เมื่อดวงอาทิตย์ทอแสงลงบนโลงศพสีดำ มันก็หยุดเคลื่อนไหวราวกับกำลังลังเลอะไรบางอย่าง บางทีมันอาจจะอยู่ในความมืดนานจนลืมความรู้สึกภายใต้แสงอาทิตย์ไปแล้วก็เป็นได้
ชายผู้อยู่ในโลงศพได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
ที่กระท่อมอันแสนเงียบสงบ สีวู่หยากำลังนั่งพักผ่อนทั้งกายและใจอยู่ ดวงตาของเขาปิดไม่ขยับไปไหน
ยี่ฉีชิงได้อ่านจดหมายที่อยู่ในมือจนจบแล้ว เมื่ออ่านจบตัวเขาก็ได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก หนูขโมยทั้งห้าตายแล้ว ศพของพวกเขาถูกทิ้งไว้ที่เชิงเขาของภูเขาทอง”
สีวู่หยาในตอนนี้ไม่ได้ดูตื่นตกใจอะไร “ใครเป็นคนฆ่าเจ้าพวกนั้นกัน? “
“สตรีสีขาว…มีเพียงแค่ชื่อนี้เท่านั้น พวกเราไม่มีข้อมูลอื่นเกี่ยวกับนางเลย”
ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น “น้องหกเองสินะ…”
เมื่อยี่ฉีชิงได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็ได้แต่ตกตะลึงก่อนที่จะพูดออกมา “นี่คือผลงานของศิษย์คนที่หกของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอครับ? “
สีวู่หยายิ้มก่อนที่จะตอบกลับ “ไปหาที่อยู่นางมาซะ ข้าอยากที่จะพบนาง”
“ครับ”
ยี่ฉีชิงพูดต่อ “ข้ามีเรื่องอื่นที่จะรายงานด้วย”
“เรื่องอะไรกัน? “
“หลังจากที่เกิดเหตุความวุ่นวายที่เมืองทางตอนเหนือ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ส่งกองกำลังเพื่อออกไปปราบปราม แม่ทัพชางแห่งราชองครักษ์ได้ตายจากไปแล้ว เจ้าสำนักยู่รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากเมื่อได้รู้แบบนี้ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาตัวเขาได้พาคนกว่า 10,000 เข้าโจมตีสำนักเที่ยงธรรม สำนักเที่ยงธรรมได้ล่มสลายไปแล้ว เจ้าสำนักอย่างจางหยวนฉานเองหายสาบสูญไป ในตอนนี้เขตแดนของสำนักเที่ยงธรรมได้ถูกสำนักอเวย์จีเข้ายึดครองไปหมดแล้ว” ยี่ฉีชิงได้รายงานออกมา
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีวู่หยาก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ใจร้อนเกินไป…ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นเลย ถ้าหากทำตามแผนของข้าจางหยวนฉานก็คงจะหนีไปไม่ได้แน่”
“ท่านเจ้าสำนักยู่ไม่ได้สนว่าจางหยวนฉานจะอยู่หรือจะตาย” ยี่ฉีชิงได้พูดเสริม
“จะถอนพวกวัชพืชมันก็ต้องถอนรากถอนโคน…ศิษย์พี่ใหญ่ประมาทเกินไปแล้ว”
“ท่านเจ้าสำนักฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” ยี่ฉีชิงที่พูดจบไม่ได้ออกไปในทันที
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นเลยพูดออกมา “แล้วมีอะไรอีกไหม? “
“ท่านเจ้าสำนัก การช่วยเหลือเจ้าสำนักยู่ในครั้งนี้ศิษย์พี่รองของท่านจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองอย่างงั้นหรอ…”
“ข้าจะอธิบายให้กับศิษย์พี่รองฟังเอง ไม่ต้องกังวลไป”
ยี่ฉีชิงที่ได้ฟังแบบนั้นพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “สำนักอเวย์จีเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน ข้ากังวลว่าความสำเร็จของเจ้าสำนักยู่จะทำให้ท่านต้องพบกับภัยอันตราย”
