เสาขนาดใหญ่ทั้งเก้าที่ล้อมรอบแท่นประลองดอกบัวถูกพลังสีดำที่ดูคล้ายกับโซ่สีดำเข้ากลืนกิน มันได้เปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนกับตาข่ายสีดำขนาดใหญ่ยักษ์
“หนีเร็วเข้า! “
“ไอพวกสำนักดาบสวรรค์มันช่างชั่วช้าซะจริง! “
เป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักดาบสวรรค์จะไม่รู้เรื่องนี้ นี่จะต้องเป็นกับดักที่สำนักดาบสวรรค์ล่อลวงพวกศาลาปีศาจลอยฟ้ามา ดูเหมือนว่าลั่วซิงคงคงจะเต็มใจที่จะเอาชีวิตเข้าแลกก็เพื่อที่จะแก้แค้นให้ได้
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลั่วซิงคง แม้ว่าการถวายเครื่องบูชาจะประสบความสำเร็จ แต่ถึงแบบนั้นสาเหตุการตายของเขากลับเป็นเรื่องที่ผิดคาดเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้เล็กน้อย
ในตอนนั้นเองรถม้าล่องเมฆาเริ่มเคลื่อนไหว… “ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ท่านน่ะไปไหนไม่ได้หรอกนะ” มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา เสียงของใครคนนั้นได้ดังไปทั่วแท่นประลองดอกบัว
ลู่โจวยกมือขึ้น “หยุด”
รถม้าล่องเมฆาหยุดเคลื่อนไหวในทันที
เสาทั้งเก้าได้ปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแท่นประลองเอาไว้ พลังตาข่ายสีดำที่มีได้เข้าปกคลุมทุกอย่าง มันกำลังจะจับกุมทุกคนที่อยู่ที่นี่ เหล่าผู้ชมหรือแม้แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดต่างก็ตกเป็นเป้าหมายของตาข่ายสีดำ
เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็ถูกพลังสีดำเข้าปกคลุม ตอนนี้มันเริ่มแผ่ไปยังแท่นประลองดอกบัวแล้ว
เหล่าผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังวรยุทธที่ไม่ได้สูงอะไรไม่สามารถที่จะป้องกันตัวเองจากหมอกควันสีดำได้เลย
ลู่โจวที่เห็นภาพทุกอย่างยังคงไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา สีหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึกเช่นเคย
ในตอนนั้นฮั๊ววู่เด๋าและฮั๊วยู่จิงก็ได้แต่ขมวดคิ้ว พวกเขาทั้งคู่เคยมาจากสำนักฝ่ายธรรมะมาก่อน พวกเขาไม่อาจที่จะยอมรับวิธีการอันสกปรกแบบนี้ได้
คนทรงคนนั้นคงจะวางแผนใช้พลังกลืนกินพลังของผู้คนที่อยู่ที่นี่ไป มันเป็นวิธีการที่ต่ำช้าอย่างแท้จริง
ลู่โจวไม่ได้กังวลอะไร ตัวเขากังวลเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ลู่โจวกลัวว่าคนที่บงการเรื่องในครั้งนี้จะไม่ปรากฏตัวออกมามากกว่า ตัวเขายังคงเฝ้ารอต่อไป ไม่สำคัญว่ารถม้าลอยฟ้าจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้ไหม ตัวเขาวางแผนที่จะรอให้ผู้วางแผนร้ายปรากฏตัวออกมา เมื่อถึงเวลานั้นตัวเขาก็จะใช้การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตจัดการกับคนร้ายตัวจริง ด้วยพลังระดับคนทรงแบบนี้คงจะต้องทำให้ตัวเขาได้แต้มบุญ 1,500 แต้มแน่
“ท่านอาจารย์…พวกเราไม่จำเป็นจะต้องช่วยพวกเขาหรอก เจ้าพวกนั้นจะอยู่หรือจะตายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเราอยู่ดี” หมิงซี่หยินพูดออกมา
หยวนเอ๋อเองก็พูดขึ้นเช่นกัน “ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว…ศิษย์แน่ใจว่าเจ้าพวกนี้จะต้องด่าพวกเราก่อนที่พวกเราจะมาถึงแน่”
ในตอนนั้นเองหุ่นเชิดสีดำตัวหนึ่งก็ดูเหมือนจะบ้าคลั่งขึ้นมา มันได้พุ่งไปที่รถม้าล่องเมฆาราวกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย หมอกควันสีดำยังคงล้อมรอบตัวของพวกมันเอาไว้ในตอนที่พวกมันเคลื่อนไหว
ต้วนมู่เฉิงที่เห็นแบบนั้นได้ตะโกนออกมาไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไสหัวไปซะ! ” ต้วนมู่เฉิงได้ขว้างหอกราชันย์ของเขาออกไป
ตู๊ม!
