ตอนที่ 519 ไม่มีทาง
ลู่โจวในตอนนี้มีแต้มบุญเกือบจะถึง 100,000 แต้มแล้ว ตัวเขายังคงเก็บสะสมแต้มบุญเอาไว้ อันที่จริงลู่โจวสามารถซื้อกลีบดอกบัวบนพลังอวตารถึง 2 กลีบได้ในตอนนี้ตัวเขามีพลังอวตารด อกบัวสองกลีบเพียงเท่านั้น ด้วยแต้มบุญที่มีมากถึงขนาดนี้ การจะอดใจไม่ใช้มันได้มันยากสําหรับลู่โจวมาก ไม่ว่าจะอยากแค่ไหนตัวเขาก็ต้องอดทนเอาไว้ ถ้าหากลู่โจวสามารถเก็บแต้มบุญจนตัวเองมีพลังวรยุทธที่เพิ่มมากขึ้นได้ เมื่อถึงตอนนั้นจะเป็นการใช้แต้มบุญที่มีได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด แต่การจะใช้แต้มบุญบางส่วนไปกับการจับฉลากนําโชคคงจะได้สินะ?
“จับฉลากนําโชค” ลู่โจวพิมพ์
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 แต้ม ได้รับการ์ดพลังชีวิต x1”
“ไม่เลว จับฉลากนําโชค!”
“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 ได้รับสัตว์ขี่จี้เหลียง”
“ หมายเหตุ: เนื่องจากระบบได้ใช้พลังงานไปกับการส่งสัตว์ในตํานานอย่างวิชชาร์ดและบี่เอี๊ยนมากจนเกินไป สัตว์ขี่จี้เหลียงจะเดินทางมาถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยตัวเอง”
“จี้เหลียง: ม้าชั้นดีจากดินแดนทางตอนเหนืออันไกลโพ้นว์หวัง
”
ดวงตาของลู่โจวเบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งนี้
นี่ก็นานมากแค่ไหนแล้วนะ…ที่ฉันจะได้รับรางวัลใหญ่แบบนี้น่ะ?”
นับตั้งแต่ที่ลู่โจวได้รับวิซซาร์ดและบีเอี้ยนมา ลู่โจวก็ได้รู้ถึงพลังที่แท้จริงของสัตว์ขี่ใน ตํานานว่าพวกมันทรงพลังมากแค่ไหน แม้ว่าในตอนที่จีเทียนเด็ยังคงอยู่ เขาก็ยังไม่มีโอกาสมีสัตว์ ขี่ในตํานานอันทรงพลังได้ ในทางกลับกันยู่เฉิงไห้ศิษย์คนแรกของเขายังมีสัตว์ขี่ที่ทรงพลัง แต่แท้จริงแล้วใครจะรู้กันว่ายู่เฉิงไห่จะต้องเจอปัญหามากแค่ไหนกว่าที่จะจับสัตว์ขี่แบบนั้นได้
สํานักใหญ่มักจะมีสัตว์ขี่อยู่เพียงไม่กี่สํานักเท่านั้น การจะหาจับสัตว์ขี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สัตว์ขี่ที่ลู่โจวมีเป็นสมบัติอันล้ําค่าที่ไม่มีใครคาดว่าจะได้เจอผู้ฝึกยุทธทั่วไปคงจะทําได้แค่ฝัน ว่าจะมีสัตว์ในตํานานแบบนี้
จากสิ่งที่ลู่โจวเจอมา ถ้าหากตัวเขาจับฉลากนําโชคในครั้งต่อไป ลู่โจวจะต้องได้รับรางวัลปลอบใจแน่
ลู่โจวในตอนนี้รู้สึกมีความสุขมากแล้ว
ในขณะเดียวกัน ณ ดินแดนอันเหนือห่างไกลของวุ่หวัง
ม้าปาฝูงหนึ่งที่มีกีบเท้าเป็นประกายกําลังเดินทางข้ามพื้นราบเรียบที่ไร้ซึ่งหญ้ามา
ที่ท้ายฝูงของม้าปากลุ่มนั้น มีม้าตัวหนึ่งที่ดูแตกต่างจากม้าตัวอื่นอย่างชัดเจน ม้าตัวนั้นมีขนทั้งตัวเป็นสีขาวราวกับหิมะอันบริสุทธิ์ แผงคอของมันสีแดงเพลิง มันเป็นแผงคอที่มีความยาวอยู่ที่ 10 ฟุตและสูงกว่า 80 ฟุต ม้าตัวนั้นหยุดเดินกลางคัน มันหยุดเดินราวกับว่าได้ยินเสียง คําสั่งอะไรบางอย่าง มันส่งเสียงร้องออกมาก่อนที่จะแยกตัวจากฝูงและบินไปทางตอนใต้
หลังจากที่ได้รับสัตว์ขี่แล้ว ลู่โจวไม่ต้องการที่จะจับฉลากนําโคชอีกต่อไป ตัวเขาหันมาสนใจ เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์แทน
หลังจากที่ทําความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ลู่โจวก็เข้าใจถึงวิธีการใช้พลังวิเศษทั้ง 4 และ ผลที่ได้จากพลัง
ตัวเขาเหลือบไปมองคัมภีร์เปิดโลกาแทน มันจะให้พลังแบบไหนกันแน่?
