จ้าวยู่ไม่ได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผู้เป็นอาจารย์กับวิหารเมฆาสว่าง หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนแท่นประลองดอกบัว ความประทับใจที่จ้าวยู่มีต่อวิหารเมฆาสว่างก็ได้หายไปจนหมด แม้ว่าเสวียนจิงจะเป็นคนที่สุภาพและนอบน้อมมากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นสิ่งที่วู่เหนียนเคยทำเอาไว้ก็ไม่อาจที่จะทำให้จ้าวยู่ลืมเลือนได้ ยิ่งไปกว่านั้นศาลาปีศาจลอยฟ้ายังไม่ใช่ที่อย่างแม่ชีเสวียนจิงจะอยู่ได้
เสวียนจิงได้ยืดนิ้วของนางออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ช้าก่อน ข้ามีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูด”
“อะไรกัน? “
“แส้หยกหางม้าถือเป็นของประจำของวิหารเมฆาสว่างไปแล้ว ถ้าหากมันพอจะเป็นไปได้ข้าหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะช่วย…”
ลู่โจวได้พูดขัดจังหวะออกมาในทันที “ข้าได้มอบแส้หยกหางม้าให้กับจิงหยานไป นางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้าอย่างงั้นหรอ? “
“เอ่อ…”
“ถ้าหากข้าเป็นคนมอบแส้หยกหางม้าให้กับนาง ข้าเองก็มีสิทธิ์ที่จะทวงคืนมันกลับมาได้” ลู่โจวได้พูดต่อไป
เนื่องจากลู่โจวได้แสดงเจตนารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน เพราะแบบนั้นเสวียนจิงจึงไม่กล้าที่จะขอร้องอะไรอีกต่อไป เสวียนจิงทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป นางได้แต่ถอนหายใจออกมา แม้ว่านางจะช่วยศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแต่นางก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ถ้าหากวู่เหนียนไม่ไปสบประมาทชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าไป สถานการณ์ทุกอย่างก็คงจะไม่ได้เป็นแบบนี้ ในที่สุดเสวียนจิงก็ได้คารวะออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ดูแลตัวเองด้วยท่านผู้อาวุโส ข้าขอตัวก่อน” หลังจากนั้นนางก็ได้ออกจากศาลาไป
“ศิษย์จะไปส่งนางเอง ศิษย์ขอตัวเช่นกัน” จ้าวยู่ได้เดินตามแม่ชีผู้มาเยือนไป
ศาลาทางตะวันออกได้กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ลู่โจวได้เดินเข้าไปในศาลา ตัวเขามองเห็นกล่องใบเดิมที่ถูกวางอยู่ตรงมุมห้อง ทันทีที่โบกมือ กล่องใบนั้นได้ลอยเข้าหามือของลู่โจว ลู่โจวไม่รอช้าตัวเขารีบหยิบกุญแจออกมาจากกล่องสีแดง เมื่อนิ้วของลู่โจวสัมผัสเข้ากับกุญแจ ตัวเขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ไหลผ่านผิวหนังมา ดูเหมือนว่ากุญแจดอกนี้จะถูกสร้างมาจากวัสดุพิเศษ เพราะคุณสมบัติพิเศษนี้เองทำให้กุญแจดอกนี้ยังคงเหมือนเดิมโดยที่ไม่มีการสึกกร่อน
รูกุญแจบนกล่องไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไร ลู่โจวถือกล่องใบนั้นเอาไว้ก่อนที่จะเสียบกุญแจเข้าไปในรู
แคล๊ก!
