ตลอดชีวิตของเรย์ร่า เธอมักจะอ่านหนังสือนิยายแฟนตาซีหรือการ์ตูนที่เกี่ยวกับเรื่องแบบนั้น ก่อนที่จะเกิดสงคราม พ่อของเธอทำงานเป็นนักเขียน ดังนั้นบ้านของเธอจึงเต็มไปเรื่องและหนังสือมากมาย โดยเรื่องโปรดของเธอนั้นก็เกี่ยวกับแวมไพร์
เธอหลงรักทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขา กับวิธีการรักษาความลับของพวกเขาไว้ภายในโลก พละกำลังมหาศาล ความเร็วระดับสูง รวมไปถึงความจริงที่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้แทบจะอมตะ
เมื่อทักษะและความสามารถต่างๆถูกยอมรับไปทั่วโลก มันทำให้เรื่องราวแฟนตาซีเหล่านี้กลายเป็นเรื่องในอดีตไป หลายคนอ่านเรื่องราวพวกนี้เพราะมันดูอยู่ในโลกที่เพ้อฝัน ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาจินตนาการถึงบางสิ่งที่ไม่สามารถจะทำมันได้ แต่ในตอนนี้ มนุษย์มีพลังพิเศษแล้ว ซึ่งประโยชน์ของมันคืออะไรกันล่ะ?
อย่างไรก็ตาม ความรักที่เธอมีให้แวมไพร์ไม่เคยตายไปสำหรับเรย์ร่า หากทักษะและความสามารถปรากฏออกมา ก็หมายความว่าอาจจะมีทักษะของพวกแวมไพร์อยู่เช่นกัน ซึ่งเมื่อเธอได้เห็นการกระทำของควินน์ มันก็ทำให้เธอมั่นใจอย่างมากว่าเขานั้นคือแวมไพร์จริงๆ
ควินน์พูดถูกว่าคนปกติธรรมดาไม่มีทางได้ข้อสรุปเช่นนี้ แต่นั่นเป็นเพราะเรย์ร่าไม่ใช่คนปกติ
เรย์ร่าจึงลุกออกจากที่นั่งของเธอและโค้งคำนับขณะคุกเข่าลงตรงหน้าควินน์ ซึ่งนักเรียนคนอื่นๆที่อยู่ในห้องสมุดแม้ว่าจะไม่ได้ยินการสนทนาใดๆ ก็อดไม่ได้ที่จะมองมายังพวกเขาทั้งคู่
“ขอร้องนะ ฉันจะทำทุกๆอย่างเพื่อนายเลย” เรย์ร่าพูด
“ก็ได้ๆ ฉันเข้าใจแล้ว ลุกขึ้นเถอะ” ควินน์ตอบ
พวกเขาทั้งสองคนกลับไปนั่งที่ของตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่ควินน์จะเริ่มพูดอะไรออกมา เขาถอนหายใจอย่างหนักหน่วงโดยคิดว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เธอฟังยังไง
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด” ควินน์พูด “ฉันไม่ได้เป็นแวมไพร์ ฉันกลายเป็นแบบนี้เพราะตำราแห่งทักษะ”
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเรย์ร่าก็เริ่มจางหายไป
“เธอรู้ใช่มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร?” ควินน์ถาม
เรย์ร่าพยักหน้า ซึ่งโดยพื้นฐาน ควินน์กำลังบอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะมอบทักษะนี้ให้กับเธอ ด้วยเหตุผลที่ว่าร่างกายของมนุษย์ สามารถถูกกระตุ้นได้เพียงหนึ่งทักษะ เมื่อรู้เรียนทักษะนั้นแล้ว มันจะทำยีนในร่างกายของคุณกลายพันธุ์ ทว่าเมื่อยีนกลายพันธุ์แล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเพิ่มการกลายพันธุ์ได้อีก
เนื่องจากเรย์ร่ามีทักษะด้านพลังจิตควบคุมอยู่แล้ว นั่นก็หมายถึงเธอไม่สามารถเรียนรู้ทักษะที่สองเพิ่มได้
“แล้วทำไมนายถึงซ่อนมันในโรงเรียนกันล่ะ? ทำไมนายถึงบอกพวกเขาว่านายไม่มีทักษะหรือความสามารถ? ถ้านายได้รับเจ้าสิ่งนี้จากตำรา นายก็ไม่ใช่ผู้มีทักษะตั้งแต่เกิดด้วยสินะ?”
