กายาสีทองที่ได้เห็นจะต้องเป็นพลังอวตารรูปแบบหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วพลังของผู้ใช้จะไม่ได้แตกต่างอะไรกับผู้ใช้พลังร่างอวตาร
“นี้มันพลังกายาทองคำ! “
“นี้มันยอดฝีมือชาวพุทธ”
“นี่จะต้องเป็นปรมาจารย์ชาวพุทธแน่! “
พลังร่างทองคำนี้มันดูใหญ่กว่าพลังอรหันต์กายาทองคำอย่างเห็นได้ชัด
พลังอรหันต์กายาทองคำมีพลังเทียบเท่าได้กับพลังร่างอวตารร้อยวิถีดอกบัวห้ากลีบ ส่วนพลังพระโพธิสัตว์กายาทองคำเป็นพลังที่เทียบเท่าได้กับพลังอวตารร้อยวิถีดอกบัวหกกลีบ และพลังพระพุทธเจ้ากายาทองคำเป็นพลังที่เทียบเท่าได้กับพลังอวตารร้อยวิถีดอกบัวเจ็ดกลีบ
พลังทองคำที่ได้เห็นก่อนหน้านี้จะต้องเป็นพลังพระพุทธเจ้ากายาทองคำไม่ผิดแน่ ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงการที่จะมีปรมาจารย์ชาวพุทธอยู่ที่นี้ด้วยก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร
เจียงอาเฉียนเคยเห็นลู่โจวปลดปล่อยพลังพระพุทธเจ้ากายาทองคำที่แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ในตอนนั้นเจียงอาเฉียนยังคงจำภาพได้ดี ตัวเขาได้หันไปมองลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “เมื่อเทียบกับพลังพระพุทธเจ้ากายาทองคำที่ท่านผู้อาวุโสใช้ พลังที่ได้เห็นนี้ก็แทบที่จะไม่มีค่าอะไรเลยจริงๆ …”
ฉินจานที่ได้ฟังแบบนั้นได้ถามออกมาอย่างสับสน “ท่านผู้อาวุโสเองก็รู้จักเคล็ดวิชาของพวกชาวพุทธด้วยอย่างงั้นหรอ? “
“ท่านผู้อาวุโสไม่เพียงแค่รู้จัก พลังของท่านยังคงไม่เป็นสองรองใครอีกด้วย…” เจียงอาเฉียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมเชยลู่โจว นับตั้งแต่ที่เห็นพลังของลู่โจว เมื่อใดก็ตามที่เจียงอาเฉียนพบกับผู้ฝึกยุทธชาวพุทธคนอื่นๆ เขาก็อดที่จะเปรียบเทียบพลังไม่ได้เลย
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามสำหรับคนอื่นๆ พวกเขาทุกคนล้วนแต่ประทับใจกับพลังที่ได้เห็น!
แคล๊ง! แคล๊ง! แคล๊ง!
ดาบลอยฟ้าที่พุ่งชนพลังร่างทองคำได้ร่วงหล่นสู่พื้นก่อนที่จะลอยกลับไปที่เดิม
ปรมาจารย์ชาวพุทธคนนั้นได้อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มลึก “มีแต่ขยะไร้ค่าทั้งนั้น”
‘หืม? ‘ คนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ทำไมปรมาจารย์ชาวพุทธผู้ยิ่งใหญ่ถึงเลือกที่จะใช้คำพูดหยาบคายแบบนี้กัน?