ตัวอักษรที่มาจากคัมภีร์เปิดโลกได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาลู่โจวทีละตัว มันดูแปลกประหลาด จนไม่อาจจะเข้าใจได้
ถ้าหากจะบอกว่าตัวอักษรที่มาจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์คล้ายกับภาษาอียิปต์โบราณของมนุษย์สมัยก่อน ตัวอักษรที่มาจากคัมภีร์เปิดโลกาก็คงจะดูยุ่งเหยิงกว่ามาก อย่างน้อยๆ ลู่โจวก็สามารถจับทางของอักษรในเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ได้ แต่ตัวอักษรทั้งหมดจากคัมภีร์เปิดโลกา ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ ถ้าหากเป็นแบบนี้ลู่โจวคงทําได้แค่เพียงทําสมาธิเพื่อทําความเข้าใจมัน ถ้าหากมันคล้ายกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรก ตัวอักษรทั้งหลายจะค่อยๆเปิดเผยให้ลู่โจวได้ เข้าใจเอง
ลู่โจวขมวดคิ้ว คงได้แต่รอแล้วล่ะนะ มาดูราคาของการ์ดในร้านค้าดีกว่า”
หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้แยกเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรกและคัมภีร์เปิดโลกาออกจากกัน ตัวเขาไม่ได้รีบทําความเข้าใจคัมภีร์ที่ได้รับมาใหม่ ลู่โจวเลือกที่จะนั่งสมาธิเพื่อศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรกก่อน
เพื่อความปลอดภัยมีแต่จะต้องเติมพลังวิเศษให้เต็ม” ด้วยความคิดแบบนั้นจึงทําให้ลู่โจวนั่งสมาธิก่อนที่จะกําหนดลมหายใจในทันที
ภายในห้องประชุมของสถานศึกษาไท
“ท่านปรมาจารย์…พวกเราจะสู้กับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ยังไง? ในตอนนี้พวกเราใกล้จะหมดเวลาเต็มที่ ใครกันจะรับมือกับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้? ในตอนนี้เหลือเวลา ไม่กี่วันเท่านั้น!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จนหน้าแดงระเรื่อ
“เว้นแต่ว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเหลือเรา ข้าไม่เห็นทางออกอื่นเลย…”
“เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์กําลังต่อสู้กับสํานักอเวจี พวกเขาไม่มีเวลามีเหลียวแลพวกเราหรอก!”
ทุกคนในห้องต่างก็มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ทุกคนต่างก็เหลือบมองมายังหลินซินอย่าง กังวล
หลินซินดูอารมณ์ไม่ดีเช่นเดิม ในโลกของยุทธภพตอนนี้ แม้แต่สํานักอันเลื่องชื่อยังต้องยอมอ่อนข้อให้เมื่อได้พบกับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ
ยอดฝีมือส่วนใหญ่มักจะเลือกซ่อนตัวอยู่แต่ในม่านพลังของตนเพื่อที่จะฝึกฝนตัวเองอย่างลับๆ มันเป็นการปรับปรุงพลังวรยุทธที่พวกเขามี น่าเสียดายที่การจะมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
อันที่จริงแล้วหลินซินไม่ได้มีความคิดดีๆอะไร
ในตอนนั้นเองศิษย์สาวกคนหนึ่งก็เข้ามา “ท่านปรมาจารย์ รัชทายาทเสด็จมา!”
ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นตกใจ
“รีบพาเข้ามาซะ”
เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นสาวกคนหนึ่งก็ได้นําทางรัชทายาทหลิวจือเข้ามาในห้องประชุม
ผู้อาวุโสของสถานศึกษาไท่ซูต่างลุกขึ้น
หลิวจือที่เดินสู่ห้องประชุมได้โบกมือก่อนจะเริ่มพูด “ไม่จําเป็นจะต้องพิธีรีตองหรอก พวกเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” หลิวจือเดินเข้าไปในห้องประชุมก่อนที่จะนั่งลงบนที่นั่นที่เคยเป็นของหลินซิน
หลินซินไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากจะต้องนั่งทางซ้ายแทน
หลินจือนั่งลง “ข้ารู้ว่าพวกท่านกําลังตกเป็นเป้าหมายของศาลาปีศาจลอยฟ้าข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะสะสางเรื่องนี้ให้กับพวกท่าน”
ดวงตาของสาวกสถานศึกษาไทชูสว่างขึ้น
หลินซินได้คารวะก่อนที่จะเริ่มพูดออกมา “ได้โปรดชี้แนะพวกเราด้วยเถอะ”
เมื่อได้ฟังแบบนั้นหลิวซื้อก็ได้กวักมือเรียกใครบางคนที่อยู่ด้านนอก
ทหารทั้งสองคนเดินเข้ามาด้านใน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ถือกล่องใบหนึ่งมาด้วย พวกเขาได้วางกล่องใบนั้นลงบนพื้น
ทุกๆ คนมองไปที่กล่องอย่างสับสน
หลิวจือได้สั่งการต่อ “เบิดมันเร็วเข้า!”
ทหารติดตามทั้งสองคนรีบเปิดกล่อง
เมื่อทุกคนมองไปตรงกล่อง พวกเขาก็ได้เห็นชุดเกราะที่ดูเก่าแก่อยู่ภายในนั้น ที่ชุดเกราะเต็มไปด้วยลวดลายสีแดง มันเป็นลวดลายของเขตแดนแห่งการป้องกัน แต่อย่างไรก็ตามก็เพราะกาลเวลาจึงทําให้ชุดเกราะตัวนี้ดูทรุดโทรม ในตอนนี้มันเริ่มดูคล้ายกับสีม่วงมากกว่าที่จะเป็นสีแดงแล้ว
“นี่มันคืออะไรกัน?” หลินซินถามออกมาด้วยความงุนงง
หลิวจือตอบกลับมา “ข้าไม่มีเวลาที่จะมาช่วยเหลือพวกท่านมากนัก แต่การที่สถานศึกษาไทชู จะต้องเผชิญหน้ากับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบก็ยังถือเป็นเรื่องยากอยู่ดี ในใต้หล้านี้คงจะมีเพียงเหล่าราชสํานักเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรได้ เพราะแบบนั้นข้าจะให้ยืมชุดเกราะตัวนี้ แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่หนึ่งอย่าง”
หลินซินยังคงไม่เข้าใจอะไร
เกราะ? เงื่อนไข?
หลินซินรีบพูดขึ้น “ได้โปรดชี้แนะพวกเราให้กระจ่างด้วย”
หลิวจือเหลือบมองหลินซินก่อนที่จะถามออกมา “ท่านรู้ไหมว่าทําไมองค์จักรพรรดิ องค์ก่อนถึงสามารถพิชิตมณฑลทั้งเก้าและรวมเมืองทั้ง 12 เมืองของชาวหรงซีและหรงเปยได้? ที่องค์จักรพรรดิทําได้ก็เพราะพวกเรามีพลังอํานาจยังไงล่ะ…”
สถานศึกษาไท่ซูอยู่ใกล้ชิดกับทางพระราชสํานักมาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้ดีว่า ทางราชสํานักมีพลังอํานาจมากเพียงใด
หลิวจือยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าจะบอกความจริงกับท่านเอง…ชุดเกราะนั่นมาจากสุดยอดฝีมือ จากบันทึกที่ทางราชสํานักมี ชุดเกราะตัวนี้ได้มาจากดินแดนทางตอนเหนือ สุดยอดฝีมือคน นั้นก็คือผู้มากับโลงศพ เขาก็คือผู้ที่เดินทางไปทั่ว 12 เมืองของชนเผ่าอื่นจรดไปถึงดินแดนหยาน ชายคนนั้นเคยว่าเอาไว้ เขาได้บอกเอาไว้ว่าไม่มีใครควรมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ พลังพิเศษที่ ชุดเกราะตัวนี้มี มีไว้เพื่อเผชิญหน้ากับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบนั่นเอง
สุดยอดฝีมือ?
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปจนเหลือแต่ความกลัว
ดูเหมือนว่าหลิวจือจะไม่ได้พูดโกหก นี่คือหนึ่งในไพ่ตายของราชสํานักอย่างงั้นสินะ?