ใบหน้าของหุ่นเชิดถูกหมอกควันสีดำปกปิดเอาไว้ มีเพียงแค่ดวงตาของพวกมันเท่านั้นที่เปล่งประกายแสงสีเขียวอย่างผิดธรรมชาติออกมา แม้ว่าจะอยู่หลังหมอกควันแต่ถึงแบบนั้นต้วนมู่เฉิงก็สามารถสังเกตเห็นแสงสว่างได้ดี หุ่นเชิดได้ยกแขนของตัวเองขึ้นมาเพื่อที่จะป้องกันหอกราชันย์เอาไว้ แม้ว่าจะป้องกันแล้วแต่มันก็ถูกแรงกระแทกจนกระเด็นถอยกลับไปอยู่ดี
ต้วนมู่เฉิงยกมือของตัวเองขึ้นมา ในตอนนั้นหอกราชันย์ของเขาก็ลอยกลับมาอยู่บนมือ
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นได้พูดสั่งการขึ้น “ระวังเอาไว้ให้ดีล่ะ”
“ครับท่านอาจารย์! ” ต้วนมู่เฉิงไม่พอใจกับผลงานของเขาเท่าไหร่ ในตอนที่ได้ต่อสู้กันในครั้งแรก ตัวเขาก็ยังไม่ได้แสดงฝีมืออะไร ต้วนมู่เฉิงอยากที่จะทำการโจมตีอีกครั้ง ตัวเขาได้บินออกจากรถม้าลอยฟ้าไป เมื่อออกมาตัวเขาก็มองเห็นภาพรวมมากยิ่งขึ้น ในตอนนี้กำลังมีหุ่นเชิดพุ่งเข้าโจมตีรถม้าลอยฟ้าอีกครั้ง
ฉั๊วะ! ฉั๊วะ! ฉั๊วะ!
หุ่นเชิดที่กำลังบุกขึ้นมาถูกพลังเงาของหอกนับพันเข้าโจมตี มันเป็นเคล็ดวิชาที่ต้วนมู่เฉิงถนัดนั่นเอง
“ให้ข้าช่วยท่านเอง! ” หมิงซี่หยินกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ หมิงซี่หยินได้พุ่งหาศัตรูอย่างไม่ลังเล
หยวนเอ๋อได้หัวเราะคิกคักก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเองก็จะช่วยด้วย! ” นางรีบใช้รองเท้าเหยียบเมฆาก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปหาศิษย์พี่ทั้งสอง หยวนเอ๋อได้ใช้สายสะพายนิพพานของนางโจมตีเข้าใส่หุ่นเชิดอีกสามตัว
ฮั๊วยู่จิงเองก็ใช้ธนูอันเดิมโจมตีจากบนรถม้าต่อไป นางได้ควบแน่นพลังของตัวเองให้เป็นลูกธนูเช่นเคย
ฉึ๊บ! ฉึ๊บ! ฉึ๊บ!
