ในตอนที่ฝ่ามือสัมผัสกับหลังของสีวู่หยา ในตอนนั้นมีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น มีคลื่นพลังได้ระเบิดออกมาจากหลังของสีวู่หยา
ด้วยระยะห่างที่ใกล้กันจนเกินไปทำให้นักพรตเต๋าจางหยวนชานไม่ทันที่จะได้ตอบโต้อะไร เขาไม่มีเวลามากพอที่จะปกป้องตัวเองเอาไว้ได้ทัน พลังแสงสีทองของตัวเขาได้สะท้อนกลับเข้าใส่หน้าอกของตัวเอง นักพรตเต๋าผู้นี้ได้กระเด็นถอยหลังกลับไป
ที่กระท่อมอันเงียบสงบนี้เองถูกสร้างขึ้นมาจากไม้ธรรมดาๆ เมื่อจางหยวนชานได้ชนเข้ากับเสาที่อยู่ทางด้านหลัง เสาในกระท่อมก็ได้หักโค่นลงในทันที
สีวู่หยาในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเลยเมื่อตัวเขาหันกลับไปมอง
ยู่เฉิงไห่ได้แต่ตกตะลึง ตัวเขารีบเดินไปทางด้านหลังเพื่อเฝ้ามองดูเหตุการณ์ “นักพรตเต๋า? “
สีหน้าของจางหยวนฉานมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนมองดูไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินเสียงของยู่เฉิงไห่ตัวเขาก็รีบเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะฝืนยิ้มอย่างเจ็บปวด “ข้าสบายดี ข้าแค่ต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของพลังผนึกมนตราก็เท่านั้น การจะทำลายพลังนั่นไม่ใช่เรื่องยากเลย”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ…ช่วยศิษย์น้องข้าที” ยู่เฉิงไห่ทำท่าเชิญชวนอีกครั้ง
จางหยวนฉานเดินกลับไปที่ด้านหลังของสีวู่หยา ในตอนนี้ตัวเขามีประสบการณ์มาแล้ว ด้วยความเจ็บปวดที่เพิ่งจะได้รับมาตัวเขาไม่กล้าที่จะดูถูกพลังผนึกมนตราอีกต่อไป ‘พลังผนึกมนตรานี่มันทรงพลังอะไรแบบนี้…ข้าไม่เคยถูกพลังตีกลับมาก่อนแม้ว่าจะคลายพลังผนึกมนตรามาแล้วกว่าหลายครั้งด้วยกัน’
จางหยวนชานได้สะบัดผมหางม้าของเขาเอาไว้ที่ด้านหลังก่อนที่จะยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นมา ฝ่ามือทั้งสองเต็มไปด้วยพลังสีทองที่ดูคล้ายกับตัวอักษรอีกครั้ง คราวนี้พลังมันสว่างไสวกว่าเดิมมาก ตัวเขาได้จ้องมองไปที่ด้านหลังของสีวู่หยาอย่างไม่ละสายตา หลังจากนั้นจางหยวนชานก็ได้ซัดฝ่ามือคู่ไปที่ด้านหลังก่อนจะส่งเสียงออกมา “จงคลาย! “
พรึ๊บ!
เมื่อพลังสีทองถูกซัดไปที่ด้านหลังของสีวู่หยา ในตอนนั้นเองพลังที่ซัดเขาไปในร่างกายก็ได้ระเบิดพลังออกมา
ด้วยพลังจากแรงปะทะทำให้สีวู่หยากระเด็นไปที่ด้านหน้า สีวู่หยาได้กระอักเลือดออกมายกใหญ่!