“ทิ้งดาบพวกนั้นไปซะ! ” ปรมาจารย์ชาวพุทธได้ตะโกนเสียงดัง
“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว…” เมื่อได้เห็นพลังของยอดฝีมือที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะจับดาบที่ขโมยมา ทุกๆ คนได้โยนดาบทั้งหมดทิ้งไปข้างทาง
เมื่อดาบทุกเล่มที่ถูกขโมยมาตกลงบนพื้น พวกมันก็เริ่มลอยขึ้นมาก่อนที่จะกลับไปยังที่เก่า ม่านพลังดาบได้หยุดการโจมตีอย่างช้าๆ ก่อนที่จะกลับคืนสู่สุสานไป ถ้าไม่ใช่เพราะแสงสว่างทั้งเจ็ดที่อยู่ในนั้น ทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่คงจะคิดไปแล้วว่ามีคนคอยควบคุมดาบพวกนี้อยู่
เมื่อม่านพลังแห่งดาบทั้งเจ็ดได้ถอยกลับไป พลังพุทธเจ้ากายาทองคำเองก็หายไปด้วย
ความพยายามของผู้ฝึกยุทธในก่อนหน้านี้ล้วนแต่ไร้ผล พวกเขาทั้งหมดจะต้องเผชิญปัญหามากมายกว่าที่จะได้ครอบครองดาบพวกนี้เอาไว้ ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ปรมาจารย์ชาวพุทธ ในที่สุดพวกเขาทุกคนก็ได้มองเห็นรูปลักษณ์ของปรมาจารย์ได้อย่างชัดเจน เขาคนนี้เป็นชายรูปร่างผอมแห้ง ที่ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยเสื้อคลุมนักบวชสีเทา ที่ศีรษะเองก็สวมหมวกของนักบวชเช่นกัน ชายคนนี้ดูอายุไม่มากนัก ความจริงแล้วเขาคนนี้คงจะมีอายุราวๆ 60 ปีเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้อายุมากมายอะไรแต่ถึงแบบนั้นเขากลับดูมีพลัง
“ปรมาจารย์นักบวชจริงด้วย! เร็วเข้าพวกเรารีบโค้งคำนับท่านผู้มีพระคุณเร็ว”
ในตอนนั้นเองเจียงอาเฉียนก็ได้ฉีกยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “กงหยวน…เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน”
นักบวชคนนั้นขมวดคิ้ว สายตาที่แหลมคมของเขามองไปที่เจียงอาเฉียน
คนอื่นๆ ที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็ตื่นตกใจ
“ปรมาจารย์กงหยวนอย่างงั้นหรอ? “
“ปรมาจารย์กงหยวนจากวิหารแห่งความว่างเปล่า? “
วิหารแห่งความว่างเปล่าเป็นหนึ่งในวิหารใหญ่ทั้งสี่ของชาวพุทธที่ได้รับความเคารพเสมอมา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองรูหนานก็ทำให้ชื่อเสียงของวิหารแห่งความว่างเปล่าต้องมัวหมองไป แต่เนื่องจากกงหยวนยังคงเป็นยอดฝีมือเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะรู้สึกกลัวเขา
“เจ้ารู้จักข้าอย่างงั้นหรอ? ” กงหยวนได้ถามออกมา
“ปรมาจารย์กงหยวน…ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงแต่งกายเป็นนักบวชผู้เยาว์แบบนี้ ถ้าหากท่านคิดจะปลอมตัวจริงท่านก็ควรที่จะเก็บซ่อนลูกประคำจะดีกว่านะ ลูกประคำที่ท่านพกมาด้วยมันดูเตะตาจนเกินไป”
กงหยวนมองไปที่ลูกประคำของตัวเอง การที่ตัวเขาจะใช้พลังกายาทองคำได้กงหยวนจะต้องปลดปล่อยพลังลมปราณที่มีผ่านลูกปะคำของตัวเอง
ในสี่วิหารชาวพุทธ กงหยวนเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สวมใส่ลูกประคำอยู่กับตัว
