เสียงที่ดังขึ้นได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้ชมที่อยู่บนแท่นประลองดอกบัว
“แม่ชีจากวิหารเมฆาสว่างอย่างงั้นหรอ? ” หลายๆ คนต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
แม่ชีกว่าหลายสิบคนได้ปรากฏตัวขึ้นบนแท่นประลองดอกบัว
“ข้าวู่เหนียนจากวิหารเมฆาสว่างขอทักทายทุกๆ ท่าน”
แม่ชีวู่เหนียนเป็นแม่ชีเจ้าสำนักของวิหารเมฆาสวรรค์ การปรากฏตัวของนางทำให้ทุกๆ คนนิ่งเงียบ
ถ้าหากสำนักดาบสวรรค์ไม่มีผู้ช่วย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คงจะยากที่จะคาดเดาได้
ลั่วซิงกงได้คารวะวู่เหยียนก่อนที่จะพูดออกมา “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ท่านแม่ชี”
แม่ชีวู่เหนียนเป็นแม่ชีที่สร้างชื่อเสียงมาได้กว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว นางเป็นยอดฝีมือของวิหารเมฆาสว่าง ใครจะคิดว่าแม่ชีจากวิหารเมฆาสว่างจะช่วยเหลือสำนักดาบสวรรค์แบบนี้
ฮั๊ววู่เด๋าได้หันไปหาลู่โจวที่ยังคงหลับตาอยู่ “ท่านปรมาจารย์”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่โจวไม่ได้ลืมตาขึ้น ลู่โจวในตอนนี้ได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับศัตรูที่จะให้ความช่วยเหลือสำนักดาบสวรรค์อยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเหลือจะมามากกว่าหนึ่งคน
วู่เหนียนมองไปที่ลั่วซิงกง หลังจากนั้นนางก็ยกฝ่ามือขึ้นมาก่อนที่จะสวดพระสูตรออกมาเบาๆ
วงกลมสีฟ้าอ่อนได้ปรากฏขึ้นใต้เท้าของลั่วซิงกง มันส่องแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
“นั่นมันเคล็ดวิชาการรักษา เคล็ดวิชาเมตตาธรรมของชาวพุทธ”
ลั่วซิงกงได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง “ขอบคุณมากท่านแม่ชี”
วู่เหยียนพยักหน้าก่อนที่หันไปมองที่หมิงซี่หยิน “ท่านผู้เจริญ พวกเราเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากศาลาที่อยู่ใกล้ๆ สำนักดาบสวรรค์กำลังรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ข้าไม่คิดเลยว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะรังแกคนที่ไม่มีทางสู้แบบนี้ได้”
หมิงซี่หยินได้หัวเราะออกมา “อย่ามาเทศนาเรื่องธรรมะกับข้าเลย ข้าไม่ใช่คนที่ชื่นชอบความยุติธรรมหรอกนะ…แล้วถ้าหากข้าจะรังแกคนที่อ่อนแอกว่าจริงๆ? เจ้าคิดว่าจะทำอะไรได้ล่ะ? สู้กับข้าแทนอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินจ้องไปที่ผู้เป็นอาจารย์ก่อนที่จะใช้ความคิดขึ้นมา ‘การที่ได้สู้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าเป็นอะไรที่สนุกสุดยอดแล้ว ในตอนนี้ยังมีท่านอาจารย์อยู่ด้วย ยังไงข้าก็ไม่เป็นไรแน่’
“ประสก ท่านไม่ต้องพูดจาหยาบคายเช่นนี้ก็ได้…มีคำพูดหนึ่งเคยพูดเอาไว้ หัวใจของคนทุกคนล้วนมีความยุติธรรมอยู่ ถ้าหากไม่มีคลื่นก็ย่อมที่จะไม่มีลม ข้าทนดูเรื่องนี้ไม่ได้จึงอยากจะพูดกับประสก”
หมิงซี่หยินกลอกตาก่อนที่จะพูดตอบกลับไป “จะมาเทศนาข้าอีกแล้วสินะ”
วู่เหนียนได้พูดต่อ “ข้าก็แค่อยากจะยุติความขัดแย้งทั้งหมดไม่ให้มันบานปลายไปมากกว่านี้”
“ทำไมเจ้าถึงไม่แสดงตัวก่อนหน้านี้ล่ะ? ตอนนี้เจ้าต้องการที่จะแสดงตัวเพื่อปกป้องชายไร้ยางอายคนนั้นอย่างงั้นสินะ? ” หมิงซี่หยินพูดเยาะเย้ยออกมา
“เจ้า! ” วู่เหยียนเป็นยอดฝีมือของวิหารเมฆาสว่าง นางได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนมากมายหลายคน ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปวู่เหนียนคงจะทนต่อไปไม่ได้แน่
ในตอนที่วู่เหนียนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาซะก่อน “วู่เหนียน”
ทุกๆ ต่างก็ได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน มันเป็นเสียงที่ดังมาจากรถม้าลอยฟ้า ทุกคนต่างก็หันไปมองรถม้าล่องเมฆาในทันที
