โลงศพสีดำได้ลอยอยู่กลางอากาศ มันหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบท่านที่นี่ พี่จี”
ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง “ม่านพลังแห่งดาบทั้งเจ็ดรวมไปถึงดาบมารเป็นสิ่งที่เจ้าทำขึ้นมาอย่างงั้นสินะ? “
“ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับม่านพลังนั่น…” ถ้าหากจะตีความจากคำตอบเขา ดูเหมือนว่าหยวนดู่คนนี้จะเป็นผู้ที่ทิ้งดาบมารเอาไว้ที่หลุมฝังศพเอง
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเจ้าอยู่ในโลงศพนั่น เจ้าฝึกฝนตัวเองไปถึงไหนกันแล้วล่ะ? “
หยวนดู่ได้ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะตอบ “ข้าฝึกฝนทักษะดาบได้ก้าวหน้าขึ้นบ้างแล้ว แต่พลังวรยุทธของข้าก็ยังไม่อาจก้าวหน้าไปได้ และเพราะแบบนั้นข้าก็เลยไม่สามารถใช้ทักษะดาบอย่างเต็มที่ได้ ในตอนนี้ข้าไม่แน่ใจเลยว่าจะเป็นคู่ต่สู้ที่เหมาะสมกับท่านได้ไหม”
หยวนดู่และลู่โจวต่างก็เป็นผู้ที่มีพลังลึกล้ำยากที่ใครจะเทียบเคียงได้ แต่คงจะมีเพียงหยวนดู่คนเดียวเท่านั้นที่อยากจะเอาชนะลู่โจว
“เจ้ายังต้องการเอาชนะข้าอีกอย่างงั้นหรอ? “
“ข้าไม่ใช่คนเดียวในใต้หล้านี้หรอกนะที่อยากเอาชนะท่านน่ะ” หยวนดู่ได้ตอบกลับ
“ดี…”
คำตอบยังคงเป็นความจริง ในโลกใบนี้มีผู้คนมากมายอยากที่จะได้ทรัพย์สมบัติของศาลาปีศาจลอยฟ้า อีกหลายคนก็อยากที่จะสังหารมหาวายร้ายที่อยู่ที่นั่นเช่นกัน
ในตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าลู่โจวและหยวนดู่ต่างก็เป็นคู่ปรับเก่ากันมาก่อน เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครกล้าขัดบทสนทนาระหว่างผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยอกล้อได้ดังขึ้นมาจากโลงศพอีกครั้ง “ข้าน่ะสงสัยจริงๆ …อะไรกันที่ทำให้ปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงกับต้องมาที่สุสานแห่งดาบนี่ได้? ท่านมาเพื่อเอาดาบมารของข้าอย่างงั้นหรอ? ท่านน่ะมีสมบัติมากมายอยู่แล้ว ทำไมต้องการอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ? “
บรรยากาศการพูดคุยเริ่มเปลี่ยนไป แรงกดดันที่มาจากโลงศพในก่อนหน้านี้ได้ลดน้อยลงไปมากเช่นกัน
ลู่โจวได้ตอบกลับไป “มีของของข้าอยู่ในห้องใต้ดินจักรพรรดิ”
“ท่านยังคงขี้เหนียวเช่นเคยสินะ พี่จี…ของที่ท่านว่าคงจะเป็นของสิ่งนี้สินะ? ” ในตอนที่เสียงของหยวนดูยังไม่ได้จางหายไป ตัวเขาก็ได้พลิกกลับด้านโลงศพก่อนที่จะทิ้งหนังสือเล่มหนึ่งออกมา หลังจากที่ทิ้งหนังสือเสร็จโลงศพก็กลับด้านก่อนที่จะปิดตัวลงเช่นเคย
ลู่โจวที่เห็นหนังสือได้จับมันเอาไว้อย่างว่องไว เมื่อสัมผัสกับหนังสือตัวเขาก็พบกับความเหน็บหนาวที่ไหลผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามความเหน็บหนาวนี้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับลู่โจว พลังวรยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ของตัวเขาเพียงพอแล้วที่จะขับไล่พลังนี้ไปได้
