ตอนที่ 523 ท้าทาย
ลู่โจวเดินออกมาจากลานหน้าศาลาที่เกิดเหตุ พลังจากชุดเกราะมันอยู่เกินความคาดหมายของตัวเขาไปอย่างสิ้นเชิง ในตอนที่ชุดเกราะมันระเบิดออก สิ่งที่เหลือมีเพียงชิ้นส่วนชุดเกราะเท่านั้น เมื่อชุดเกราะระเบิดพลังใยสีแดงออกมา ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้พบกับคัมภีร์เปิดโลกา เมื่อเห็นคัมภีร์เล่มใหม่ลู่โจวก็นึกย้อนไปถึงคัมภีร์ที่ได้มาจากสุสานเมลิล็อต แม้ว่าคัมภีร์จะผ่านกาลเวลามานานแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เสียหายไปตามกาลเวลา ที่เกราะตัวนี้ยังอยู่มาหลายพันปีได้ ก็คงจะมาจากพลังของคัมภีร์เปิดโลกาแน่
หรือว่านี่จะเป็นพลังพิเศษที่ชุดเกราะตัวนี้มี?”
ในตอนนั้นเองซูยู่ชูก็ได้โค้งคํานับให้กับลู่โจว “พี่ใหญ่ หลินซินกับข้าต่างก็มีพื้นฐานที่เหมือนๆกัน ข้าควรจะไปพบเขาเป็นการส่วนตัวดีไหม?”
ลู่โจวมองไปที่ซูยู่ชู “ถ้าหากเจ้ายังมีพลังวรยุทธที่เคยมี ข้าก็คงจะไม่ห้ามเจ้า แต่ในตอนนี้เจ้าได้ตัดดอกบัวทองคําออกไปแล้ว เจ้าจะจัดการกับหลินซินได้ยังไงกัน?”
ซูยู่ชูยกไม้เท้าขึ้นมาอย่างช้าๆ นางเคาะมันลงบนพื้นก่อนที่ร่างพลังอวตารของนางจะปรากฏขึ้น พลังอวตารที่นางมีไว้ซึ่งดอกบัวทองคําที่ใต้เท้าของร่างอวตารมีกลีบดอกบัวสองกลีบกําลังหมุนเวียนอยู่
“ด้วยความเหลือจากท่าน ข้าจึงได้กลายมาเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบแล้ว” ที่สีหน้าของซูยู่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ การที่นางจะอวดอ้างไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกเลย หลังจากตัดดอกบัวทองคํานางก็ฝึกฝนตัวเองมาอย่างพากเพียร เป็นเพราะความสามารถที่นางมีจึงทําให้นางกลายมาเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบในเวลาอันสั้นได้
ลู่โจวส่ายหัว “สองกลีบมันน้อยเกินไป”
ใบหน้าของซูยู่ชูผิดหวัง
ในตอนนั้นเองซูฮ่องกงก็ได้พูดแทรก “อย่าได้เศร้าไปเลยผู้อาวุโสซู ข้าเพิ่งจะมีกลีบดอกบัวเพียงแค่กลีบเดียวเท่านั้น…แม้ว่าพวกเราจะตัดดอกบัวในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แต่ท่านก็ยังพัฒนาตัวได้เร็วกว่าข้าอยู่ดี”
“….” ซูยู่ชูเดินโซเซก่อนที่จะทรุดตัวลง
“ผู้อาวุโสซู!”
“ข้าข้าไม่เป็นไร” ซูยู่ชูมองไปที่ซ่ฮ่องกงที่อยู่ข้างๆนาง “ช่างน่าหงุดหงิดอะไรแบบนี้ ทั้งความสามารถ พลังวรยุทธ ประสบการณ์ หรือแม้แต่เคล็ดวิชาที่มี เจ้านี่มันกล้าเปรียบเทียบตัวเองกับข้าได้ยังไงกัน?” ซูยู่ชูไม่อยากจะเชื่อว่าตัวนางจะถูกคนอย่างซูยู่ชูตามทัน
“อยู่ที่นี่และฝึกฝนพลังวรยุทธของเจ้าต่อไปจะดีกว่า…ถ้าหากเจ้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ ในอนาคตย่อมได้แสดงความสามารถแน่” ลู่โจวที่พูดจบหันหลังก่อนที่จะเดินจากไป
“เดินทางปลอดภัย ท่านปรมาจารย์”
ลู่โจวเดินกลับไปยังศาลาตะวันออก ตัวเขาไม่ได้รีบร้อนทําสมาธิกับเคล็ดวิชาใหม่ที่ได้รับมาจากประสบการณ์ที่เคยทําสมาธิเพื่อทําความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรก ลู่โจวในตอนแรกได้เข้าสู่สภาวะที่ไม่รู้สึกตัวไป ตัวเขาในตอนนั้นไม่ได้ดึงความสนใจให้อยู่กับตัวเองให้มากพอ เป็นเพราะตอนนั้นลู่โจวมีพลังวรยุทธที่ต่ําต้อย และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงเลือกที่จะขังตัวเองเพื่อทําสมาธิ
ในตอนนี้ราชสํานักกําลังจับตาดูศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ ถ้าหากมีวิธีจัดการกับผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจริงๆ ชุดเกราะพิเศษตัวนี้ก็คงจะไม่ใช่ไพ่ตายเพียงใบเดียวที่พวกเขามีแน่
เพื่อความปลอดภัยลู่โจวจึงตัดสินใจที่จะข่มขู่ราชสํานักต่อไป
วันรุ่งขึ้นมีจดหมายมาถึงสถานศึกษาไท่ซู
จดหมายฉบับนั้นได้สร้างความหวาดกลัวให้กับสาวกของสถานศึกษาไปชั่วครู่หนึ่ง
ผู้อาวุโสของสถานศึกษาไท่ซูรีบเรียกประชุมในทันที
ภายในห้องประชุม
หลินซินกวาดตามองไปที่ผู้อาวุโสทั้งหลายก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกมา “โจวเหวินเหลียง หวังเจียนราง และจางกงอยู่ที่ไหนกัน?”