นักพรตเต๋าเองก็เป็นเช่นเดียวกัน จางหยวนชานได้กระเด็นถอยกลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาก็ได้กระอักเลือดออกมาเช่นกัน
“ศิษย์น้องเจ็ด! ” สีหน้าของยู่เฉิงไห่เปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นแบบนั้น ตัวเขารีบใช้พลังอันแสนจะเบาบางเพื่อพยุงตัวสีวู่หยาให้กลับมานั่งเช่นเดิม ยู่เฉิงไห่ไม่มีเวลาที่จะเป็นห่วงอาการของจางหยวนชานอีกต่อไป ตัวเขากำลังตรวจสอบร่างกายของสีวู่หยาดู
หน้าของสีวู่หยาซีดเผือด เลือดที่ไหลออกมาจากริมฝีปากทำให้รู้ได้ทันทีว่าสีวู่หยากำลังบาดเจ็บภายใน
ในตอนนั้นเอง
“ติ้ง! ลงโทษศิษย์ทรยศสีวู่หยาสำเร็จ ได้รับแต้มบุญ: 500”
“เจ้านั่นคงจะคิดคลายพลังผนึกมนตราอีกแล้วสินะ? ” ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง
ตัวเขาไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ดูเหมือนว่าตัวเขาจะได้รับแต้มบุญจากการสั่งสอนศิษย์ไม่รักดีคนนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตัวเขารู้ดีว่าศิษย์ทรยศคนนี้จะต้องพยายามคลายพลังผนึกมนตรา และเพราะความพยายามผิดๆ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ก็ถือเป็นเสมือนบทลงโทษ
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะยังไงตัวเขาก็เป็นผู้พานักพรตเต๋าจางหยวนชานมาที่นี่ ถ้าหากสีวู่หยาได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าตัวเขาแทบที่จะปัดความรับผิดชอบทิ้งไปไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นสีวู่หยาได้รับพลังผนึกมนตราแทนตัวเขา ไม่เพียงแต่เขาจะช่วยสีวู่หยาคลายพลังไม่ได้ ตัวเขากลับทำร้ายผู้เป็นศิษย์น้องผู้หวังดีคนนี้อย่างไม่ตั้งใจอีกด้วย นี่ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่จะทำให้ยู่เฉิงไห่รู้สึกผิด
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร…เป็นไปอย่างที่คาดคิดเอาไว้ไม่มีผิด” สีวู่หยาได้ยืดหลังตรงก่อนที่จะเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเองออกไป
ยู่เฉิงไห่ได้เดินไปเดินมา ตัวเขาได้เดินกลับไปยังด้านหลังกระท่อมก่อนที่จะจ้องมองไปที่จางหยวนชานที่กำลังนอนอยู่บนพื้น “จางหยวนชาน”
จางหยวนชานสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวจากน้ำเสียงของยู่เฉิงไห่ หัวใจของเขาเต้นรั่วอย่างไม่เป็นจังหวะ ในตอนนั้นตัวเขาได้แต่รีบลุกขึ้นมาอย่างเร่งรีบ นักพรตเต๋าได้เช็ดเลือดออกจากมุมปากก่อนที่จะพูดออกมา “ได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้งด้วยเถอะ! ข้าก็แค่ประมาทเกินไป ข้าไม่คิดเลยว่าพลังผนึกมนตรานี่จะทรงพลังถึงเพียงนี้ ข้าไม่เคยเห็นพลังผนึกมนตราที่ไหนเป็นแบบนี้มาก่อน เหตุใดมันถึงสะท้อนพลังกลับมาในตอนที่ข้ากำลังคลายพลังกัน? “
เมื่อได้ยินแบบนั้นยู่เฉิงไห่ก็ได้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “พวกอ่อนแอก็มักที่จะมีข้ออ้างนับร้อยพันเสมอ”
“ท่านเจ้าสำนักยู่ ท่านกำลังหมายความว่าอะไรกัน? “
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว…น่าเสียดายที่เจ้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ”
“ท่าน…” จางหยวนชานรู้ดีว่ายู่เฉิงไห่กำลังหมายความว่าอะไร
ยู่เฉิงไห่ได้หันหลังกลับไป
จางหยวนชานรีบพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ท่านสัญญากับข้าว่าถ้าหากข้าคลายพลังมนตราได้ ท่านจะพักเรื่องการต่อสู้ระหว่างสำนักอเวจีและสำนักเซียนสวรรค์ไป ท่านจะกลับคำพูดอย่างงั้นหรอ? “
ยู่เฉิงไห่ไม่อยากที่จะเสียเวลาพูดคุยกับจางหยวนชานอีกต่อไป ตัวเขาได้โบกมือขึ้นมาก่อนที่จะพูดอย่างไร้อารมณ์ “ช่วยไปส่งเจ้านั่นให้ข้าทีนะ”
ในตอนนั้นมีร่างของใครบางคนได้เคลื่อนไหวมาอย่างรวดเร็ว
พื้นที่ที่อยู่รอบตัวของจางหยวนชานดูเหมือนจะบิดเบี้ยวไปด้วยพลังอันมหาศาล มันเป็นภาพที่ไม่สามารถพบเจอได้ง่ายๆ
พรึ๊บ!