“เธอเคยได้ยินทักษะอะไรที่เป็นแบบนี้หรือเปล่า?” ควินน์ถาม
เรย์ร่าครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วตะหนักว่าไม่มีอะไรที่ดูคล้ายกัน ไม่เคยมีการบันทึกถึงทักษะที่ต้องการให้ไปดื่มเลือดใครสักคนเช่นนี้
“แต่ถ้าหากนายบอกว่าได้รับมาจากตำราแห่งทักษะที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ ต้นฉบับจะไม่ใช่นายงั้นเหรอ? นายสามารถรวยได้จากการขายหนังสือเลยนะ!” เรย์ร่าพูดด้วยความตื่นเต้น
“ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นจริง แต่ฉันทำไม่ได้” ควินน์อธิบาย “เมื่อฉันเรียนรู้ความสามารถจากตำราเล่มนั้น มันก็หายไปเลย”
เรย์ร่ากำลังถกเถียงกับตัวเองว่าควินน์พูดความจริงหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเชื่อเขา ซึ่งมันเป็นเพียงการอธิบายว่าทำไมควินน์ถึงจริงจังกับการซ่อนทักษะของตัวเองไว้เท่านั้น ตำราแห่งทักษะเหล่านั้นไม่ได้หายไป เพราะมันคือหนังสือ และสิ่งเหล่านี้ถูกส่งต่อให้ผู้คนเรียนรู้ได้
หากผู้คนค้นพบเกี่ยวกับเรื่องนี้ กองทัพและบริษัทต่างๆนาๆ จะกดดันให้ควินน์เผยแพร่ทักษะของเขาออกไปทั่วโลก ซึ่งควินน์ก็ไม่มีครอบครัวที่มีอิทธิพลค่อยหนุนหลัง เรย์ร่าไม่อยากจะจินตนาการว่ามันจะทำอะไรกับเขาบ้าง
คนพวกนั้นจะไม่มีทางเชื่อเขา ถ้าเขาบอกว่าเขาได้รับมันมาจากตำราแห่งทักษะแล้วมันดันหายไป
ควินน์จึงเริ่มเล่าให้เรย์ร่าฟังเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ โดยทักษะของเขาไม่ต่างจากเกม ตัวอย่างเช่น ระบบจะทำการมอบภารกิจแปลกๆมากมายให้กับเขา ถึงจะสามารถปลดล็อคสกิลได้ ซึ่งไม่เหมือนเรื่องราวของแวมไพร์ที่เรย์ร่าเคยอ่าน แต่ในเวลาเดียวกันดูเหมือนระบบจะใช้หลักเกณฑ์ที่คล้ายๆกัน
“ไม่เป็นไร ฉันจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับแต่มีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ ฉันจะเป็นคนช่วยนายเอง” เรย์ร่าพูด “เห็นได้ชัดเลยว่านายไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก มากจนนายเสียการควบคุมและมากัดคอของฉัน พวกเราไม่สามารถให้นายไปกัดใครก็ได้ในโรงเรียนนะ คนพวกนั้นจะพานายไปทั้งที่ยังเป็นๆ ถ้าหากนายรู้สึกอยากจะกินใครสักคน ให้มากินฉันได้เลย” เรย์ร่าพูดแล้วทาบมือลงบนตัวของเธอ
ควินน์เริ่มนึกถึงสถานการณ์โดยมีเรย์ร่าเป็นผู้ช่วย มันคือข้อได้เปรียบที่ดีมาก ซึ่งควินน์เองก็ต้องการทดสอบอะไรอีกหลายๆอย่างของระบบ และตอนนี้ก็มีคนเสนอตัวช่วยเขาแบบฟรีๆ
และมัน ให้ความรู้สึกว่าเรย์ร่ากำลังพูดความจริง ไม่เพียงแค่นั้น ดูเหมือนว่าเรย์ร่าจะมีความรู้เกี่ยวกับแวมไพร์มากกว่าเขา บางทีเธออาจจะช่วยเขาในการค้นคว้าได้
“ก็ได้ ฉันตกลง” ควินน์พูดขณะที่ทั้งสองคนจับมือกัน
เรย์ร่ามีความสุขที่ควินน์ตอบตกลง ความจริงแล้วเรย์ร่ายังคงไม่ล้มเลิกกับการเป็นแวมไพร์ ซึ่งแตกต่างจากควินน์ เรย์ร่าก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าสิ่งที่ควินน์มีมันคือทักษะในช่วงแรกๆ เนื่องจากพวกทักษะพิเศษมักจะเป็นชุดเฉพาะของสกิลนั้นๆ แต่ควินน์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว
“เอาล่ะ เรื่องแรกที่สำคัญสุด นายต้องเอาเลือดจากฉันไปบ้าง” เรย์ร่าพูด “ด้วยวิธีนี้ถ้านายหิวอีก นายจะได้ดื่มมันได้เลย”
เรย์ร่าพูดพลางดึงคอเสื้อลงเล็กน้อยเผยให้เห็นคอของเธอต่อหน้าควินน์
“คิดอะไรของเธอเนี่ย? เราทำแบบนั้นไม่ได้นะ ยิ่งอยู่ในห้องสมุด และฉันก็จะไม่กัดคอของเธอด้วย”
ขณะที่ทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในห้องสมุด ถึงสิ่งที่จะทำต่อไป
วอร์เด็นก็ได้เข้ามาที่ห้องสมุดและมองเห็นควินน์กำลังคุยกับเรย์ร่า ทั้งสองคนคุยกันและยิ้มแย้มให้กันตลอด
“นายลืมฉันเร็วเหลือเกินนะ” วอร์เด็นพูด “นายเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆเลย ทีเหลือฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าการทรยศฉันมันเป็นยังไงควินน์.. ถ้าคนพวกนั้นเรียกฉันว่าเป็นสัตว์ประหลาด ฉันจะยอมรับมันแล้วกลายเป็นแบบนั้นซะ”