ลู่โจวลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ตัวเขายืนอยู่บนขอบของรถม้าล่องเมฆา ลู่โจวกำลังกวาดตาลงมองแท่นประลองดอกบัว ในที่สุดปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เคลื่อนไหว มหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้าออกโรงแล้ว
วู่เหนียนที่ได้ฟังแบบนั้นพนมมือขึ้นมา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง “ประสกเองหรอกหรอ”
“เจ้าจำข้าได้สินะ? ” ลู่โจวได้ถามออกไป
วู่เหยียนส่ายหัว “นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเรา”
“ทุกวันนี้จิงหยานยังอยู่ดีไหม? ” ลู่โจวได้ถามออกไป
“…ประสก ท่านรู้จักอาจารย์ของข้าด้วยอย่างงั้นหรอ? ” วู่เหนียนตกใจเล็กน้อย น้ำเสียงของนางสั่นเครือ
ลู่โจวถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “เป็นความผิดของอาจารย์เจ้าเองที่ไม่ได้สอนลูกศิษย์อย่างเจ้าให้ดีพอ เจียงหยานจะไปมีศิษย์ที่ไม่สามารถแยกแยะผิดถูกได้ยังไงกัน? “
“ทำไมท่านถึงพูดแบบนั้นกัน? ” วู่เหนียนได้ถามขึ้น
“ข้าคิดว่านางจะมุ่งฝึกฝนตนและดูแลวิหารเมฆาสวรรค์ให้ดีกว่านี้แล้วแท้ๆ ในตอนที่ข้าได้มอบแส้หยกหางม้าให้กับนาง น่าเสียดายจริงๆ …”
เมื่อได้ยินเรื่องของแส้หยกหางม้า สีหน้าของวู่เหยียนก็เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย แส้หยกหางม้าเป็นของที่มาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ?
เหล่าผู้ชมเริ่มส่งเสียงพูดคุยออกมาอีกครั้ง
เมื่อลั่วซิงกงเห็นสีหน้าของวู่เหนียนเปลี่ยนแปลงไป เขาก็รีบพูดออกมาอย่างไม่ลังเล “อย่าไปหลงกลตาแก่นั่น ได้โปรดช่วยข้าด้วย ท่านแม่ชี…” หลังจากที่พูดเสร็จลั่วซิงกงก็ได้เดินไปข้างหน้าของวู่เหนียนก่อนที่จะพูดออกมา “ตาแก่มหาวายร้าย เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าอย่างงั้นสินะ? “
ลู่โจวสำรวจอาคารที่อยู่รอบแท่นประลอง ตัวเขากำลังสงสัยว่ามีใครคนอื่นที่กำลังให้ความช่วยเหลือแอบซ่อนอยู่อีกไหม ‘เจ้าพวกนั้นยังไม่ออกมาอย่างงั้นสินะ? ‘
“ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ ข้าที่เห็นว่าเจ้าเป็นถึงอดีตเจ้าสำนักดาบสวรรค์ แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ได้แต่ทำเรื่องน่าอับอายอยู่บนแท่นประลองดอกบัว…ข้าน่ะผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ ” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “เจ้าเพ้อถึงความยุติธรรมและความซื่อสัตย์มาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นเบื้องหลังเจ้าหรือว่าเจ้าเองก็ทำแต่เรื่องสกปรก เจ้าฆ่าได้แม้กระทั่งสาวกของตัวเองอย่างไร้ความเมตตา เจ้าน่ะยังมีความภาคภูมิใจในเส้นทางอันยุติธรรมที่เจ้านับถืออยู่อีกอย่างงั้นหรอ? หรือว่าการฆ่าพวกเดียวกันจะเป็นความภาคภูมิใจของเจ้า? คำพูดจากปากของเจ้าน่ะมันสวนทางกับการกระทำทั้งหมด เจ้าน่ะไม่อายบรรพชนเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆ เลยหรอไงกัน”
“เจ้า! ” ลั่วซิงกงรู้สึกหายใจติดขัด คำพูดของลู่โจวจี้ใจดำตัวเขาเต็มๆ
หมิงซี่หยินได้พูดต่อ “เจ้าอาจจะไม่รู้ตัวสินะ แต่เจ้าน่ะเป็นที่หัวเราะนานแล้ว…” ในตอนนั้นเองลั่วซิงกงก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่มาจากผู้ชมทั้งหลาย ไม่มีใครสนใจว่าอดีตเจ้าสำนักคนนี้จะมาจากสำนักฝ่ายธรรมะอีกต่อไป ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่ลั่วฉางเฟิงลูกชายของเขาทำมันเป็นสิ่งที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจแค่ไหน
ในตอนนั้นเสียงหัวเราะและคำดูถูกก็ได้เพิ่มมากขึ้น ลั่วซิงกงเริ่มได้ยินทุกอย่าง
มีใครบางคนตะโกนขึ้น “ลั่วซิงกง เจ้าน่ะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ประโยชน์มากกว่าหลายปีแล้ว เจ้ายังไม่สามารถที่จะเอาชนะศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้เลยแท้ๆ ไหนเลยเจ้าถึงกล้าท้าทายปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าซะได้ เจ้าไม่มียางอายบ้างเลยอย่างงั้นหรอ? “