ในตอนนี้การปกปิดตัวตนไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป “ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องซ่อนตัวอีก ข้าตั้งใจที่จะมาตามหาดาบมารที่อยู่ในสุสารแห่งดาบ ข้าไม่ต้องการดาบเล่มอื่นนอกจากเล่มนั้น เพราะแบบนั้นพวกเจ้าก็เชิญเอามันไปได้เลย…มีใครจะว่าอะไรไหม? “
ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะต่อรองกับกงหยวน
ท้ายที่สุดแล้วคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะมีสิทธิ์พูดเสมอ ไม่ว่าจะคิดในแบบไหนยังไงซะทุกคนก็ไม่มีควรค่าพอที่จะใช้ดาบมารอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมีใครบางคนแข็งแกร่งพอที่จะทำลายม่านพลังแห่งดาบได้ การที่จะครอบครองดาบที่เหลือก็คงจะไม่ใช่ทางเลือกที่แย่เลย
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วก็แล้วแต่ท่านปรมาจารย์เถอะ”
“ท่านปรมาจารย์…ข้าไม่มั่นใจเลยว่าท่านจะไปถึงดาบมารที่ว่าได้ไหม ในตอนนี้มีม่านพลังแห่งดาบที่ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่งปกป้องทางเดิน ท่านจะทำลายม่านพลังที่ว่าได้ยังไงกัน? “
ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ก็ได้แต่เงียบ
เจียงอาเฉียนเองอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายธรรมะแท้จริงแล้วขี้ขลาดตาขาวยิ่งกว่าคนธรรมดาซะอีก นักบวชหัวโล้นพวกนี้เองก็ไม่ได้แตกต่างกัน นักบวชผู้ทรงศีลกลับไม่ได้นึกถึงศีลแม้แต่อย่างใด
กงหยวนมองไปที่ม่านพลังแห่งดาบก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าได้เตรียมพร้อมทุกอย่างสำหรับดาบเล่มนั้นแล้ว ใครไม่เห็นด้วยกับข้าหรืออยากที่จะครอบครองดาบมารเช่นกันให้แสดงตัวออกมาซะ! ” กงหยวนได้พูดข่มขู่ทุกคน
ทันทีที่พูดจบก็มีคนสองคนได้แยกตัวออกมาก่อนที่จะจากไป
เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาเบาๆ “ดูเหมือนจะมีบางคนที่ยังมีความกล้าอยู่สินะ…”
กงหยวนไม่ได้หยุดพวกเขา สายตาของเขาได้จับจ้องไปที่กลุ่มของลู่โจว “แล้วพวกท่านเองมีอะไรจะพูดรึเปล่า? “
เจียงอาเฉียนได้ตอบกลับไป “มีสิ”
“เชิญพูดเลยท่านทั้งหลาย” กงหยวนตอบกลับ
กงหยวนไม่เคยพบกับลู่โจวมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นที่สุสานแห่งดาบก็มืดจนเกินไป กงหยวนเลยไม่ทันได้สังเกตว่าลู่โจวยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก
เจียงอาเฉียนได้พูดออกมา “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเจ้าไม่สามารถทำลายม่านพลังแห่งดาบพวกนี้ได้? “
กงหยวนได้ตอบกลับมา “ตั้งแต่ข้ามาที่นี่ ข้าก็รู้สึกมั่นใจว่าข้าจะต้องสามารถทำลายมันได้แน่
“เจ้าไม่คิดว่าจะไม่สามารถทำลายได้บ้างหรอ…ถ้าหากเจ้าทำลายม่านพลังที่ขวางกั้นอยู่ไม่ได้ เจ้าก็คงจะไม่อาจที่จะรับดาบมารเล่มนั้นไปได้! ช่างเป็นคนไร้ยางอายเช่นนี้” เจียงอาเฉียนได้พูดขึ้น
ลู่โจว, หยวนเอ๋อ และฉินจานต่างก็มองไปที่เจียงอาเฉียน พวกเขารู้สึกประทับใจในฝีปากของชายคนนี้มาก
