เนื่องจากผู้เป็นอาจารย์ของจ้าวยู่ได้พูดทุกอย่างไปแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมาอีก จ้าวยู่ไม่ได้สนใจอะไรกับการเดินทางไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้เท่าไหร่ ยังไงซะนางก็ได้ขับพิษเย็นที่มีอยู่ในร่างกายออกมาจนหมดแล้ว ในตอนนี้จ้าวยู่สนใจเรื่องการฝึกฝนตนมากกว่าสิ่งอื่นใด
ในทางกลับกันหยวนเอ๋อรู้สึกกระตือรือร้นกว่าใครเพื่อน นางรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ออกมาจากภูเขาทอง นางรู้สึกมีความสุขมากกว่าการฝึกฝนตัวเองซะอีก ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนพลุกพล่านมากที่สุดแล้ว หยวนเอ๋อที่เป็นเด็กอยากที่จะมาเยือนเมืองแห่งนี้มาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นท่านอาจารย์ของนางก็ไม่เคยที่จะพานางมาเลย แต่ในวันนี้หยวนเอ๋อได้มีโอกาสมาที่นี่แล้ว เพราะแบบนั้นนางจะไม่รู้สึกดีใจได้ยังไงกัน?
ลู่โจวไม่อยากให้การเดินทางนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงไม่ได้เลือกใช้รถม้าลอยฟ้ามานั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นรถม้าลอยฟ้าในตอนนี้ยังได้รับความเสียหายที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม
เมื่อพวกเขาทั้งสามมาถึงชานเมือง พวกเขาทุกคนก็พบกับสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง บนถนนเป็นระเบียบมากกว่าเมืองไหนๆ ทั่วทุกมุมมีฝูงชนพลุกพล่านเกินความคาดหมายของหยวนเอ๋อไปมาก
แม้แต่ลู่โจวก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรก่อนที่จะสั่งการขึ้น “พวกเรารีบไปกันเถอะ”
หยวนเอ๋อไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ในใจก่อนที่จะเดินตามผู้เป็นอาจารย์ไป
จ้าวยู่เองเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์โดยที่ไม่ได้เห็นต่างอะไร นางเดินตามไปอย่างเชื่อฟัง
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะไปที่ไหนกัน? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาอย่างสงสัย
“พวกเราจะไปที่คฤหาสน์ขององค์ชายแห่งพลัง” [หมายเหตุนักแปล: ขอเปลี่ยนจากคฤหาสน์องค์ชายฉีเป็นคฤหาสน์องค์ชายแห่งพลังแทนนะครับ]
“คฤหาสน์องค์ชายแห่งพลังอย่างงั้นหรอ? ” หยวนเอ๋อรู้สึกสับสน
จ้าวยู่ได้เดินไปหาหยวนเอ๋อก่อนที่จะกระซิบอะไรบางอย่าง “เขาเป็นสหายของท่านอาจารย์เอง”
“หืม? ท่านอาจารย์มีสหายแบบนั้นด้วยหรอ? “
จ้าวยู่ได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบๆ แท้จริงแล้วนางก็ได้แต่ตัวสั่นไปด้วยความกลัว จ้าวยู่ไม่รู้เลยว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับเรื่องนี้ดี ‘ข้าควรจะอยู่ห่างๆ ศิษย์น้องเล็กเอาไว้จะดีกว่า ข้าน่ะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของท่านอาจารย์เหมือนกับเจ้า…’ ถ้าหากจ้าวยู่พูดแบบนี้ออกไปโดยที่อาจารย์ของนางได้ยิน นางจะต้องถูกลงโทษสถานหนักแน่
ทั้งสองจ้องมองผู้เป็นอาจารย์ของตัวเอง เมื่อเห็นว่าลู่โจวไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร พวกนางทั้งคู่ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ลู่โจวยังคงเดินต่อไปในขณะที่ลูบเคราตัวเองไปด้วย “หยวนเอ๋อ”
พรึ๊บ!