ร่างของจางหยวนชานถูกพลังเข้าไปเต็มๆ พลังได้ซัดไปที่อกของนักพรตเต๋าก่อนที่จะกระเด็นลอยหายไป
หลังจากนั้นไม่นานฮั๊วจงหยางก็ได้ปรากฏตัวขึ้น “น่าเสียดายจริงๆ ที่เจ้าไม่สามารถคลายพลังผนึกมนตราได้! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าตั้งใจที่จะทำร้ายท่านสีวู่หยาด้วยสินะ? “
จางหยวนชานได้กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นตัวเขาก็พยายามที่จะลุกขึ้นมาก่อนที่จะวิ่งหนีไปในทันที
ฮั๊วจงหยางที่เห็นแบบนั้นยังคงพูดต่อไปเหมือนกับจางหยวนชานยังอยู่ที่เดิม “ในตอนที่เจ้ากำลังคิดจะคลายพลังมนตรา เจ้าวางแผนที่จะใส่พลังมนตราเข้าไปใหม่อย่างงั้นสินะ…นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าถูกพลังสะท้อนกลับมา! เจ้าทำได้แต่โทษตัวเองแล้วล่ะที่รนหาที่ตายแบบนี้! “
ทันทีที่ฮั๊วจงหยางพูดจบ ตัวเขาก็ได้หายตัวไปในอากาศก่อนที่จะปรากฏตัวต่อหน้าจางหยวนชานอีกครั้ง พลังร่างอวตารของเขาปรากฏตัวขึ้น หลังจากนั้นหมัดของเขาก็ได้ลอยเข้าไปหานักพรตเต๋าผู้โชคร้าย
ในขณะเดียวกันสีวู่หยาไม่แม้แต่จะหันไปมองทิศที่จางหยวนชานจากไป ตัวเขาได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นด้วยหรอศิษย์พี่? “
“ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“ท่านกำลังวางแผนที่จะโจมตีสำนักเซียนสวรรค์อย่างงั้นสินะ? “
ยู่เฉิงไห่ส่ายหัว “นี่เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ…ในเมื่อเขาอยากจะตายถึงขนาดนั้น ข้าก็จะเติมเต็มความปรารถนาให้”
สีวู่หยาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ยู่เฉิงไห่ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าไม่คิดว่าพลังผนึกมนตรานี่จะทรงพลังถึงขนาดนี้…แม้แต่จางหยวนชานเองก็ไม่สามารถคลายมันได้! ข้าเกือบจะทำร้ายเจ้าแล้วแท้ๆ “
“ข้าไม่เป็นไรศิษย์พี่” สีวู่หยาได้พูดต่อ “ตลอดเวลาหลายปีมานี้ข้าไม่เคยเห็นท่านต้องเอาจริงเอาจังสักครั้ง”
“เป็นเพราะความใจกว้างของเจ้าต่างหากศิษย์น้องเจ็ด…เป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ ที่เจ้าไม่เลือกที่จะอยู่สำนักอเวจี! ตำแหน่งนักวางยุทธศาสตร์มันเหมาะกับเจ้าคนเดียวแท้ๆ ” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมา
สีวู่หยาในตอนนี้รู้สึกหมดหนทาง ตัวเขาได้รับการเสนอตำแหน่งนักวางยุทธศาสตร์มานานหลายปีแล้วหลังจากที่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามา ในตอนนั้นตัวเขาได้ปฏิเสธไป เพราะแบบนั้นสีวู่หยาจึงเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาแทน “เมื่อไม่นานมานี้ศิษย์พี่รองอยู่ที่นี่ด้วย”
“หืม? “
“ศิษย์พี่รองอยากฝากข้อความถึงท่าน ศิษย์พี่บอกเอาไว้ว่าดาบที่ดีจะต้องลับคมมันอยู่เสมอ ในอีกครึ่งปีนี้เขาอยากที่จะประมือกับท่าน” สีวู่หยาอดไม่ได้บิดเบือนคำพูดของยู่ฉางตงเลยแม้แต่นิดเดียว