“ท่านประมุข ผู้อาวุโสทั้งสามคนได้ออกจากที่นี่ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วและพวกเขาก็ยังไม่กลับมา”
หลินซินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ช่ามัน”
“ประมุขแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ส่งจดหมายมาอีกฉบับ คราวนี้สิ่งที่ตัวเขาต้องการก็คือหัวของท่าน นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!”
ดูเหมือนกว่าการมาเยือนขององค์รัชทายาทจะสร้างความมั่นใจให้กับเหล่าผู้อาวุโสได้บ้าง
หลินซินได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ข้าตัดสินใจที่จะต่อสู้กับจีเทียนเด้ในอีกสามวันต่อจากนี้ที่ยอดเขาดันยาง มีใครอยู่ไหม?”
สาวกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น “ครับ ท่านประมุข”
“เอาชุดเกราะมาให้ข้า”
“ครับ ท่านประมุข”
ในเวลาไม่นานสาวกทั้งสองคนก็เดินถือกล่องเข้ามาในห้องประชุม
เมื่อหลินซินเห็นกล่อง ตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างห้าวหาญ “จะสําเร็จหรือว่าล้มเหลวมันก็ขึ้นอยู่กับของชิ้นนี้แล้วล่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวจากประมุขแห่งสถานศึกษาไท่ซูที่ต้องการท้าทายวายร้ายจีเทียนเด็กได้แพร่ไปทั่วยุทธภพพ
หลินซินประมุขแห่งสถานศึกษาไท่ซูเป็นผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเท่านั้น แต่ทําไมกัน เขาถึงได้กล้าหาญถึงขั้นท้าทายจีเทียนเดําได้?
ทุกคนต่างก็พูดคุยเรื่องนี้กันมากขึ้น
ณ ตอนบ่าย สาวกของสํานักเฮ้งชูเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
ชิกงประมุขแห่งสํานักเฮ้งชูได้เรียกประชุมเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย
“ข้าได้ยินมาว่าหลินซินตั้งใจที่จะท้าประลองจีเทียนเดําบนยอดเขาดันยาง พวกเจ้าคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงกัน?” ชิกงเป็นผู้เปิดการสนทนา
“หลินซินต้องเสียสติไปแล้วแน่ ในสมัยที่หลินซินยังหนุ่ม ตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะยั่วโมโหจีเทียนเด๋าซะด้วยซ้ํา แล้วทําไมตาแก่นั่นถึงอยากทิ้งชีวิตในตอนนี้ด้วย? จะท้าประลองจีเทียนเด๋าผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเพื่ออะไรกันแน่?”
ผู้อาวุโสคนที่สามพูดขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทหลิวจือได้ไปเยี่ยมเยียนที่สถานศึกษาไทชู และเพราะการมาเยือนของเขาทําให้หลินซินมีความมั่นใจที่มากขึ้น”
“ความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น? ความมั่นใจคงไม่เพิ่มมากขึ้นแน่เว้นแต่ว่าจะมีใครสักคนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะสามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ หรือไม่ก็สามารถติดตั้งเขตแดนพลังทั้งสิบบนยอดเขาดันยางได้”
ประมุขแห่งสํานักเฮ้งชูส่ายหัวก่อนจะพูดต่อ “ผู้อาวุโสของพวกเราก็ถูกศาลาปีศาจลอยฟ้าจัด การไปเป็นไปได้สูงที่เป้าหมายต่อไปของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะเป็นพวกเรา”
ทุกๆคนต่างก็ตกตะลึง สิ่งที่ประมุขพูดล้วนถูกต้องทุกอย่าง สิ่งที่สถานศึกษาไทชูกําลังเจอก็คือสิ่งที่สํานักเฮ้งชูจะต้องเจอในอนาคต
“ส่งคนของพวกเราไปที่ยอดเขาดันยาง ไปสังเกตการณ์ซะ”
“ครับ ท่านประมุข”
สถานศึกษากลุ่มดาบหมีใหญ่
ประมุขโจวได้รวบรวมสาวกกว่าหลายคนก่อนจะพูดขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าประมุขของสถานศึกษาไท่ซูหลินซินกําลังท้าทายจีเทียนเด้ให้มาต่อสู้บนยอดเขาดันยาง พวกเจ้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ซะ จําเอาไว้ว่าแค่สังเกตการณ์ก็พอ”
“ครับ ท่านประมุข”
โจวยูไคพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าหากหลินซินพ่ายแพ้ พวกเจ้าก็ทําเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าหากหลินซินชนะ พวกเจ้าก็ส่งจดหมายให้ข้าซะ”
“ครับ ท่านประมุข!”