หนังสือเล่มนั้นถูกห่อเอาไว้อย่างดี มันถูกตกแต่งด้วยสีประจำตระกูลของราชวงศ์ นอกจากนี้มันยังมีตรามังกรประทับเอาไว้ บางทีพวกราชวงศ์อาจจะกลัวว่าเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ชิ้นนี้จะเน่าเสียไปในสุสาน เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงห่อมันไว้อย่างดี
ลู่โจวได้พลิกดูหนังสือเล่มนั้น
“ติ้ง! ได้รับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ (ส่วนสุดท้าย) “
เป็นไปตามคาดไว้ มันเป็นชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นั่นเอง
ลู่โจวได้ปิดหนังสือเอาไว้ก่อนที่จะโยนไปให้กับหยวนเอ๋อ
หยวนเอ๋อได้จับมันก่อนที่จะเปิดอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่นานนางก็เลิกสนใจหนังสือเล่มนี้
หยวนดู่ได้พูดออกมาจากในโลงศพอีกครั้ง “นี้เป็นของสิ่งเดียวในสุสานที่ทำให้ข้ารู้สึกสนใจได้ ของชิ้นอื่นๆ ล้วนแต่เป็นของธรรมดาทั่วไป…เนื่องจากท่านมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง พี่จี ข้าคิดว่าของสิ่งนี้คงจะเป็นของสิ่งเดียวที่ท่านรู้สึกสนใจแน่”
หยวนดู่ไม่คิดว่าลู่โจวจะมีสายตาที่อ่อนด้อยไปกว่าตนได้ ลู่โจวได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “นี่แหละคือสิ่งที่ข้ากำลังตามหา”
“หนังสือเล่มนั้นมีพลังพิเศษบางอย่างอยู่ แม้ว่าข้าจะรู้แบบนั้นแต่ข้าก็ไม่อาจเข้าใจพลังนั่นได้เลย…เนื่องจากของสิ่งนี้ถูกฝังเอาไว้กับร่างของจักรพรรดิ เพราะแบบนั้นข้าก็เลยตัดสินใจที่จะเก็บเอาไว้ มันจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าแน่ๆ “
คำอธิบายของหยวนดู่ถูกต้องทุกอย่าง
ลู่โจวทำเป้าหมายของตัวเขาสำเร็จแล้ว ตัวเขาไม่จำเป็นจะต้องขุดหลุมศพของบรรพบุรุษเจียงอาเฉียนเพื่อหาของสิ่งนี้อีกต่อไป
“หยวนดู่ ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะออกไป ข้าก็จะพาเจ้าไปกับข้าด้วย” ลู่โจวได้พูดเสนอความช่วยเหลือให้ มันเป็นการตอบแทนบุญคุณอย่างหนึ่งนั่นเอง
“ไม่เป็นไร ข้าขอบคุณท่านจริงๆ …” เสียงที่ดังออกมาจากภายในโลงศพดูสงบนิ่งมากกว่าเดิม “ข้าคงไม่อาจอยู่ต่อกรกับท่านอีกต่อไป”
“เจ้ายังมีเวลาเหลืออีกกว่าร้อยปี” ลู่โจวมองตรงไปที่โลงศพ ตัวเขาได้ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะเลิกชักชวนหยวนดู่ให้ออกจากที่นี่
“มีมนุษย์ธรรมดาสักกี่คนที่มีอายุยืนยาวถึง 100 ปีได้? คงจะมีแต่ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเราเท่านั้นที่มีชีวิตยืนยาวแบบนั้นได้”
ชายคนนี้เคยเป็นคู่แข่งคนสำคัญของลู่โจวในอดีต แต่เมื่อเวลาผ่านไปความแก่ชราก็ได้กัดกินชายคนนี้ไปด้วย มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ และมีตาย ทุกๆ คนล้วนแต่ต้องเป็นไปตามวัฏจักรแห่งชีวิต
“ถ้าหากเจ้าต้องการแบบนั้นข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
