โลงศพที่ไม่มีพลังพิเศษอะไรก็เป็นแค่เพียงโลงศพ ชายคนเดียวในโลงศพไม่มีอะไรที่น่ากลัว หยวนดู่แสดงท่าทีอย่างชัดเจนออกมาแล้ว หลังจากที่รูปแบบพลังหายไปจากโลงศพ ตัวเขาก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่วทั้งศาลาปีศาจลอยฟ้า
“ข้าฝึกฝนดาบในวิถีแห่งเต๋ามาโดยตลอด…”
‘ข้าฝึกฝนดาบในวิถีแห่งเต๋ามาโดยตลอด? ‘ คนอื่นๆ ที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็สบตากัน ในโลกแห่งยุทธภพ ไม่ว่าจะฝึกฝนตัวเองด้วยวิธีการแบบไหนก็แล้วแต่ แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็พบกับจุดจบเดียวกัน
โดยหลักการแล้วผู้ฝึกยุทธแต่ละแขนงมักจะมีพลังลมปราณรอบตัวที่ดูแตกต่างกัน
ขงจื๊อ, พุทธ และลัทธิเต๋าต่างก็มีแนวคิดในการฝึกฝนที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีวิธีการฝึกยุทธมากมายหลายวิธีอยู่ในโลกใบนี้ ลัทธิเต๋าเป็นลัทธิที่สามารถฝึกฝนดาบได้ยิ่งใหญ่มากที่สุด ดังนั้นผู้ฝึกยุทธหลายคนที่ชื่นชอบในดาบจึงมักจะฝึกฝนตัวเองตามแบบของลัทธิเต๋า ทั้งเจียงอาเฉียน, ลั่วฉีซานและลั่วฉางชิงจากสำนักหยุน, เฉินเหวินเจี๋ยหนึ่งในผู้คลั่งไคล้แห่งดาบ หรือแม้แต่เล้งลั่วและฝานลี่เทียน ทุกๆ คนต่างก็ฝึกฝนตัวเองโดยมีรากฐานมาจากลัทธิเต๋า การที่จะถือว่าทุกคนมีต้นกำเนิดเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มีแต่การตีความเท่านั้นที่แตกต่างออกไป
เป็นเพราะการตีความที่ไม่เหมือนกันทำให้ชาวลัทธิเต๋าแตกแยกออกเป็นสำนักมากมายหลายสำนักขึ้นมาในภายหลัง บ้างก็เป็นคนที่ชื่นชอบในการป้องกัน บ้างก็เป็นคนที่เก่งกาจในการโจมตี แน่นอนว่ามีผู้ที่ชื่นชอบในดาบด้วยเช่นกัน หยวนดู่ถือเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นนั่นเอง
“เห็นทีพวกเราจะต้องใช้ดาบพูดคุยกันแล้วสินะ? ” ฝานลี่เทียนหัวเราะออกมา
“ข้าคิดว่าท่านอาจจะสู้กับพวกเราจะตัวตายไปก็ได้”
ภายในโลงศพยังคงเงียบสนิท
ต้วนมู่เฉิงได้สูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากจะเป็นแบบนั้นจริงเห็นที่นี่คงจะไม่ใช่ที่ของข้า ศิษย์น้องสี่เป็นผู้ที่เก่งกาจในการพูดคุยมากที่สุดแล้ว แต่ข้านั้นกลับไร้ความสามารถ”
‘ไหนเจ้านี่ถึงคิดว่าการพูดคุยกันด้วยดาบจะเป็นการพูดคุยกันจริงๆ ล่ะ? ‘
หยวนเอ๋อได้พูดออกมา “ข้าเองก็ไม่เก่งเรื่องต่อล้อต่อเถียงเช่นกัน ข้าไม่อยากโตมาเป็นหญิงสาวที่ชอบต่อล้อต่อเถียงน่ะ”
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนจ้องมองไปตรงโลงศพ ทั้งคู่กำลังสงสัยว่าหยวนดู่จะคิดยังไงกับเรื่องนี้
ฝานลี่เทียนได้ยิ้มก่อนจะพูดออกมา “สำหรับข้า ถ้าหากพวกเราจะมีการพูดคุยกันด้วยดาบจริงๆ ข้าว่าหยวนเอ๋อคงจะทำมันได้ดีที่สุดแล้ว”
“ข้าเองก็เห็นด้วย” เล้งลั่วพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา
“ข้าเองก็เห็นด้วย” โจวจี้เฟิงและฝานซงเองพูดเสริมอย่างพร้อมเพรียงกัน
หยวนเอ๋อรู้สึกสับสนที่ได้ฟังแบบนั้น
ซู่ววว!