ในเวลาเดียวกันที่สถานศึกษาลิขิตฟ้า, ยอดฝีมือทั้งหลายในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์, บริวารของราชสํานักทั้งหมด, ราชองครักษ์ และผู้รอดชีวิตจากสํานักใหญ่ทั้งสิบจากการสังหารหมู่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า ทุกๆฝ่ายต่างก็ส่งคนไปยังยอดเขาดันยางเช่นกัน
ณ วันที่สาม
ที่ยอดเขาดันยาง
เช้าวันนี้เป็นวันที่สดใสและแสงแดด สายลมอ่อนๆได้พัดผ่านยอดเขาไป
หลินซินประมุขแห่งสถานศึกษาไท่ซูนั่งอยู่ที่ใจกลางแท่นหินขนาดใหญ่อย่างสง่างาม
สาวกอีกสองคนยืนอยู่ที่ด้านข้างของหลินซิน ทั้งสองคนต่างก็เหงื่อออกท่วมใบหน้า ก็เพราะขาดความมั่นใจ
“กระจายข่าวออกไปนานแค่ไหนแล้ว?”
“ข่าวถูกส่งออกไปเมื่อสองวันก่อนครับ ท่านประมุข”
หลินซินมองดูดวงอาทิตย์ที่อยู่เบื้องบน “ช่วยข้าสวมชุดเกราะซะ”
“ครับท่านประมุข”
เมื่อสาวกทั้งสองคนเปิดกล่องออกมา พวกเขาก็หยิบชุดเกราะไปที่ด้านข้างของหลินซินด้วยความเคารพ
หลินซินเหลือบมองไปที่ชุดเกราะก่อนที่จะถามออกมา “ทําไมชุดเกราะถึงได้ห่ออยู่ในชุดคลุมล่ะ?”
“ผู้อาวุโสโจวได้บอกเอาไว้ ถ้าหากเราซ่อนชุดเกราะไว้ในเสื้อคลุม ในยามที่พวกเราเปิดเผยชุดเกราะ เมื่อนั้นมันจะต้องเป็นภาพที่น่าประทับใจขึ้นแน่” สาวกคนหนึ่งได้ตอบตามหน้าที่ไป
ในวัยของหลินซินปูนนี้ ตัวเขาไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ตัวเขารู้สึกว่าตัวเองจําเป็นจะต้องแสดงความกล้าหาญและความน่าเกรงขามออกมา หลินซินที่สวมใส่ชุดเกราะอยู่ได้พูดขึ้น “ในตอนนี้ข้าแน่ใจว่าจะต้องมีหลายสํานักคอยจับตาดูการต่อสู้ของข้า ข้าจะแสดงให้กับทุกคนได้เห็นเอง”
“ท่านประมุข..พวกเราต้องพึ่งพาท่านแล้ว” สาวกทั้งสองคนได้พูดก่อนจะถอยกลับไป
หลินซินได้หัวเราะก่อนจะพูดขึ้น “ข้ารู้ว่าคนจากทุกสํานักจะต้องคิดว่าข้าเสียสติไปแล้วแน่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้าได้ความมั่นใจนี้มาจากไหน…”
“ท่านประมุข ชุดเกราะนี้ทําให้ท่านมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างงั้นเหรอ?”
“เดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้รู้เองแหละ” หลินซินลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า
สาวกทั้งสองคนไม่รู้จะพูดอะไรอีก
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธกว่าหลายคนก็ได้บินไปยังยอดเขาดันยาง ทุกคนต่างก็ซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกต่างๆ ทุกคนต่างก็เฝ้ามองยอดเขาอย่างไม่ละสายตา
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลาลับไป หลินซินก็หันกลับมามองทิศที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งอยู่ ไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนบินเข้ามาตัวเขาแม้แต่คนเดียว เมื่อเห็นแบบนั้นหลินซินก็ได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “มหาวายร้ายเองก็รู้สึกกลัวเป็นสินะ…”
“เขาจะต้องกลัวท่านประมุขแน่ๆ”
ยิ่งลู่โจวมาถึงช้ามากขึ้นเท่าไหร่ หลินซินก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่เวลาผ่านไป ตัวเขาก็ตั้งใจที่จะเดินทางกลับ
ในเวลาเดียวกันรถม้าลอยฟ้าก็ได้ปรากฏขึ้น มันเป็นรถม้าลอยฟ้าที่เต็มไปด้วยประกายแสง
ในที่สุดก็มาถึง!
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่รอบๆ ที่เหลือบเห็นรถม้าต่างก็เริ่มกระจายข่าว
“รถม้าลอยฟ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้ามาถึงแล้ว!”