ลู่โจวกำลังจะจากไป ในตอนนั้นหยวนดู่ก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “ก่อนที่เวลาของข้าจะหมดลง…ข้าขอประมือกับท่านอีกสักครั้งจะได้ไหม? “
ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับผงะ
ยังไงซะคู่แข่งก็ยังคงเป็นคู่แข่งอยู่วันยังค่ำ
หยวนดู่ไม่อยากพลาดโอกาสนี้ก่อนที่จะเสียชีวิตไป
ในตอนแรกหยวนเอ๋อรู้สึกเห็นใจที่หยวนดู่พยายามเอาชีวิตรอดโดยใช้ชีวิตอยู่ในโลงศพแบบนั้น แต่ในตอนนี้ความเห็นอกเห็นใจทั้งหมดได้จางหายไปแล้ว นางได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจแทน “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? ท่านอาจารย์ของข้าเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มากมายหลายครั้งมา…แม้ว่าเจ้าเอาชนะการประลองในครั้งนี้ เจ้าจะไปภูมิใจได้ยังไงกัน? ไม่ว่าจะยังไงเจ้าก็ยังไม่คู่ควรที่จะประมือกับท่านอาจารย์อยู่ดี”
โลงศพได้สั่นเล็กน้อยก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะดังขึ้น
“พี่จี…ข้าแปลกใจจริงๆ ที่ท่านมีศิษย์อารมณ์ร้อนแบบนั้นได้ ท่านช่างน่าประทับใจจริงๆ ข้าน่ะ…”
ลู่โจวไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรกับคำพูดเหน็บแนม “ถ้าหากเจ้าต้องการจะสู้ก็ออกมาจากโลงศพซะ”
หยวนเอ๋อได้พูดเสริม “ใช่ ออกมาซะ! “
เจียงอาเฉียนเองก็เข้าร่วมการสนทนาด้วยเช่นกัน “ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง พวกท่านทั้งคู่ก็เป็นคนรู้จักกัน เหตุใดจะต้องต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้ด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังบอกเอาไว้ว่าไม่อาจก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดเดิมได้ ข้าแน่ใจว่าพลังวรยุทธของท่านคงจะถดถอยลงไปแน่ เหตุใดจะต้องทำเช่นนี้ด้วย? “
หยวนดู่ได้ตอบกลับมา “เจ้าเข้าใจทุกอย่างผิดไปแล้ว ข้าเฝ้ารอที่จะได้ประลองกับพี่จีมาโดยตลอด ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ข้าอยากจะสู้อย่างยุติธรรม ข้าจะไม่ยอมซ้ำเติมใครคนไหนแน่ พี่จี เอาไว้พวกเราค่อยเจอกันที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าในอีกหนึ่งเดือนเป็นยังไง? “
ลู่โจวไม่ได้คิดมากอะไร “ข้ากังวลว่าเจ้าจะอยู่ไม่รอดไปถึงเดือนหน้ามากกว่า”
เมื่ออายุขัยของคนคนหนึ่งทะลุขีดจำกัดไปได้ ชีวิตของคนคนนั้นก็ไม่แน่ไม่นอนว่าจะตายเมื่อไหร่ บางทีอาจจะเป็นวันนี้ ไม่ก็อาจจะเป็นพรุ่งนี้ หรือมันอาจจะเป็นปีหน้าก็เป็นได้
หยวนดู่หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะพูดออกมา “เอาไว้พวกเราค่อยพบกันอีกหนึ่งเดือนให้หลัง…ถ้าหากข้าไปเจอท่านไม่ได้ ข้าก็คงจะได้แต่แบกรับชะตากรรมเอาไว้เอง” หยวนดู่คิดเอาไว้นานแล้วว่าจะยอมรับชะตาแต่โดยดีหลังจากที่ดื้อรั้นมาทั้งชีวิต
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะมองไปยังคนอื่นๆ