กงหยวนนับว่าเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่ง ตัวเขาเป็นถึงเจ้าอาวาสของวิหารแห่งความว่างเปล่า กงหยวนคนนี้ไม่เคยที่จะปล่อยให้ใครตั้งคำถามแบบนี้กับเขามาก่อน ตัวเขาได้ตอบกลับไปในทันที “ถ้าหากข้าทำลายม่านพลังไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงข้าก็จะไม่ขอรับดาบมารเอาไว้ แต่ถ้าหากข้าไม่สามารถทำได้แล้วใครกันล่ะที่จะสามารถทำได้? “
เจียงอาเฉียนได้ตอบกลับ “ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ถ้าหากม่านพลังนี้ถูกทำลายจริงๆ ยังไงซะมันก็ไม่ใช่ฝีมือของเจ้าแน่”
กงหยวนจ้องมองไปที่เจียงอาเฉียนอีกครั้ง เมื่อทั้งสองได้สบตากัน เจียงอาเฉียนก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งตรงมาได้ทันที หัวใจของเจียงอาเฉียนเต้นไม่เป็นจังหวะ ‘นี้คือสิ่งที่ปรมาจารย์ชาวพุทธควรจะมีอย่างงั้นหรอ? ‘ ตัวเขาได้ถอยห่างไปก่อนที่จะหลบหลังลู่โจว
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างห้วนๆ “ลงมือซะเถอะ”
“ลงมือซะสิ…” เจียงอาเฉียนเองก็พูดออกมาเช่นกัน
‘เขาพยายามใช้จิตสังหารข่มขู่คนอื่นอย่างงั้นหรอ? เจ้านี่มันกล้าดียังไงกัน! ‘
กงหยวนไม่ได้สนใจอะไรเจียงอาเฉียนอีกต่อไป ตัวเขาได้หันไปพูดกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ แทน “เหล่าสาวกของสำนักแก่นแท้แห่งหัวใจ, สำนักเจ็ดดวงดาว, สำนักเซียนสวรรค์ และสำนักเฮ้งชู พวกเจ้าทั้งหมดเตรียมพร้อมซะ” กงหยวนได้ออกคำสั่งกับเหล่าสาวกสี่สำนักใหญ่โดยตรง
สาวกกว่า 20 คนได้ก้าวไปข้างหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ได้โปรดมอบคำสั่งให้กับพวกเราด้วยท่านปรมาจารย์”
“ข้าอยากที่จะเห็นความสามารถที่แท้จริงของพวกเจ้า…อย่าทำให้เจ้าสำนักของพวกเจ้าต้องอับอายไปได้ล่ะ” กงหยวนได้พูดขึ้น
เหล่าสาวกกว่า 20 คนต่างก็สบตากัน พวกเขาได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา ท่ามกลางเหล่าสาวกทั้งหมดผู้ที่มีพลังวรยุทธสูงสุดเพิ่งจะฝึกฝนตัวเองไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูและขั้นศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะไม่เห็นด้วยแต่ยังไงซะพวกเขาก็ไม่อาจที่จะต่อกรกับกงหยวนได้เลย
“พวกเรามาเริ่มกันเถอะ” ใครบางคนพูดขึ้น
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายกลับไปยืนตำแหน่งเดิมก่อนที่จะใช้พลังร่างอวตารออกมาอีกครั้ง
เจียงอาเฉียนไม่อาจทนมองร่างอวตารที่ดูไร้เรี่ยวแรงพวกนั้นได้ ตัวเขาได้แต่มองดูอย่างเห็นใจก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโส…เจ้าพวกนั้นจะไหวไหม? “
“ไม่ต้องรีบร้อน” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ถ้าหากพวกเขาฝ่าม่านพลังแห่งดาบไปได้จริง ตัวของลู่โจวเองก็ไม่ต้องออกแรงอะไร ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็จะได้ไม่ต้องพึ่งพาพลังการ์ดพิเศษที่มีอีกด้วย
กงหยวนได้เหลือบมองเจียงอาเฉียนอีกครั้ง ที่ลึกๆ ในดวงตาของเขามีจิตสังหารซ่อนอยู่เช่นเดิม ในตอนนั้นเองมีเสียงพลังได้ดังขึ้นมาเบาๆ เสื้อคลุมของกงหยวนได้สะบัดขึ้นไปตามแรงลม ท้ายที่สุดแล้วก็มีแสงสว่างสีทองปรากฏออกมา
“กระจกแห่งแสง”