โลงศพใบนั้นสั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อนที่จะส่งเสียงแปลกๆ ออกมา ในตอนนั้นเองพลังลมปราณอันเบาบางรอบๆ โลงก็เริ่มหมุนเวียน ที่รอบๆ โลงศพมันเต็มไปด้วยใบมีดพลังงานจำนวนหนึ่ง ใบมีดพวกนั้นมันดูคล้ายกับเกล็ดน้ำแข็งเป็นอย่างมาก มันได้ลอยสักพักก่อนที่จะหายไป เห็นได้ชัดว่าหยวนดู่รู้สึกรำคาญ ตัวเขาได้ใช้น้ำเสียงอันแหบแห้งพูดออกมา “การพูดคุยกันด้วยดาบ ไม่ใช่แค่การพูดคุยถกเถียงเท่านั้น แต่มันจะต้องสู้กันด้วย”
“หะ? ” ฝานลี่เทียนรู้สึกสับสน “ท่านจะบอกให้พวกเราคุยกันในระหว่างสู้กันอย่างงั้นหรอ? “
“ถูกแล้ว”
คนอื่นๆ ถึงกับผงะเล็กน้อย ทุกๆ คนต่างก็ตั้งท่าขึ้นมาอีกครั้ง
‘เจ้านี่กำลังจะทำให้ข้าบ้า! ‘
หยวนดู่ได้พูดต่อ “แม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้ แต่มันก็ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเข่นฆ่า ผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้นับว่าคนคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการฝึกยุทธ…ส่วนผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้จะเป็นผู้ฝึกยุทธที่สามารถควบคุมพลังลมปราณได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว และนั่นแหละพวกเราจะต่อสู้กันด้วยวิถีแห่งดาบโดยที่ใช้ระดับพลังวรยุทธสังหรณ์หยั่งรู้เท่านั้น”
ฝานลี่เทียนหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “ตอนนี้ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้ว พวกเราจะใช้พลังยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้โดยที่ไม่ใช่พลังอวตารรวมไปถึงอาวุธในการสู้กัน ถูกแล้วสินะ? “
ถ้าหากจะพูดตามตรง การจำกัดระดับพลังวรยุทธในการประมือกันถือว่าเป็นการประลองที่ดูสมน้ำสมเนื้อที่สุดแล้ว นี้เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย เล้งลั่วและฝานลี่เทียนยังไม่ฟื้นคืนพลังทั้งหมดกลับคืนมา แม้ว่าพลังวรยุทธของต้วนมู่เฉิงและหยวนเอ๋อจะดูดลึกล้ำแต่ถึงแบบนั้นถ้าหากสู้กันด้วยพลังทั้งหมดที่มี การที่จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตายไปคงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง แม้ว่าหยวนดู่จะไม่ใช่ฝ่ายที่เหนือกว่าในการต่อสู้นี้ แต่สำหรับคนใกล้ตายอย่างเขา หยวนดู่ไม่มีอะไรที่จะต้องให้เสียอีกแล้ว
“ถูกต้อง…” ทันทีที่หยวนดู่พูดจบโลงศพก็ได้พลิกกลับ ในตอนนี้มันนอนราบลงกับพื้นแล้ว ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของโลงศพกำลังลอยขึ้นมา มันกำลังตั้งสูงเพื่อเผชิญหน้ากับทุกคนนั่นเอง
มีตัวหนังสืออยู่ที่ด้านบนโลงศพ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นตัวหนังสือที่เป็นคำผสมผสานระหว่างตัวหนังสือจาก ‘คำสั่งราชวงศ์’ การที่จะมองไปตรงนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกไม่มั่นคง
“พวกเราจะใช้วิธีประลองด้วยดาบตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะ…เริ่มได้” เสียงของหยวนดู่ได้ดังก้องไปทั่วทั้งศาลาปีศาจลอยฟ้า
ฮั๊ววู่เด๋าได้โบกมือให้กับผู้ที่อยู่ด้านหลัง “รุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าไม่ต้องเข้าร่วมหรอก…ใช้โอกาสนี้เฝ้ามองและเรียนรู้จะดีกว่า…”
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นได้แต่คารวะให้
ฝานลี่เทียนและเล้งลั่วต่างก็สบตากัน
“ข้าจะไปก่อนเอง…” เล้งลั่วได้พูดก่อนที่จะก้าวออกมาข้างหน้า