หลังจากนั้นไม่นานลวดลายบนกล่องก็ได้ส่องแสงออกมา แสงสว่างในห้องอันมืดมิดเป็นเหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่แล่นไปทั่วผิวกล่อง ไม่นานนักแสงสว่างก็ได้เคลื่อนผ่านรูบนกล่องไป
“การออกแบบของกล่องใบนี้นี่มันคืออะไรกัน! ” ลู่โจวพูดชมเชยออกมา
เมื่อแสงสว่างที่ดูคล้ายกับไฟฟ้าได้จางหายไป เสียงกลไกของกล่องก็ได้ดังออกมาอีกครั้ง
ฝากล่องได้เปิดขึ้นมา ในตอนนั้นเองมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาด้วย บางทีของที่อยู่ในนั้นอาจจะถูกปิดผนึกเอาไว้นานมากเกินไป
ลู่โจวโบกมือเพื่อปัดกลิ่นเน่าเหม็นออกไปให้พ้นทาง “ติ้ง! ได้รับชิ้นเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนที่ขาดหาย”
“ติ้ง! ได้รับภาพวาดเก่าแก่”
“หืม? ” ลู่โจวแตะไปที่ชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่ขาดหายไป…แผ่นกระดาษเคล็ดวิชาอันนั้นได้สลายหายไปในพริบตา
ลู่โจวได้มองไปที่เมนูระบบ ในตอนนี้ที่คลังไอเท็มของเขามีของชิ้นใหม่ถูกเพิ่มขึ้นมา ของชิ้นนั้นก็คือเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลือ (ส่วนแรก) ตัวเขาจำได้ว่าเคยได้รับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จากการเศษเสี้ยวฟากฟ้าทั้งหมด เมื่อได้รับของสิ่งนี้ลู่โจวก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
“ภาพวาดเก่าแก่” ลู่โจวหันไปสนใจของอีกชิ้นหนึ่ง มันเป็นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ภายในกล่อง ตัวเขาได้หยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ที่ด้านนอกของมันเริ่มน่าเปื่อยไปแล้ว ลู่โจวค่อยๆ คลี่กระดาษลงบนโต๊ะ…ภายในกระดาษแผ่นนั้นมีรูปวาดที่ดูเลือนราง มันเป็นภาพวาดเก่าแก่ ภาพวาดที่ได้เห็นมันมีขนาดใหญ่จนครอบคลุมทั้งโต๊ะตัวนั้น
ลู่โจวสงสัยว่ามันจะเป็นแผนที่ล่าขุมทรัพย์
“แผนที่อย่างงั้นหรอ? ” แม้ว่ามันจะดูพร่ามัวสักแค่ไหน แต่ลู่โจวก็ยังสามารถบอกได้ว่ามันเป็นแผนที่ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแผนที่ของใจกลางโลกยุทธภพ โครงร่างของเส้นต่างๆ ดูคล้ายคลึงกับภูมิประเทศมาก
ลู่โจวได้เอามือไขว้หลังเอาไว้ ตัวเขากำลังศึกษาแผนที่ก่อนที่จะไตร่ตรองอะไรบางอย่างดู สำหรับลู่โจวตัวเขารู้ดีว่าชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์สามารถทำอะไรได้…แต่ตัวเขาไม่รู้เลยว่าแผนที่อันนี้มีไว้เพื่ออะไร ในแผนที่ไม่ได้มีเครื่องหมายหรือตำแหน่งอะไรระบุเอาไว้เลย มันไม่มีสัญลักษณ์ที่จะบ่งบอกถึงภูเขาและแม่น้ำด้วยซ้ำไป ตัวเขาได้แต่วางภาพวาดเก่าแก่อันนั้นกลับลงไปบนโต๊ะ
หลังจากนั้นลู่โจวก็กลับไปนั่งบนจุดเดิม ตัวเขาได้เปิดเมนูระบบออกมาอีกครั้ง
แต้มบุญ: 20,230 แต้ม
ในตอนนี้มันมีคะแนนเกินมาถึง 230 คะแนน
ลู่โจวจับฉลากได้ถึง 4 ครั้งด้วยกัน…ในทุกๆ ครั้งที่จับฉลากนำโชคไปตัวเขาก็ได้แต่รางวัลปลอบใจอย่างค่าความโชคดี นับว่าโชคดีที่ตัวเขายังเหลือแต้มบุญกว่า 20,000 แต้ม ตัวเขาไม่ได้อยากซื้ออะไรอีกต่อไป ‘หรือว่าควรจะซื้อพลังอวตารขั้นต่อไปเลยดี? ไม่ ฉันจะพึ่งพาการเสี่ยงโชคไม่ได้อีกต่อไป’ ลู่โจวได้คิดทบทวนตัวเองสั้นๆ ตอนนี้ตัวเขาได้อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างปลอดภัยแล้ว…ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขายังมีการ์ดที่เหลือที่ยังไม่ถูกใช้งานไป แม้ว่าสำนักฝ่ายธรรมะจะโจมตีภูเขาทองจริงๆ แต่ถึงแบบนั้นในตอนนี้มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรกับลู่โจว ตัวเขาสามารถขับไล่ศัตรูออกไปได้อย่างง่ายดายแน่
ลู่โจวในตอนนี้สามารถซื้อพลังร่างอวตารได้ทุกเมื่อ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการฝึกฝนตัวเองอยู่ดี ในอดีตร่างกายของลู่โจวเคยฝึกฝนตัวเองไปถึงจุดที่สูงกว่านี้มาแล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่ต้องฝึกฝนตัวเองเพื่อไปถึงจุดนั้นอีกต่อไป ในตอนนี้ลู่โจวไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนไปไหน ตัวเขาตัดสินใจที่จะตรวจสอบราคาของต่างๆ ที่มีแทน