หยวนเอ๋อรีบคุกเข่าลงก่อนที่จะเอามือปิดหูตัวเองเอาไว้ “ท่านอาจารย์…ศิษย์ผิดไปแล้ว! ศิษย์จะไม่ทำอีก”
ในตอนนั้นเองฝูงชนบนถนนก็ได้แต่จ้องมองนาง
‘ทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงได้คุกเข่ากลางถนนกัน? ‘
‘เจ้าพวกนี้เป็นพวกประหลาดจริง! ‘
ลู่โจวได้หันกลับมาพร้อมกับสีหน้าสงสัย ‘ทำไมนางถึงได้คุกเข่าแบบนั้นด้วยล่ะ? ‘
“ลุกขึ้นได้แล้ว” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย
“ข้าว่าตาเฒ่านั้น…คงจะใจร้ายเกินไปหน่อยละมั้ง ก็แค่เด็กสาวคนเดียว ไม่เห็นจะต้องดูแลนางอย่างเย็นชาขนาดนั้นเลยแท้ๆ “
“ใช่แล้ว…สาวน้อยคนนั้นก็ยอมรับผิดแต่โดยดีแล้วแท้ๆ ถ้าหากเปรียบเทียบกับลูกสาวที่บ้านข้า สาวน้อยคนนี้คงจะเป็นนางฟ้าเลยก็ว่าได้”
“สาวน้อย รีบลุกขึ้นยืนเร็วเข้า ปู่ของเจ้าน่ะแก่มากแล้ว เพราะแบบนั้นจิตใจของเขาถึงได้คับแคบแบบนี้ยังไงล่ะ”
ลู่โจวที่ได้ยินเสียงพูดของชาวบ้านถึงกับพูดไม่ออก ‘พวกชาวบ้านพวกนี้ทำไมถึงมีจินตนาการล้ำลึกขนาดนั้นกันได้ล่ะ’
‘เจ้าพวกนี้น่ารำคาญจริงๆ ‘ หยวนเอ๋อลุกขึ้นมาด้วยความร้อนรนก่อนที่จะกระทืบเท้าลงบนพื้น
ตู๊ม!
พื้นที่อยู่ใต้เท้าของหยวนเอ๋อได้แตกกระจาย ฝูงชนตกใจมากจนอ้าปากเหวอ
‘นี่มัน…ช่างขัดกับรูปร่างของนางอะไรแบบนี้’
‘แท้จริงแล้วนางเป็นเด็กสาวที่ป่าเถื่อนหรอกหรอ! ‘
“ถ้าหากกล้าว่าปู่ของข้าอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าทั้งหมดเอง! ” หยวนเอ๋อได้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
เหล่าชาวบ้านที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้กระจัดกระจายไปในทันที ‘ความใจดีของพวกเราถือเป็นเจตนาร้ายอย่างงั้นหรอ? ทำไมพวกเราถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้
ลู่โจวที่ได้ฟังหยวนเอ๋อพูดแบบนั้นก็ได้แต่ลูบเครา ตัวเขารู้สึกพอใจกับการกระทำของหยวนเอ๋อมาก ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้นางก็คงจะสังหารชาวบ้านทั้งหมดไปแล้ว
ในครั้งนี้หยวนเอ๋อทำได้เพียงคู่ชาวบ้านทั้งหลาย นี้ถือว่าเป็นการปรับปรุงตัวของเด็กสาวครั้งใหญ่ก็ว่าได้
“ไปกันต่อได้แล้ว” ลู่โจวพูด
“ค่ะ” หยวนเอ๋อและจ้าวยู่ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนที่จะเดินต่อไป
เมื่อมาถึงตอนนี้ทั้งสองคนก็ได้เดินผ่านสี่แยกไป หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังกลุ่มผู้ฝึกยุทธที่ไม่ได้มีพลังสูงส่งอะไรก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ท่านอาจารย์ เจ้าพวกนั้นมาจากสำนักอเวจี”
ลู่โจวมองไปที่ทิศทางที่หยวนเอ๋อชี้
หลังจากนั้นหยวนเอ๋อก็ได้พูดต่อ “สำนักอเวจีถือเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพ แม้ว่าจะไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนอยากที่จะยุ่งเกี่ยวกับสำนักนี้ แต่สำนักอเวจีกลับกล้าที่จะแสดงตัวในที่แจ้งแบบนี้เลยอย่างงั้นหรอ? แล้วทางจักรวรรดิจะไม่ลงมือทำอะไรกับเรื่องนี้จริงๆ สินะ? “
“ไม่จำเป็นจะต้องสนเจ้าพวกนั้นหรอก” ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะเดินต่อไปในเมือง