ยู่เฉิงไห่ที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ
เสียงของฮั๊วจงหยางที่กำลังโจมตีจางหยวนชานได้ดังขึ้นมา ในตอนนั้นยู่เฉิงไห่ก็ได้พูดต่อไป “ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ข้าเองก็จะเติมเต็มความปรารถนาของเจ้านั่นเอง…”
สีวู่หยาได้ถามต่อ “ท่านอาจารย์เคยพูดเอาไว้ การเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าจะทำให้พวกเราทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ แต่ถึงแบบนั้นท่านอาจารย์ก็ไม่เคยอนุญาตให้ศิษย์ทั้งหลายฆ่ากันเอง นี่ถือเป็นกฎเหล็กของศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขึ้น ศิษย์พี่ต้องการที่จะทำแบบนั้นจริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
“เจ้าควรถามคำถามนี้กับศิษย์พี่รองของเจ้ามากกว่านะ” ยู่เฉิงไห่พูดออกมา
“แต่…แต่ท่านเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเรานะ…”
‘ใช่แล้ว ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ข้าก็ควรเป็นที่พึ่งพา ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ข้าควรจะอดกลั้นมากกว่านี้ ในฐานะศิษย์พี่ใหญ๋ข้าก็ควรที่จะผ่อนปรนให้มากกว่านี้’ เมื่อใดก็ตามที่ยู่เฉิงไห่คิดถึงเรื่องนี้ ตัวเขาก็จะสงบอารมณ์ลงได้ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน
ครู่ต่อมายู่เฉิงไห่ก็ได้ตบไปที่ไหล่ของสีวู่หยาก่อนที่จะเดินออกจากกระท่อมอันเงียบสงบไป “อย่าพูดถึงเรื่องน่าเศร้าแบบนั้นเลย ข้าจะรีบหาวิธีคลายพลังผนึกมนตราให้กับเจ้าเอง”
“ไม่ต้องเดือดร้อนตัวเองถึงขนาดนั้นหรอกศิษย์พี่…ข้าจะพยายามคิดหาวิธีทางทำลายพลังผนึกด้วยตัวเอง ยังไงซะนี่ก็ถือเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ทำ ข้าเกรงว่าจะมีเพียงท่านอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่คลายพลังผนึกนี่ได้”
ยู่เฉิงไห่หยุดเดินก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ากำลังวางแผนที่จะทำอะไรกัน? “
สีวู่หยายิ้มให้โดยที่ไม่พูดอะไร ตัวเขาได้โค้งคำนับยู่เฉิงไห่ก่อนที่จะพูดขึ้น “เดินทางระวังด้วยศิษย์พี่”
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ลืมตาขึ้นมาจากการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ตัวเขาในตอนนี้ดูเหมือนจะจดจำอะไรบางอย่างได้แล้ว ตัวเขาลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะที่มีภาพวาดเก่าแก่อยู่ ตัวเขาได้จ้องมองมันก่อนที่จะพึมพำอะไรบางอย่างออกมา “ถ้าสถานที่ที่อยู่ในภาพวาดจะมีชิ้นส่วนของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลืออยู่แล้วล่ะก็…”
ตัวเขาจ้องมองไปยังส่วนหนึ่งที่อยู่บนภาพวาด มันเป็นโครงสร้างที่ดูคุ้นตาตัวเขา “นี่มันพระราชวัง พระราชวังเป็นที่เก็บชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลืออย่างงั้นหรอ? “