นับตั้งแต่ที่เริ่มต้นทำตามแผน สีวู่หยาก็รู้ดีว่าตัวเขาจะต้องพบกับอะไร แม้ว่าจะเป็นฝ่ายคอยช่วยเหลือ แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมทำอะไรให้ฟรีๆ ตัวเขากับสำนักอเวย์จีมีพันธะต่อกัน ทั้งสองฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกัน เพราะแบบนั้นสำนักอเวย์จีถึงได้เติบโตจนเหมือนกับทุกวันนี้ได้
อันที่จริงทั้งยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสาวกร่วมสำนักมักจะเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่านี้ ปัญหาอยู่ที่ตัวของยู่เฉิงไห่ เขาคนนี้ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอยากที่จะปกครองโลก ไม่มีใครที่จะครองโลกได้ถ้าหากไม่มีความคิดเฉกเช่นกษัตริย์
สีวู่หยาได้หันไปมองยี่ฉีชิงก่อนที่จะพูดออกมา “ฉีชิง เจ้าคิดไหมว่าทำไมถึงจะต้องมีผู้ฝึกยุทธอยู่? ” ยี่ฉีชิงที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับผงะไปเล็กน้อย ตัวเขาไม่คาดคิดว่าจะได้ฟังคำถามจากผู้เป็นเจ้าสำนักอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ดูเรียบง่ายเลย ถ้าหากตัวเขาตอบไม่ตรงคำถาม มันก็จะเป็นการตอบที่ดูไม่จริงใจไป และถ้าหากตัวเขาตอบเรียบง่ายไป ตัวเขาก็จะดูไม่ดีเช่นกัน
“พูดสิ่งที่เจ้าคิดออกมาซะเถอะ” สีวู่หยาพูดซ้ำ
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าคิดว่าการที่คนคนหนึ่งฝึกฝนตัวเองก็เพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งที่ตัวเองมีไป ในโลกใบนี้การจะแก้ปัญหาด้วยกำลังก็ยังคงเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและได้ผลเสมอ” ยี่ฉีชิงตอบคำถามไป
สีวู่หยาพยักหน้าก่อนที่จะค่อยๆ พูดออกมา “ไม่ผิดหรอกที่เจ้าจะเข้าใจแบบนั้น ถ้าหากมีโอกาสเมื่อไหร่…ข้าจะบอกอะไรอย่างอื่นให้เจ้าเอง”
“ได้ครับท่านเจ้าสำนัก”
ในวันรุ่งขึ้นที่ภูเขาทอง
หลังจากที่ได้รับคำสั่งฮั๊ววู่เด๋ามา ผู้ฝึกยุทธหญิงในตอนนี้ก็ทำการลาดตระเวนทั่วเชิงเขา
ซู่วว! ซู่วว! ซู่วว!
ผู้ฝึกยุทธหญิงได้หันไปสนใจเสียงของม่านพลังที่ดังออกมา เมื่อเห็นม่านพลังสีฟ้ากำลังแปรปรวน ทุกๆ คนก็ต่างรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น ฝานซงและโจวจี้เฟิงกำลังยืนอยู่บนต้นไม้ในจุดที่แตกต่างกัน ทั้งสองคนได้มองไปยังที่ไกลแสนไกล “ท่านปรมาจารย์กำลังเก็บตัวฝึกฝนตัวเอง เขาวางแผนที่จะดูดซับพลังจากม่านพลังอีกแล้วสินะ? “
โจวจี้เฟิงไม่กล้าที่จะพูดออกมาดังๆ “ข้าว่ามันยากที่จะพูด…”
โจวจี้เฟิงถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าก็ได้แต่หวังว่าม่านพลังจะคงอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน”
ฝานซงมองไปที่โจวจี้เฟิงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าเสียใจที่ม่านพลังหายไปอย่างงั้นหรอ? “
“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้น” โจวจี้เฟิงตอบกลับ
ฝานซงมองไปยังผู้ฝึกยุทธหญิงที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองโจวจี้เฟิงอีกครั้ง “เจ้าได้ตายแน่ถ้าหากพูดแบบนั้น”
“พี่ฝาน ท่านกำลังพยายามจะพูดอะไรกับข้ากันแน่…” โจวจี้เฟิงกลอกตามองบน
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งได้ตะโกนออกมา “นั่นมันอะไรกัน? “
ชิ้ง!
ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งหมดได้ชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ดูเหมือนว่าพวกนางจะได้พบกับศัตรูจากระยะไกลแล้ว
ฝานซงและโจวจี้เฟิงต่างก็จ้องมองไปยังทิศทางเดียวกัน ในตอนนั้นเองมีกลุ่มก้อนสีดำของอะไรบางอย่างกำลังบินตรงมาจากท้องฟ้าอันห่างไกล
เมื่อมันเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น ทั้งสองคนก็เริ่มมองเห็นรูปร่างของมัน รูปร่างของมันเป็นสี่เหลี่ยม เมื่อมองอย่างละเอียดทั้งสองคนก็เห็นว่ามันเป็นโลงศพ
โจวจี้เฟิงเบิกตากว้าง “พี่ฝาน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอะไรแบบนี้ ท่านเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนไหม? “
ฝานซงเองก็ดูสับสนเช่นกัน ตัวเขาได้กลืนน้ำลายก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่…ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน”
“มันขยับได้ยังไงกัน? ชายคนนั้นทำรูอยู่ใต้โลงศพอย่างงั้นหรอ? ” โจวจี้เฟิงค่อยๆ สงบลง ตัวเขาได้จ้องมองโลงศพใบนั้นอย่างสงสัย
“ข้าเองก็ไม่รู้”
โจวจี้เฟิงที่เห็นแบบนั้นก็รีบปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้ฝึกยุทธหญิง “พวกเจ้ารีบไปแจ้งผู้อาวุโสเร็วเข้า”
“ค่ะ”
ฝานซงเองก็กระโดดลงมากเช่นกัน ตัวเขายืนอยู่ไม่ห่างจากโจวจี้เฟิง
โลงศพใบนั้นได้ลดระดับความสูงลงก่อนที่จะบินตรงมาหาพวกเขา ดูเหมือนว่าที่โลงศพจะถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังพิเศษบางอย่าง มันเป็นพลังที่มีแสงสีดำ พลังแสงสีดำนี้ไม่ได้ทำให้โลงศพดูแข็งแกร่งเลย เมื่อมองมันรวมเข้ากับโลงศพมันยิ่งทำให้รู้สึกน่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม
พรึ๊บ!
โลงศพที่เข้ามาใกล้ได้เร่งความเร็วมากขึ้นก่อนที่จะหยุดลงตรงหน้าของพวกเขาทุกคน
ทุกๆ คนต่างก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงหายใจออกมาดังๆ เมื่อจ้องมองไปที่โลงศพใบนั้น ดวงตาของทุกคนก็เริ่มเบิกกว้าง ไม่มีใครเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต เป็นธรรมดาที่ทุกๆ คนจะรู้สึกกังวลและหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่รู้จัก สำหรับมนุษย์ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่รู้สึกชื่นชอบโลงศพเท่าไหร่นัก สำหรับมนุษย์โลงศพก็คงจะเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์แห่งความสูญเสีย
บรรยากาศในตอนนี้ดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นได้ไม่นานก็มีเสียงของใครบางคนดังออกมาจากโลงศพ “ภูเขาทอง”
โลงศพใบนั้นได้เปลี่ยนมุมของตัวเองเล็กน้อย
โจวจี้เฟิงพยายามระงับความประหม่าเอาไว้ก่อนที่จะคารวะและพูดออกมาเป็นคนแรก “ทะ…ท่านคือผู้อาวูโสหยวนสินะ? “
“เจ้าดูประหม่าดีนะ” เสียงอันนุ่มลึกได้ดังออกมาจากโลงศพ
“…” โจวจี้เฟิงได้แต่ใช้ความคิดในใจ ‘จะไม่ให้ประหม่าได้ยังไงกัน นี่มันโลงศพลอยได้’
หยวนดู่ได้พูดต่อ “นี่ก็ผ่านมากว่าหลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้มาทักทายพี่จีด้วยตัวเองแบบนี้ ช่างน่าละอาย น่าละอายจริงๆ! “
โจวจี้เฟิงและฝานซงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก
“ช่วยนำทางข้าไปที…” หยวนดู่พูดต่อ
“ผู้อาวุโสหยวน…ท่านปรมาจารย์รู้สึกไม่สบายตัว ถ้าหากไม่ว่าอะไรท่านช่วยมาวันอื่นจะได้ไหม? “
“หืม? ” เสียงจากโลงศพฟังดูเปลี่ยนโทนไป
พลังลมปราณที่อยู่แถวโลงศพดูผันผวนและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะที่ฟังดูไม่ชัดเท่าไหร่ได้ดังมาจากในนั้น
เสียงหัวเราะได้ทำให้ทุกคนที่ได้ยินสั่นกลัวไปถึงกระดูก