ในตอนนั้นเองที่กระท่อมอันแสนเงียบสงบ
สีวู่หยาได้ลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนที่จะพึมพำอะไรบางอย่าง “โชคยังดีที่พัดขนนกยูงยังอยู่ดี”
ตัวเขาได้ก้มศีรษะลงก่อนที่จะถอดเสื้อคลุมส่วนบนออกมา สีวู่หยาได้มองไปที่ ‘ผนึก’ ที่อยู่บนหน้าอกของตัวเขา ตัวอักษรของมันยังคงมีสีแดงสดไม่เปลี่ยนแปลง สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นได้พูดออกมาอย่างหมดหวัง “ทำไมผนึกมนตรานี่มันแปลกขนาดนี้? “
จนถึงตอนนี้สีวู่หยาได้ลองหาวิธีปลดพลังผนึกมากว่าหลายวิธีแล้ว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่อาจที่จะทำลายผนึกได้
ในตอนนั้นเองสาวกชุดเทาคนหนึ่งก็ได้เข้ามาในกระท่อมก่อนที่จะคุกเข่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านยู่เฉิงไห่มาถึงที่นี่แล้ว”
“ให้เขาเข้ามาได้” สีวู่หยากำลังจะลุกขึ้นยืน ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันไพเราะของผู้เป็นศิษย์พี่ซะก่อน “ศิษย์น้องเจ็ด พวกเราได้พบกันอีกครั้งแล้วนะ…”
สีวู่หยาได้คารวะผู้เป็นศิษย์พี่ “ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นจะต้องพิธีรีตองอะไรหรอก ดูสิว่าข้าพาใครมาด้วย” ยู่เฉิงไห่ได้เหลือบมองไปที่ทางเข้า ชายชราคนหนึ่งได้เดินเข้าประตูมา เขาเป็นชายที่สวมหมวกของพวกลัทธิเต๋า นอกจากนี้เขายังไว้ผมทรงหางม้าอีกด้วย
สีวู่หยาได้จ้องมองไปยังผู้มาเยือนคนใหม่อย่างประหลาดใจ “นักพรตเต๋าหยวนชานอย่างงั้นหรอ? “
“นักพรตเต๋าหยวนชานเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในการใช้พลังมนตรา ข้าจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคอันแสนยากลำบากมากว่าที่จะเชิญเขาให้มาถึงที่นี่ได้” ยู่เฉิงไห่ได้ตอบคำถามกลับไป
“ขอบคุณที่ลำบากเพื่อข้าถึงขนาดนี้ศิษย์พี่ใหญ่”
นักพรตเต๋าจางหยวนชานได้คารวะทั้งสองคนก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ารู้จักท่านยู่เฉิงไห่เป็นการส่วนตัว เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสิบสำนักใหญ่และศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนหน้านี้ทำให้ข้าไม่อาจที่จะลงจากหุบเขาไปได้ง่ายๆ โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่มาหาท่านล่าช้าถึงเพียงนี้ ท่านสีวู่หยา”
แม้จะบอกว่ารู้จักยู่เฉิงไห่เป็นการส่วนตัว แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริง แต่ไม่ว่าจะยังไงสีวู่หยาก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเก็บเรื่องแบบนี้มาคิด ในที่สุดตัวเขาก็ได้ตอบกลับมา “ขอบคุณที่มาหาข้า”
ยู่เฉิงไห่ได้หันกลับไปถาม “เจ้ามีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหนกันนักพรตเต๋าหยวนชาน? “
“ข้าได้เรียนรู้เรื่องของมนตรามากว่าหลายศตวรรษแล้ว ข้าไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็มีวิธีมากมายหลายอย่างที่จะคลายพลังมนตราอยู่เสมอ”
“เยี่ยมมาก! “
“ช่วยแสดงให้พวกเราได้เห็นที” จางหยวนชานและยู่เฉิงไห่ได้เดินเข้าไปในกระท่อมอันแสนจะเงียบสงบ
สีวู่หยาได้ถอดเสื้อผ้าส่วนบนออกจากร่างกายของตัวเอง ในตอนนั้นอักษรคำว่า ‘ผนึก’ ได้ปรากฏให้จางหยวนฉานได้มองอย่างชัดเจน
ทันทีที่จางหยวนชานเห็นพลังผนึกมนตรา ตัวเขาก็พยักหน้าในทันที ตัวเขารู้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง “ข้ามั่นใจเลยว่าพลังผนึกมนตรานี่แข็งแกร่ง แต่ถึงแบบนั้นข้าก็สามารถคลายพลังมันได้อย่างแน่นอน”
“ข้ารู้สึกโล่งใจจริงๆ ที่ได้ฟังแบบนั้น” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างโล่งอก
จางหยวนชานได้เดินไปที่ด้านหลังของสีวู่หยา
สีวู่หยาในตอนนี้เข้าใจสิ่งที่จางหยวนชานต้องการจะทำดี ตัวเขาจึงรีบนั่งนั่งขัดตะหมาดเอาไว้
จางหยวนชานได้ยกมือข้างขวาขึ้น ในตอนนั้นเองพลังสีทองที่มีลักษณะคล้ายกับตัวหนังสือก็ได้ปรากฏออกมา มันอยู่บนฝ่ามือของเขาแล้วนั่นเอง นักพรตเต๋าคนนี้ได้ซัดฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังสีทองไปที่หลังของสีวู่หยา