“เรื่องอะไรกัน? “
ฮั๊วยู่จิงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกับไม่มั่นใจ “ในตอนที่ข้ารอผู้อาวุโสจากสำนักดาบสวรรค์อยู่ในตอนนั้นข้าได้เห็นใครบางคนที่คุ้นเคยอยู่ด้วย…”
“คนที่เจ้าเห็นคือใครกัน? “
“องค์ชายคนที่สี่ หลิวปิง” ฮั๊วยู่จิงได้คุกเข่าก่อนที่จะพูดต่อไป “ตอนที่ข้าเคยอยู่กับท่านหยิงเจด ข้าเคยเห็นภาพเหมือนขององค์ชายสี่อย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะแบบนั้นก่อนหน้านี้ข้าก็เลยไม่มั่นใจว่าจะรายงานเรื่องนี้ดีไหม โปรดอภัยให้ข้าด้วยท่านปรมาจารย์! “
องค์ชายองค์ที่สี่หลิวปิง เขาเป็นผู้ปกป้องพรมแดนจากภัยร้าย เขาคนนี้มักจะสร้างผลงานได้อยู่บ่อยครั้งจนแม้แต่คนในพระราชสำนักเองก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านเจ้าชายองค์นี้ ถ้าหากเขาต้องการกลับมาในตอนนี้หลิวปิงก็คงจะต้องเสียสละอำนาจในการบัญชาการกองทัพไป แล้วทำไมหลิวปิงถึงเลือกที่จะกลับมาในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ด้วยล่ะ?
ลู่โจวมองไปที่ฮั๊วยู่จิง ในตอนนั้นเองเขาก็นึกถึงสถานะของเจียงอาเฉียนได้ “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพบกับเจียงอาเฉียนมาบ้างไหม? “
“พวกเราพบกันครั้งแรกที่เจดีย์ลอยฟ้าค่ะ” ฮั๊วยู่จิงตอบกลับมา ท่าทีของนางดูเป็นกังวลนิดหน่อย
“ลุกขึ้นพูดเถอะ”
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์” ฮั๊วยู่จิงได้ลุกขึ้นยืนอย่างเคารพ
“เจ้าเคยติดต่อกับเจียงอาเฉียนมาก่อนไหม? ” ลู่โจวได้ถามออกไปเมื่อเห็นฮั๊วยู่จิงลุกขึ้นยืน
พรึ๊บ!
“ข้าน้อยไม่กล้า! ” ฮั๊วยู่จิงที่ก้มหน้าขอขมา
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้คารวะลู่โจว “ฮั๊วยู่จิงมาจากสำนักลั่ว นางได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี นางไม่กล้าที่จะทำอะไรแบบนั้นแน่”
หมิงซี่หยินส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “การอบรมเป็นอย่างดีอย่างงั้นหรอ? แล้วทำไมนางถึงกล้าออกจากสำนักลั่วกันล่ะ? “
“เอ่อ…”
“เจ้าเองก็ตอบไม่ได้สินะ? ข้าสงสัยมานานแล้วว่าทำไมเจียงอาเฉียนถึงได้รู้เรื่องทุกอย่างดีแบบนี้ ดูเหมือนว่าเขากับศิษย์น้องเจ็ดคงจะเป็นคนแบบเดียวกันแน่” หมิงซี่หยินได้พูดออกมา
ลู่โจวมองไปที่ฮั๊วยู่จิง แม้ว่าจะถูกสอบปากคำแต่ถึงแบบนั้นค่าความจงรักภักดีของนางก็ไม่ได้ลดลงไปเลย เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้โกหก “ลุกขึ้นพูดเถอะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“เจ้าน่ะมีพรสวรรค์ เจ้าเคยไปที่ศาลาทางตะวันออกมาแล้วรึยัง? “
ฮั๊วยู่จิงได้ตอบกลับมาอย่างลังเล “ข้า…ข้าไม่มีเวลา”
“ที่นั่นมีเคล็ดวิชาที่เรียกว่าเคล็ดวิชารวมพลังโดยเร็วอยู่ ข้าคิดว่าเคล็ดวิชานั้นเหมาะกับเจ้าดี” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไม่แยแส
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ฟังแบบนั้นก็รีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “เจ้าจะรออะไรกัน? รีบขอบคุณท่านปรมาจารย์ซะสิ! “
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์! ” ฮั๊วยู่จิงได้คุกเข่าอีกครั้ง
คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก ดูเหมือนว่าฮั๊วยู่จิงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในวังไปซะแล้ว การคุกเข่าถือเป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่คนในพระราชวังนิยมใช้กัน
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดต่อ “สำนักลั่วไม่มีเคล็ดวิชาที่มอบกับเจ้ามาก่อน มือธนูที่เก่งกาจมักจะแสดงฝีมือออกมาได้ก็ต่อเมื่ออยู่ห่างกับคู่ต่อสู้มากพอ แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็มีจุดอ่อนที่ชัดเจนอยู่ เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ได้ มือธนูยังเจ้าคงจะไม่มีเวลาที่จะเปลี่ยนพลังลมปราณให้กลายเป็นลูกธนูได้ทัน เพราะแบบนั้นเคล็ดวิชารวมพลังโดยเร็วจะต้องเป็นเคล็ดวิชาที่ช่วยอุดช่องโหว่ของเจ้าได้แน่”
ฮั๊วยู่จิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่พยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณที่ชี้แนะผู้อาวุโสฮั๊ว ข้าจะฝึกฝนอย่างหนักและจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเอง”
ค่าความจงรักภักดี +10%
บางครั้งลู่โจวมักจะรู้สึกว่าฮั๊วยู่จิงผูกติดกับกฎเกณฑ์ที่เคยเจอมากเกินไป แต่ถึงแบบนั้นนางก็ถือเป็นผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง แม้ว่าจะมีประสบการณ์จากโลกภายนอกมาบ้างแต่ถึงแบบนั้นนางก็ยังไม่เข้าใจความสกปรกที่โลกใบนี้มีอยู่ การจะมอบเคล็ดวิชาในการฝึกฝนตนเองให้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แต่ถึงแบบนั้นก็ทำให้ค่าความจงรักภักดีของฮั๊วยู่จิงคนนี้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากได้
ในตอนนั้นเอง ณ กระท่อมที่แสนจะเงียบสงบ
สีวู่หยาได้ลืมตาขึ้นมา ตัวเขากำลังคาดเดาเวลาจากแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบลงบนกระท่อมแห่งนี้
ตามที่คาดการณ์เอาไว้ ผู้ฝึกยุทธชุดเทาคนหนึ่งได้ตรงมาหาตัวเขาก่อนที่จะคุกเข่าให้ “ท่านเจ้าสำนัก เป็นอย่างที่ท่านบอกไว้ มีคนคอยส่งข่าวไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า”
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าข้อมูลพวกนั้นมาจากไหน? “
“จากทางพระราชสำนัก”
สีวู่หยาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น นี่ถือเป็นเรื่องแปลกมาก อาจารย์ของเขาไม่เคยข้องแวะอะไรกับทางพระราชสำนักมาก่อนเลยไม่ว่าคนคนนั้นจะอยู่ฝ่ายใดก็ตาม เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน? “ให้แหล่งข่าวของเราที่อยู่ในพระราชสำนักตรวจสอบเรื่องนี้ซะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
สีวู่หยาเริ่มคลายคิ้วที่ขมวดออกมา ตัวเขาได้ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เป็นเรื่องปกติที่ท่านอาจารย์จะเชื่อคนคนนั้น ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้ลองประมือกับคนคนนั้นซะแล้วล่ะ”
“…ข้าจะรีบตามหาศิษย์พี่ของท่านดาบปีศาจให้เดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง” สีวู่หยาส่ายหัว “ไปที่หุบเขาผิงตูซะ”
“ครับท่านเจ้าสำนัก”