ธนูของฮั๊วยู่จิงเข้าเป้าไปเต็มๆ แม้ว่าจะโจมตีโดนแต่ถึงแบบนั้นหุ่นเชิดทั้งหลายกลับไม่ล้มลง
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “เล็งไปที่จุดสำคัญของพวกมันดูสิ”
“ค่ะ” ฮั๊วยู่จิงได้เล็งยิงธนูอีกครั้ง
ในตอนนี้มีหุ่นเชิดเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้น พวกมันมาใกล้แท่นประลองดอกบัวอย่างไม่หยุดยั้ง
ฮั๊ววู่เด๋าสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในเรื่องนี้ดี “นี่คงไม่ใช่แค่การใช้เครื่องสังเวยเท่านั้น…ดูเหมือนว่าผู้ที่ถูกฆ่าไปจะถูกควบคุมด้วย! “
จ้าวยู่ในตอนนี้กำลังโฟกัสไปกับการควบคุมรถม้า เมื่อได้ยินคำพูดของฮั๊ววู่เด๋านางก็ได้แต่อุทานออกมาด้วยความตกใจ “คนตายจะกลับมามีชีวิตได้ยังไงกัน? “
“มันไม่ใช่เคล็ดวิชาคืนชีพคนตายหรอก…ผู้ฝึกยุทธธรรมดาจะต้องเดินพลังลมปราณให้โคจรรอบวัตถุเพื่อที่จะให้วัตถุชิ้นนั้นเคลื่อนไหวได้ แต่สำหรับเวทมนตร์คาถามันต่างออกไป เมื่อสามารถใช้เวทมนตร์คาถาไปที่เส้นเลือดและเส้นพลังลมปราณได้ เหยื่อคนนั้นก็จะถูกควบคุมทั้งจิตใจและก็ร่างกายไปในที่สุด…” ฮั๊ววู่เด๋าได้อธิบายต่อ “แม้แต่ยอดฝีมืออย่างเล้งลั่วเองก็ยังถูกควบคุมได้ นับประสาอะไรกับปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้”
จ้าวยู่ได้พูดต่อไป “ถ้าหากมันมีความหมายอย่างที่ว่าจริง หุ่นเชิดพวกนี้ก็คงจะมีพลังวรยุทธที่ไม่ได้มากมายอะไร แล้วเจ้าพวกนั้นจะไปทำอะไรพวกเราได้กัน”
“ไม่” ฮั๊ววู่เด๋าส่ายหัว “ผู้ฝึกยุทธที่ตายไปแล้วพวกเราจะไม่สามารถจัดการอะไรกับพวกเขาได้ เว้นแต่ว่าผู้ที่ใช้เวทมนตร์คาถาหรือผู้ที่ควบคุมจะถูกฆ่าไป ซากศพพวกนี้ไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดและยังไร้ความเกรงกลัวต่อสิ่งใด พวกมันไม่มีความสามารถพื้นฐานในฐานะมนุษย์อีกต่อไป ด้วยเครื่องสังเวยที่มีทำให้พลังเวทมนตร์ยังคงดูดซับพลังของคนตายไปเรื่อยๆ แม้แต่เม็ดทรายยังรวมตัวกันเพื่อเป็นหุบเขาได้ พวกเราไม่ควรจะประมาทปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้จะดีกว่า”
จ้าวยู่ได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “เป็นแบบนี้นี่เอง”
ลู่โจวยังคงเงียบ เขากำลังเฝ้าดูการต่อสู้ที่อยู่เบื้องล่างก่อนที่จะใช้ความคิดกับตัวเอง ‘คนทรงที่ใช้เวทมนตร์คาถานี่ซ่อนอยู่ที่ไหนกัน? คนคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับม่อหลี่กันแน่? หรือนี่จะเป็นเพราะองค์ชายสี่ถูกเนรเทศไปยังชายแดนตามที่ฮั๊วยู่จิงพูดถึง? ตราบใดที่หาตัวการเจอและจัดการมันได้ พวกเราก็คงจะไม่ต้องกลัวภัยอันตรายอีกต่อไป’
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ต้วนมู่เฉิงพุ่งไปที่ด้านหน้า ในตอนนั้นเองก็มีพลังลมปราณอันมหาศาลพุ่งออกมาจากร่างกาย ในที่สุดพลังเงาหอกนับพันก็สามารถทำลายหุ่นเชิดไปได้ “นี่มันช่างน่าเบื่ออะไรแบบนี้…ทำไมหุ่นเชิดพวกนี้ถึงได้ทนทายาดซะจริง! “
ตู๊ม!