เมื่อเข้าไปใกล้ ใบดาบพลังงานที่มีรูปร่างคล้ายน้ำแข็งก็ได้ปรากฏขึ้นรอบๆ โลงศพอีกครั้ง ใบมีดพลังงานที่ปรากฏออกมาดูไม่สม่ำเสมอและดูแปลกตาเป็นอย่างมาก “การต่อสู้ด้วยวิถีแห่งดาบที่ดั้งเดิมจะใช้พลังควบแน่นให้กลายเป็นดาบขึ้นมา ผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้จะสามารถสร้างดาบพลังงานออกมาได้แค่ 2 เล่มเท่านั้น
ทันทีที่เล้งลั่วพูดจบ ดาบพลังงานทั้งสองใกล้ๆ โลงศพก็ได้หายไป
เล้งลั่วยกมือขวาขึ้นมาก่อนที่จะชูขึ้นไปบนท้องฟ้า “คุณภาพยังไงก็อยู่เหนือปริมาณ…” ใบมีดพลังงานได้ปรากฏขึ้นมาจากฝ่ามือของเขา มันทั้งดูหนาและใหญ่กว่าใบมีดพลังงานทั่วไป แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังอยู่ในพลังระดับสังหรณ์หยั่งรู้เท่านั้น
เมื่อฮั๊ววู่เด๋าได้ฟังแบบนั้น ตัวเขาก็ได้พูดออกมา “นี่คือการต่อสู้กันด้วยวิถีแห่งดาบ…มาดูกันว่าในรอบนี้ใครกันแน่จะเป็นผู้ชนะ”
ในวินาทีถัดมา ใบมีดพลังงานจากโลงศพก็ได้ถูกยิงออกไป
ดาบพลังงานของเล้งลั่วเองก็พุ่งออกไปโจมตีเช่นกัน
ในตอนนั้นเองทุกๆ คนต่างก็เห็นความแตกต่างดี
เนื่องจากรูปทรงที่ดูผิดปกติของมันทำให้ใบมีดพลังงานที่พุ่งออกไปเปลี่ยนวิถีในกลางอากาศ ใบมีดทั้งหมดเล็งตรงไปที่เล้งลั่ว
โลงศพได้กลับพลิกขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าหยวนดู่จะมีพลังวรยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็สามารถหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย
เล้งลั่วเองก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนหลบใบมีดพลังงานเล่มแรกไป
พรึ๊บ!
แต่การที่จะหลบใบมีดพลังงานเล่มที่สองได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น มันได้เปลี่ยนวิถีของมันไปก่อนจะพุ่งถึงตัวเล้งลั่ว
เล้งลั่วได้ยกมือขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ตัวเขากำลังใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางจับใบมีดพลังงานเอาไว้ ใบมีดพลังงานเล่มนั้นหายไป ในตอนนั้นเองทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
คนอื่นๆ ต่างก็งุนงง ไม่มีใครรู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายชนะกันแน่ ทุกๆ คนจ้องมองไปยังโลงศพสีดำ
ไม่มีการต่อสู้ที่เคลื่อนไหวเกินความจำเป็น ไม่มีทั้งพลังอันมหาศาลของพลังลมปราณ และก็ยังไม่มีเล่ห์เหลี่ยมในการต่อสู้ มีเพียงการต่อสู้กันด้วยวิถีแห่งดาบเท่านั้น
“ข้าแพ้แล้ว” เล้งลั่วได้ยกมือคารวะให้ ตัวเขาไม่ต้องการที่จะอธิบายอะไรออกมา
ทุกๆ คนเห็นได้ว่าเล้งลั่วดูประมาท ความประมาทหรือการประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปมักจะทำให้คนคนนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป
เมื่อเล้งลั่วจับใบมีดพลังงานด้วยนิ้วของเขา ตัวเขาก็ต้องประเมินคู่ต่อสู้คนนี้ใหม่อย่างจริงจัง อย่างมากตัวของเล้งลั่วก็สามารถรับการโจมได้อีกเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ถ้าหากผลลัพธ์ยังเป็นต่อไปแบบนี้ยังไงซะตัวเขาก็คงจะต้องพ่ายแพ้ไปอยู่ดี
“…” ในเมื่อไม่มีใครอธิบายฮั๊ววู่เด๋าก็ต้องรับหน้าที่อธิบายออกมาอีกครั้ง “ผู้อาวุโสเล้งได้ใช้นิ้วของตัวเองหยุดยั้งพลังใบมีดดาบได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่น่าเสียดาย ถ้าหากนี่เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้จริง พลังใบมีดดาบจะต้องเฉือนทะลุนิ้วของผู้อาวุโสเล้งไปแล้ว”