จ้าวยู่ได้พูดต่อ “สำนักอเวจีถือเป็นสำนักฝ่ายอธรรม แต่สำหรับจักรวรรดิพวกสำนักอเวจีก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสิบสำนักฝ่ายธรรมะ โดยปกติแล้วพวกเขาก็มักที่จะต่างคนต่างอยู่กัน ยิ่งไปกว่านั้นข้ารู้จักศิษย์พี่ใหญ่ดี…มันเป็นวิธีของเจ้าคนทรยศนั่น…ข้าแน่ใจเลยว่าเจ้านั่นจะต้องผ่านมาแถวนี้แน่”
“เป็นอย่างงั้นนี่เอง” หยวนเอ๋อได้พยักหน้าไปทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจอะไรเลย
สำนักอเวจีไม่เคยแทรกแซงเรื่องของจักรวรรดิมาก่อน สำนักอเวจีมักจะเลือกรวมตัวกับสำนักฝ่ายอธรรมที่เล็กกว่าเพื่อขยายพลังอำนาจออกไป
เมื่อทั้งสามคนเดินผ่านเขตเมืองไป พวกเขาก็พบว่าตัวเองในตอนนี้กำลังอยู่ในเขตย่านของที่พักอาศัยแล้ว สภาพแวดล้อมรอบตัวของพวกเขาได้เปลี่ยนไปจนเงียบกว่าเดิมมาก
แม้ว่าความทรงจำเดิมของลู่โจวจะเลือนรางมากแค่ไหน แต่ทั้งสามก็ยังเดินตรงไปยังคฤหาสน์องค์ชายแห่งพลังได้ แม้ว่าจะผ่านมากว่าหลายปีแต่เส้นทางแห่งนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
“ท่านอาจารย์ ศิษย์จะไปเคาะประตูเอง”
คฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นที่พักของผู้ที่มีฐานะสูงส่งมากเกินไป เพราะแบบนั้นบันไดที่อยู่ตรงหน้าบ้านจึงสูงชันกว่าบ้านธรรมดาทั่วไป
ก่อนที่หยวนเอ๋อจะวิ่งไปเคาะประตู ในตอนนั้นประตูก็ได้เปิดออกมาช้าๆ ซะก่อน
คนใช้กว่าหลายคนได้ออกมาจากคฤหาสน์หลังนี้ และในที่สุดคนใช้สูงวัยคนหนึ่งก็ได้ก้าวเดินออกมาข้างหน้าก่อนที่จะเอ่ยปากพูดขึ้น “พวกเจ้าเป็นใครกัน? “
หยวนเอ๋อได้หันไปมองอาจารย์
“ฉินจานอยู่ไหนกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมาอย่างเยือกเย็น
ชายชราคนรับใช้คนนั้นรู้สึกโกรธ เหล่าผู้มาเยือนมากมายหลายคนต่างก็รู้สึกกังวลเสมอเมื่อต้องเอ่ยนามผู้เป็นเจ้านายของคนรับใช้คนนี้ออกมา คนรับใช้คนนี้ไม่ใช่คนรับใช้ธรรมดา คนรับใช้คนนี้อยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้มากว่าสองทศวรรษแล้ว เขาเป็นคนรับใช้ผู้เป็นที่รักของสมาชิกในคฤหาสน์ทุกคน ชายชราคนนี้เป็นคนรับใช้ที่พิถีพิถันกับเรื่องทุกๆ อย่าง และแน่นอนว่าเขายังจำเหล่าผู้มาเยือนส่วนใหญ่ได้ คนรับใช้สูงวัยคนนี้ยังเป็นชายผู้มากประสบการณ์ที่สามารถอ่านความคิดจิตใจของผู้อื่นได้อีกด้วย ตัวเขาหรี่ตาลงมองลู่โจว แขกผู้มาเยือนใหม่คนนี้
‘หืม? ‘ ดวงตาของพ่อบ้านที่จับจ้องไปที่ลู่โจวเบิกกว้างขึ้น! ดูเหมือนว่าเขาพอจะจำชายคนนี้ได้บ้าง ตัวเขาไม่กล้าที่จะสบประมาทชายชราคนนี้อีกต่อไป “สวัสดีนายท่าน ถ้าหากข้าน้อยจำไม่ผิดท่านก็คงจะมาจากภูเขาทองอย่างงั้นสินะ? “
แม้ว่าชายชราคนรับใช้คนนี้จะมีความเฉลียวฉลาดและการควบคุมอารมณ์ที่ดีมากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ขอเอ่ยชื่อของลู่โจวออกมาตรงๆ การจะเรียกชื่อของมหาวายร้ายผู้ที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งใต้หล้าคงจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ ดังนั้นคนรับใช้ชราจึงเลือกที่จะเรียกชื่อของสถานที่ที่ลู่โจวจากมาแทน ด้วยวิธีนี้จะทำให้ตัวเขาดูไม่ก้าวก่ายลู่โจว
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้า “เจ้าจำข้าได้สินะ? “
เมื่อได้ยินคำยืนยันแบบนั้น คนรับใช้ชราก็ได้คุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล
พรึ๊บ!