หมิงซี่หยินเองก็ใช้เคียวพื้นพิภพในการทำลายหุ่นเชิดได้เช่นกัน “ถ้าหากพวกเราทำลายเวทมนตร์คาถาได้ พวกเราก็ไม่ต้องจัดการหุ่นเชิดพวกนี้อีกต่อไป”
คนอื่นๆ มองไปที่หมิงซี่หยิน
หมิงซี่หยินได้เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เขาได้เล็งโจมตีไปที่เส้นเลือดสีดำที่อยู่บนร่างกายของหุ่นเชิด
ในตอนนั้นเองทุกคนก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“ศิษย์น้องสี่ เจ้านี่ฉลาดหลักแหลมซะจริง! ” ต้วนมู่เฉิงได้โจมตีเส้นเลือดสีดำของหุ่นเชิดตัวถัดไปด้วยหอกราชันย์
หุ่นเชิดทั้งหลายล้มลงไปกับพื้นมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อมีหุ่นเชิดล้มไป หุ่นเชิดตัวใหม่ก็ถาโถมเข้ามา
ในที่สุดหุ่นเชิดกว่า 50 ตัวก็ได้ปรากฏตัวบนแท่นประลองดอกบัว
ฮั๊วยู่จิงยังคงยิงธนูไปที่จุดอ่อนของพวกมัน แม้ว่าพลังวรยุทธของนางจะไม่ได้สูงส่งอะไร แต่ถึงแบบนั้นทักษะการยิงธนูของนางก็ยังถือว่าเป็นของจริง การโจมตีจากระยะไกลของนางได้ผลกับหุ่นเชิดทั้งหลาย มันได้ผลมากกว่าต้วนมู่เฉิงที่จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อจัดการศัตรูที่ละตัวซะอีก
หุ่นเชิดเริ่มลดลงเรื่อยๆ หมอกควันสีดำที่อยู่ในร่างกายก็ถูกพลังที่ดูคล้ายโซ่ดูดซับกลับไป
‘ไม่ได้แต้มบุญ? ‘
‘หมายความว่าซากศพพวกนี้คงจะเป็นผู้มีพลังวรยุทธขั้นมหาราชครูหรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธต่ำกว่านั้นแน่ นี่มันไม่คุ้มแล้ว…’ ลู่โจวได้ส่ายหัว โชคดีที่ตัวเขายังมีศิษย์สาวกมากมายหลายคนมากับตัวเขาด้วย ถ้าหากเป็นตัวเขาเพียงคนเดียวก็คงจะรับมือกับหุ่นเชิดพวกนี้ไม่ได้แน่ บางทีลำพังลู่โจวเพียงคนเดียว เขาอาจจะยังไม่รู้ก็ได้ว่าจะรับมือกับหุ่นเชิดพวกนี้ยังไง
ฮั๊ววู่เด๋าเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการโจมตี ดังนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะอยู่บนรถม้าลอยฟ้า
เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ มีหุ่นเชิดที่พุ่งเข้าใส่รถม้ามากขึ้น
“พลังผนึกตราประทับทั้งหก! ” ฮั๊ววู่เด๋าได้ใช้เคล็ดวิชาสุดยอดแห่งการป้องกันที่มีขึ้นมา ม่านพลังได้ส่องแสงสว่างไสวล้อมรอบรถม้าลอยฟ้าเอาไว้
หุ่นเชิดที่กระแทกกับม่านพลังต่างก็กระเด็นถอยกลับไปในทันที
เมื่อสีวู่หยาเห็นสถานการณ์นี้จากในระยะไกล ตัวเขาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “ฮั๊ววู่เด๋า เขาคนนี้มีปมจนไม่อาจที่จะพัฒนาตัวเองได้ หรือว่าเขาจะจัดการกับปมที่กัดกินอยู่ภายในใจไปได้แล้ว? “
เสาที่สูงตระหง่านทั้งเก้าต้นยังคงสั่นสะเทือน ที่ใจกลางของเสาทั้งหมดเริ่มมีตาข่ายพลังสีดำปรากฏตัวออกมามากขึ้น
สีวู่หยาที่ขมวดคิ้วอยู่ได้พึมพำออกมาอีกครั้ง “เจ้าพวกนี้พยายามจับพวกอาจารย์โดยพลังแบบนี้น่ะหรอ? “
ทุกๆ คนต่างรู้กันดี บนแท่นประลองดอกบัวไม่อาจที่จะวางเวทมนตร์คาถาอะไรเอาไว้ได้ แต่เมื่อมีการใช้เครื่องสังเวยเกิดขึ้น ผลของมันก็ได้เข้าไปอยู่ในเสาทั้งเก้าแทน ใครจะไปรู้กันว่าลั่วซิงกงจะยอมเสียสละชีวิตตัวเองกลายเป็นเครื่องสังเวยแบบนี้?
ตอนนี้เสาทั้งเก้าถือเป็นหัวใจสำคัญของพลังแห่งการสังเวย “ท่านเจ้าสำนัก สำนักอเวจีได้กลับมาแล้ว! พวกเราควรจะทักทายพวกเขาไหม? “
รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีกำลังลอยอยู่ใกล้กับศาลาที่ 3
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านเจ้าสำนัก”
สีวู่หยามองไปที่รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจี ตัวเขาเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมา “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะยื่นมือเพื่อช่วยท่านอาจารย์ไหมนะ?”