ทุกๆ คนต่างก็พยักหน้า
“เป็นไปตามคาด พลังดาบที่ถูกใช้ออกมาโดยอัจฉริยะผู้ใช้ดาบแห่งเมืองหลวงทางตอนเหนือจะเป็นพลังที่แข็งแกร่งแบบนี้…ใบมีดพลังงานที่ใช้ในการโจมตีดูผิดแปลกยากที่จะคาดเดา ข้ารู้สึกประทับใจจริงๆ …” เล้งลั่วได้ถอยออกมาหลังจากที่พูดเสร็จ
ฝานลี่เทียนเป็นผู้ที่ก้าวไปด้านหน้าต่อไป ตัวเขาได้จิบเหล้าที่พกมาด้วยก่อนที่จะโยนมันไปให้ฝานซง “รับไว้ซะ” ฝานซงรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ที่จะต้องโยนอาวุธของตัวเองทิ้งไปแบบนี้ “ข้าไม่ใช่เล้งลั่ว…เจ้านั่นแม้จะพอมีฝีมือแต่ถึงแบบนั้นก็ยังไร้ประสบการณ์…”
เล้งลั่วยังคงนิ่งเงียบ ยังไงซะความพ่ายแพ้ก็ยังเป็นความพ่ายแพ้อยู่ ไม่จำเป็นจะต้องให้เหตุผลหรือแก้ตัวใดๆ สำหรับหยวนดู่ ฝานลี่เทียนก็เป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น
“ตาต่อไปเป็นขอทานเฒ่าอย่างงั้นหรอ? “
“ถูกแล้ว”
“การต่อสู้ด้วยวิถีแห่งดาบในขั้นสังหรณ์หยั่งรู้มักจะเกิดมาจากการควบคุมพลังหยินและหยาง เมื่อพลังทั้งสองสมดุลมันก็จะเปลี่ยนกลายเป็นพลังอันแข็งแกร่ง แต่ในทางกลับกันปรากฏการณ์ทั้งสี่มันยังคงเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ เป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด…” หยวนดู่ได้พูดออกมา
ฝานลี่เทียนได้พูดขึ้น “ถ้าหากเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ คนคนนั้นจะสร้างดาบพลังงานได้เพียงแค่ 2 เล่มเป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามันไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์ทั้งสี่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันจะเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรไปได้ตลอด”
ฝานลี่เทียนยังพูดต่อ “ข้าทั้งท่องเหนือและล่องใต้มาแล้ว ข้าได้เห็นเหล่ายอดฝีมือผู้ใช้ดาบมาต้องมากมาย เจ้าพยายามที่จะใช้ดาบพลังงานเพื่อสร้างเป็นพลังแห่งดาบที่แท้จริง พลังที่เป็นเหมือนกับปรากฏการณ์ทั้งสี่ที่เกิดขึ้นจนได้เป็นวัฏจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุดสินะ? “
“น่าสนใจ” หยวนดู่รู้สึกสนใจในสิ่งที่ได้ยิน
“ข้าบอกเจ้าแล้ว…ข้าไม่ใช่เล้งลั่ว” ฝานลี่เทียนมองไปที่เล้งลั่ว ที่หางตาของเขาตกราวกับกำลังเศร้าสร้อยอยู่
หยวนดู่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “แสดงให้ข้าดูทีเถอะว่าเจ้าจะรับมือกับมันยังไง…”
ภายในโลงศพ ในตอนนั้นพลังหยินหยางที่รวมตัวกันก็ได้ขยายออกมา พลังที่เปลี่ยนกลายเป็นใบมีดเองก็ได้ปรากฏออกมาเช่นกัน
เล้งลั่วปรบมือ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะบรรลุพลังขั้นสังหรณ์หยั่งรู้อย่างถ่องแท้แล้ว…ตาเฒ่าฝานเจ้าน่ะลึกล้ำจริงๆ “
“หืม? “
ฝานลี่เทียนมองไปที่วงหยินหยางที่ปรากฏบนพื้น ตัวเขาดูตกใจเป็นอย่างมาก ฝานลี่เทียนนับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และเคยเห็นพลังแบบนี้มาแล้ว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่เคยเห็นใครคนไหนที่ใช้พลังในขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ได้อย่างทรงพลังได้แบบนี้ ผู้ฝึกยุทธทั่วไปมักจะเร่งฝึกฝนตัวเองจนขาดความเข้าใจอันถ่องแท้ไป ภายใต้โลกใบนี้ยังมีคนที่ต้องใจฝึกฝนการใช้ดาบอย่างถ่องแท้โดยที่ไม่ได้ศึกษาแต่เคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดที่ใช้ในการเข่นฆ่าด้วยอย่างงั้นหรอ?