“ทะ…ท่านผู้อาวุโส! ” แม้ว่าจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของลู่โจว แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังหลีกเลี่ยงที่จะเรียกชื่อของลู่โจวตรงๆ ออกมา คนรับใช้ชราคนนี้ฉลาดมากพอจนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงวิธีการทำไม่ให้แขกไม่พอใจได้
หยวนเอ๋อและจ้าวยู่ต่างก็ตกใจกับภาพที่ได้เห็น อาจารย์ของพวกนางมีชื่อเสียงจนคนทั้งโลกรู้จักกันอย่างแพร่หลาย อาจารย์ของพวกนางเป็นถึงมหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก เพียงแค่ได้ยินชื่อเท่านั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธทั่วโลกก็จะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะหลบหนีผู้เป็นอาจารย์คนนี้ แต่คนรับใช้สูงวัยที่อยู่ตรงหน้านี้กลับเลือกที่จะคุกเข่าก่อนที่ก้มหน้าทำความเคารพให้ ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์ของพวกนางมีความสัมพันธ์พิเศษบางอย่างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
จ้าวยู่ได้พูดขึ้น “ตอบคำถามมา”
หยวนเอ๋อเองก็พยักหน้าก่อนจะพูดตามผู้เป็นศิษย์พี่ “ใช้แล้ว ตอบคำถามมาซะ”
ในพระราชวังมีกฎเกณฑ์มากมายหลายอย่าง แต่ถึงแบบนั้นที่นี่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ แแล้วผู้คนทั้งหลายก็ยังเลือกใช้วิธีการคุกเข่าของทางจักรวรรดิ
คนรับใช้ชราได้พูดออกมา “ข้า…เคยเห็นท่าน…ท่านผู้อาวุโส ภาพเหมือนของท่านตั้งอยู่ในห้องเจ้านายของข้า”
“ภาพเหมือนอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวพยายามนึกย้อนไปที่ความทรงจำ ตัวเขาจำภาพที่เคยพบกับเจ้าชายแห่งพลังลมฉีจานครั้งแรกได้ แต่ในตอนนั้นที่รอบตัวของฉินจานไม่ได้มีใครที่ดูเหมือนกับนักวาดภาพอยู่เลย ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะจ้างนักวาดภาพวาดภาพเหมือนของตัวเขาขึ้นมาทีหลัง ‘แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร’
แม้ว่าลู่โจวจะเคยใช้การ์ดพลังชีวิตจนทำให้ตัวเองดูเปลี่ยนแปลงไป แต่ถึงแบบนั้นรูปร่างของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจนดูเป็นเหมือนกับคนละคน เพราะแบบนั้นคนรับใช้สูงวัยคนนี้จึงสามารถจดจำคนพิเศษแบบลู่โจวได้ ถ้าหากลู่โจวมีการ์ดพลังชีวิตที่มากกว่านี้ ตัวเขาในอนาคตก็จะดูอ่อนกว่าวัยไปอีกมาก เมื่อถึงเวลานั้นแม้แต่ผู้ที่มีความจำเป็นเลิศก็ยากที่จะจดจำตัวเขาได้
“ขอเชิญทางนี้ท่านผู้อาวุโส! “
คนรับใช้สูงวัยคนนี้รู้วิธีดูแลแขกคนสำคัญดี เมื่อรู้สถานะที่แท้จริงของแขกแล้วตัวเขาจึงเลือกที่จะนำทางแขกทั้งสามไปล่วงหน้า
ลู๋โจวพยักหน้ามาอย่างพอใจหลังจากนั้นตัวเขาก็ได้เดินเข้าไปในคฤหาสน์องค์ชายแห่งพลัง ภายในห้องนั่งเล่น คนรับใช้สูงวัยคนนี้เลือกที่จะเสิร์ฟชาที่ดีที่สุดในคฤหาสน์ให้กับพวกของลู่โจว
ลู่โจวไม่ได้สนใจเรื่องของชาเลย ตัวเขาได้เลือกที่จะถามออกมาแทน “ฉินจานอยู่ไหนกัน? “
คนรับใช้สูงวัยที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้พูดตอบกลับมาด้วยความเคารพ “ท่านผู้อาวุโส เจ้านายของข้าได้เดินทางไปยังเมืองจักรวรรดินานแล้ว เจ้านายของข้าคงจะมาถึงที่นี่ในอีกครึ่งวัน ท่านผู้อาวุโสได้โปรดพักผ่อนตามสบาย”
ในตอนที่เสียงคนรับใช้สูงวัยยังไม่จางหาย ในตอนนั้นเสียงที่เปี่ยมพลังก็ได้ดังขึ้นมา “เฒ่าหง…ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าพวกเรามีแขกคนสำคัญอยู่ไม่กี่คนน่ะ? “