“แม้แต่โจรเฒ่าคนนั้นก็ยังทำตัวอยู่สูงกว่าเจ้า เจ้าน่ะทั้งแก่และก็อ่อนแรงเต็มที ด้วยร่างกายที่สะบักสะบอมของเจ้าก็คงจะทำได้เห่ายั่วยุศัตรูก็เท่านั้น…ช่างหน้าด้านซะจริง! “
เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ ดวงตาของลั่วซิงกงก็เบิกกว้างขึ้น ตัวเขาได้กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
“ท่านเจ้าสำนัก! “
“ท่านเจ้าสำนัก! “
สาวกของสำนักดาบสวรรค์ได้พุ่งเข้าพยุงลั่วซิงกงอีกครั้ง
ดวงตาของลั่วซิงกงเบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาเบิกกว้างไปด้วยความแค้นจนเกือบจะถลนออกจากเบ้าตา หน้าอกของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวู่เหนียนเห็นแบบนั้นนางก็ได้พูดออกมา “อามิตตาพุทธ หลีกทางให้ข้าที”
สาวกทั้งสองหลีกทางให้ วู่เหนียนได้โบกแส้หางม้าของตัวเอง ในตอนนั้นแสงสว่างสีฟ้าก็ได้ส่องไปที่ร่างกายของลั่วซิงกงอีกครั้ง
ลั่วซิงกงยังคงกระอักเลือดออกมา
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าน่ะทำตัวเองแท้ๆ ที่เรื่องทั้งหมดมันเป็นแบบนี้ก็เพราะความโกรธแค้นของเจ้าเอง แม้ว่าจะใช้เคล็ดวิชาแห่งการรักษาอย่างเมตตาธรรมเจ้าก็ยังจะต้องตายในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี”
เมื่อวู่เหนียนได้ยินแบบนั้น นางก็ได้ดึงแส้หยกหางม้ากลับไป
แม่ชีทั้งสิบได้ก้าวออกมาข้างหน้าก่อนที่จะจะล้อมลั่วซิงกงเอาไว้
พวกนางได้ผสานฝ่ามือกันก่อนที่จะเริ่มสวดพระสูตรออกมา
“บทสวดธารณีอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน
“ตาแก่ชั่ว ยอมแพ้ซะเถอะ…”
“จะ…จะ…เจ้า! ” ลั่วซิงกงหายใจฝืดเคือง
“ปัญหาทุกอย่างจะถูกสะสางหลังจากที่เจ้าตาย เจ้าจะไม่มีอะไรค้างคาอีกต่อไป…ฟังข้าซะ ยอมรับความจริง เจ้าน่ะยังไงก็เอาชนะอาจารย์ของข้าไม่ได้ อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิดหรอก เจ้าจะเป็นคนคนแรกที่โกรธศาลาปีศาจลอยฟ้าจนตาย! มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรอ! “
ความโกรธของลั่วซิงกงกำลังปกคลุมหัวใจเขา พลังลมปราณภายในตัวปั่นป่วนจนระเบิดเส้นพลังลมปราณออกมา ตัวเขาได้หายใจเฮือกสุดท้ายออกมา ศีรษะของเขากำลังร่วงหล่นสู่พื้น
ในตอนนั้นเองทั่วทั้งลานประลองต่างก็เงียบสงัด
แม่ชีทั้งสิบก็หยุดสวดพระสูตรเช่นกัน
เหล่าผู้ชมต่างก็ตกใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น อดีตเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่อย่างลั่วซิงกงโกรธจนตัวตาย?
ลู่โจวได้ยินการแจ้งเตือนที่ดังขึ้น ตัวเขาได้รับรางวัลตอบแทนเป็น 1,500 แต้มบุญ ดูเหมือนว่าการทำให้ใครบางคนโกรธจนตายโดยฝีมือของคนในศาลาปีศาจลอยฟ้าก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในผลงานของเขา ยิ่งไปกว่านั้นลู่โจวไม่ได้คาดคิดว่าลั่วซิงกงจะตายทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร เขายังไม่ได้โจมตีลู่โจวแม้แต่ครั้งเดียว นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าขันเรื่องใหม่ของยุทธภพก็ว่าได้
หมิงซี่หยินได้แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา “อย่าได้มองข้าแบบนั้น…ข้ายังไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ข้าก็เพียงให้คำแนะนำก็เท่านั้น! “
“อามิตตาพุทธ…คำพูดที่เจ็บแสบของประสกมันเหน็บหนาวกว่าฤดูหนาวที่ยาวนานกว่าหกเดือนซะอีก ข้าได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว” วู่เหนียนได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากนั้นนางก็หันไปมองสาวกทั้งสิบของตัวเอง “พวกเรากลับกันได้แล้ว”
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย “เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”