หลิวจือพูดต่อ “นอกจากนี้สุดยอดฝีมือที่ข้าพูดถึงยังเป็นผู้สร้างเขตแดนพลังทั้งสิบในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย”
ทุกคนในใต้หล้าต่างก็รู้กันดี พลังของเขตแดนพลังทั้งสิบของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มันทรงพลังมากแค่ไหน ไม่ว่าเหล่ายอดฝีมือจะมีพลังอวตารที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม แต่ราชสํานักก็ยังรักษาสถานะที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีมาได้ตลอดก็เพราะเขตแดนพลังที่ว่า
เป็นเวลากว่าหลายพันปีแล้วที่มีผู้คนสันนิษฐานว่าเขตแดนพลังทั้งสิบนั้นเกิดมาจากภูมิปัญญาหลายอย่างจากชาวลัทธิขงจื้อ แต่เมื่อได้ฟังคําพูด สิ่งที่ได้ถือกันมานานจะต้องเป็นเรื่องเท็จอย่างไม่ต้องสงสัย ทางราชสํานักยังมีความลับอีกมากมายขนาดไหนกัน?
หลังจากที่หยุดพูดได้พักหนึ่ง ในที่สุดหลินชินก็ได้กล่าวออกมา “ท่านกําลังบอกให้ข้าสวมใส่ชุดเกราะตัวนี้เพื่อสู้กับปรมาจารย์จีอย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้อง”
ทุกๆ คนต่างก็สบตากัน
แม้ว่าหลินซินจะมีชีวิตอยู่มานาน แต่ตัวเขาก็ไม่สบายใจอยู่ดีเมื่อได้ฟังคําพูดของหลิวคือ
“แล้วพวกเราจะรู้ได้ยังไงกันว่านี่เป็นชุดเกราะที่มีพลังของแท้?”
พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเคยเป็นพลังในฝันมาก่อน ถ้าหากปรมาจารย์จีไม่ได้แสดงความสง่างามของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบให้กับชาวโลกได้เห็น จนถึงตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครเชื่อว่าพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะมีอยู่จริง
“ท่านน่ะไม่มีทางเลือก!” หลิวจือตอบกลับด้วยน้ําเสียงอันหนักแน่น
“” หลินซินที่ได้ฟังแบบนั้นพูดไม่ออก
“ถ้าหากท่านไม่เชื่อข้า ท่านก็ดูชุดเกราะซะสิ…ดูซะว่าใครเป็นผู้สร้างชุดเกราะขึ้นมา?” หลิวจือพูดเสริม
นิ้วของหลินซินสั่นในขณะที่เอื้อมมือลงไปหยิบเกราะหมวก หมวกเกราะมันหนักราวๆ 50 กิโลกรัม
แต่เมื่ออยู่ในมือของผู้ที่ฝึกยุทธแล้ว น้ําหนักแค่นี้ไม่ได้มีผลอะไรกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ
หลินซินยังคงประคองเกราะเอาไว้ในมือ ตัวเขาได้ศึกษาเกราะที่เห็นอย่างละเอียด หลินซินเป็นปรมาจารย์แห่งสถานศึกษาไทชู และเขาก็ยังเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงเป็นคนที่มีความรู้และฉลาดหลักแหลมเหนือกว่าคนทั่วๆไป เมื่อเห็นลวดลายอยู่บนชุดเกราะ ตัวเขาก็รู้สึกสันไปทั้งตัว หลินชิ้นเผลออุทานออกมาอย่างตื่นเต้น “เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่มีพลังวรยุทธต่ํากว่า ไม่อาจเข้าใจความตื่นเต้นที่หลินซินมีได้เลย ไม่มีใครรู้ เลยว่าชุดเกราะที่เห็นพิเศษกว่าชุดเกราะทั่วๆไปอย่างไร
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลินซิน หลิวจือก็รู้ว่าหลินซินสามารถบอกได้ว่าชุดเกราะตัวนี้แตกต่าง กว่าชุดเกราะตัวอื่นๆ เมื่อเห็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้ยิ้มออกมาอย่างหยิ่งผยอง “ท่านคิดว่าฝ่าบาท จะใช้ความพยายามอย่างหนักในการศึกษาเรื่องของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเพียงเพราะได้ยินตํานานที่ไม่มีมูลมาหรือไงกัน?”
“ไม่แปลกเลย…ข้าไม่แปลกใจเลยจริงๆ”
“ พอได้แล้ว ลวดลายพลังที่อยู่บนชุดเกราะเป็นลวดลายเฉพาะตัว มันไม่สามารถเลียนแบบได้แน่” หลิวจือพูด
หลินซินพยายามระงับความตื่นเต้นที่ตัวเองมีก่อนจะถามออกมา “แล้วเงื่อนไขของท่านล่ะ?”