เจียงอาเฉียนได้พูดกับผู้ที่อยู่ในโลงศพ “ท่านผู้อาวุโส เนื่องจากท่านต้องการจะอยู่ภายในสุสานแห่งนี้ ช่วยรับปากทีได้ไหมว่าท่านจะไม่ทำความเสียหายอะไรภายในนั้น”
“สุสานนี้เป็นอะไรสำหรับเจ้ากัน? “
“ข้าก็แค่คิดว่าพวกเราควรจะเคารพผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว”
ครั้งนี้โลงศพไม่ได้ตอบกลับอะไรมา
ลู่โจวได้มองไปยังดาบที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาอีกครั้ง “ข้าจะไม่เอาดาบอ่อนแอพวกนี้กลับไปแน่”
ฉินจานได้เกาหัวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างลังเล “ข้า…ข้าขอเก็บดาบไปสักสองสามเล่มจะได้ไหม? “
เจียงอาเฉียนได้ตอบกลับก่อนที่จะพูดออกมา “งั้นเจ้าก็เก็บไปด้วยตัวเองซะเถอะ”
ฉินจานมีความสุขมาก ตัวเขาได้หยิบดาบระดับโลกที่ดีที่สุดสองเล่มที่พอจะหาได้ไป
เจียงอาเฉียนได้พูดขึ้น “เป็นธรรมดาที่ทุกคนล้วนแต่จับจ้องไปที่อะไรบางอย่าง”
“เกิดเป็นชายยังไงก็ต้องรักในดาบอยู่แล้ว”
“เจ้าจะไปรู้อะไร…แม้ว่าความสนใจของเราจะคล้ายกัน แต่ถึงแบบนั้นความสนใจของเจ้ายังหยาบกว่าข้าเป็นไหนๆ …”
“หยุดพูดได้แล้ว…” ลู่โจวที่ห้ามทั้งสองคนได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินออกไปจากสุสานแห่งนี้
โลงศพได้หายไปในอุโมงค์ที่มันได้จากมา
หยวนเอ๋อได้ออกไปจากสุสานแห่งดาบพร้อมๆ กับผู้เป็นอาจารย์
ในตอนนั้นม่านพลังแห่งดาบทั้งเจ็ดก็เริ่มที่จะรวบรวมพลังเพื่อกลับมาใช้งานใหม่
“ท่านอาจารย์ใครกันแน่ที่อยู่ในโลงศพนั่น? “
“คนรู้จัก”
“ท่านอาจารย์ ท่านมีสหายด้วยหรอ? “
“ไม่ใช่สหายหรอก เจ้านั่นน่ะเป็นคู่แข่ง” ลู่โจวได้อธิบายเพิ่มในระหว่างที่เดินออกมา
“แล้วท่านอาจารย์มีสหายบ้างไหม? ” หยวนเอ๋อยังคงถามใหม่
“ข้ามีสหายมากมายหลายคน…” ลู่โจวตอบกลับมา
“ค่ะ…”
ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็เดินออกมาจากสุสานแห่งดาบก่อนที่จะมองเห็นท้องฟ้าอีกครั้งได้
ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความโล่งอก
“วิซซาร์ด”
เจียงอาเฉียนและฉินจานก็ได้ตามทั้งสองคนออกมาเช่นกัน ลู่โจวไม่ได้กระโดดขึ้นหลังวิซซาร์ดในทันที “เจียงอาเฉียน”
“ทะ…ท่านผู้อาวุโส มีอะไรให้ข้ารับใช้อย่างงั้นหรอ? “
“จ้าวยู่ยังอยู่ในพระราชวัง เจ้าก็ดูแลนางด้วย”
“ไม่มีปัญหา แต่ข้ามีเรื่องที่จะต้องบอกท่านเอาไว้ ท่านผู้อาวุโส” เจียงอาเฉียนพูดขึ้น
“เรื่องอะไรกัน? “
“ศิษย์คนที่เจ็ดสีวู่หยากำลังจะมาหาข้า ยิ่งไปกว่านั้นข้ามั่นใจว่าเจ้านั่นคงจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว ข้าต้องบอกท่านตามตรงว่าตัวข้าก็ไม่อาจแข่งขันกับศิษย์ของท่านในการรวบรวมข้อมูลได้ คนของเขาได้มารังควานแหล่งข่าวของข้า และเมื่อไม่กี่วันก่อนข้าก็เพิ่งจะขาดการติดต่อกับแหล่งข่าวของข้าไป ทุกคนล้วนแต่เป็นแหล่งข่าวอันสำคัญสำหรับข้า ถ้าหากเป็นไปได้ท่านช่วยตักเตือนอดีตศิษย์คนนี้สักครั้งจะได้ไหม? ” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาตรงๆ