ทั้งสองคนมารวมตัวกัน ณ สวนสาธารณะ มันไม่ใช่การพูดคุยสบายๆในยามเย็นที่เงียบสงบเท่านั้น แต่ยังมีจุดประสงค์อื่นอีกด้วย ถึงแม้ว่าควินน์จะทราบดีว่าเรย์ร่านั้นหมกมุ่นกับอะไรบางอย่างมากจนเกินไป แต่ตัวตนที่แปลกๆของเธอก็มีประโยชน์กว่าที่คิดไว้
จุดประสงค์ทั้งหมดของวันนี้ คือหาว่ามีวิธีไหนบ้าง ที่จะลดผลกระทบของแสงอาทิตย์ หรือแม้แต่วิธีการหยุดผลกระทบของมันเอาไว้ชั่วคราว นั่นจึงไม่มีใครเหมาะสมกับเรื่องนี้ได้ดีไปกว่าเรย์ร่า เธอรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเหล่าแวมไพร์ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเธอได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขามาตลอด
เธอสั่งสิ่งของทุกอย่างที่คิดว่ามันน่าจะได้ผล
ควินน์มองไปที่สิ่งของทั้งหมดที่เธอนำมา ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นสิ่งของสองสามอย่างบนพื้นใกล้ๆกับเธอ มันคือโลหะรูปไม้กางเขน กระเทียมหนึ่งหัว และเครื่องประดับสีเงินหนึ่งชิ้น
“โอ้ อันนี้เอาไว้ที่หลัง” เรย์ร่าพูดด้วยท่าทีเขินอายเมื่อเห็นว่าควินน์จ้องมองสิ่งของๆเธอ “เราควรจะพยายามหาว่านายมีจุดอ่อนอะไรอีกไหม ที่เหมือนกับแวมไพร์ปกติตนอื่น”
“ตามนั้นก็ได้ งั้นทำไมไม่ลองร่มก่อนเลยล่ะ” ควินน์พูดขณะที่คุกเข่าลงเพื่อหยิบมันขึ้นมา
จากนั้น ควินน์ก็ยืนขึ้นและกางร่มออก มันเป็นร่มสีดำทึบ ที่ให้ความรู้สึกมั่นใจว่าแสงจะไม่สามารถทะลุหรือลอดผ่านได้ ควินน์ทำการปรับร่มอยู่ประมาณสองสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของเขาจะปกคลุมไปด้วยร่มเงาอย่างสมบูรณ์ และตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที
[ ค่าสถานะทั้งหมดกลับสู่สภาวะปกติ ]
ในขณะที่ควินน์อยู่ใต้ร่มเงาอย่างสมบูรณ์ ค่าสถานะของเขาก็กลับเป็นปกติ จากนั้นเขาก็ยื่นมือของตัวเองออกไปนอกร่มเล็กน้อย ทันทีปลายนิ้วของเขาเฉียดความร้อนข้างนอก หน้าจอสถานะก็แสดงผลกระทบดังเดิม
[ คุณได้รับผลกระทบจากแสงแดดโดยตรง ]
[ ค่าสถานะทั้งหมดของคุณจะลดลงครึ่งหนึ่ง ]
“เป็นไงบ้าง?” เรย์ร่าถาม
“มันได้ผลนะ แต่พอร่างกายของฉันโดนแสงแดดแค่นิดเดียว ฉันก็เริ่มรู้สึกอ่อนแอขึ้นมาทันทีเลย”
มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แม้ว่าการถือร่มจะคืนค่าสถานะปกติให้กับเขา แต่มันยากมากเมื่อต้องใช้ไปพร้อมๆกันกับการต่อสู้ มือข้างหนึ่งจะถูกบังคับให้ถือร่มอยู่ตลอดในขณะที่ใช้มืออย่างอิสระได้เพียงข้างเดียวเท่านั้น นอกจากนี้มันเป็นยังเป็นจุดอ่อนขนาดใหญ่ ซึ่งศัตรูสามารถทำลายทิ้งได้ง่ายๆเลย
แต่ว่าอย่างน้อย ถ้าเขาพกร่มติดตัวไปไหนมาไหน เขาก็จะไม่รู้สึกอ่อนแออีกต่อไป มันเป็นหนึ่งในความคิดดีๆที่ตอนนี้เขาจะเก็บเอาไว้
“นั่นคือร่มพิเศษนะ” เรย์ร่ากล่าว “เป็นร่มที่ใช้เพื่อป้องกันรังสียูวีจากแสงอาทิตย์ได้ แม้ว่ามันจะสามารถป้องกันแสงส่วนใหญ่ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ป้องกันไม่ได้ทั้งหมดหรอก บอกตามตรงฉันก็ตกใจที่มันได้ผล”
“เพราะรังสียูวีงั้นเหรอ ที่เป็นสาเหตุทำให้ฉันรู้สึกอ่อนแอ?”
“ไม่จำเป็นหรอก ฉันหมายถึง ตำนานของแวมไพร์มีอยู่เต็มไปหมด แต่ตำนานพวกนี้ต้องมีพื้นฐานมาจากอะไรสักอย่างใช่ไหมล่ะ?” เรย์ร่าจึงมองไปที่พื้นแล้วหรือหยิบครีมกันแดดขึ้นมา “ถ้าใช้ร่มแล้วได้ผลเพราะแสงยูวีเป็นต้นเหตุจริงๆ ครีมกันแดดก็น่าจะใช้ได้”
จากนั้น เรย์ร่าเดินเข้ามาหาควินน์และบีบครีมลงบนฝ่ามือของเธอ “พร้อมนะ?”
แล้วควินน์รู้สึกว่าเขาหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย กับการที่เรย์ร่าพยายามช่วยทาครีมกันแดดลงบนร่างกายของเขา เมื่อจ้องมองไปที่เรย์ร่าในตอนเธอไม่ได้สวมเครื่องแบบนักเรียน เขาก็รู้สึกว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆคนหนึ่ง ดังนั้นถึงเธอจะทำตัวแปลกๆอยู่บ้างและรู้เรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์มากจนเกินไป แต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตัวเองสนใจและหมกมุ่นอยู่กับมันทั้งนั้น
ฉับพลัน ควินน์ก็รู้สึกเย็นวูบที่ขา เธอใช้ความเงียบของควินน์ เป็นการตอบตกลง และเริ่มทาครีมไปทั่วร่างกายของเขา หลังจากตรวจเช็คทุกส่วนที่เธอมองเห็นครีมได้จนมั่นใจแล้ว เธอก็สวมแว่นกันแดดให้กับควินน์
“แม้ว่าเราจะหยุดแสงยูวีบนเปลือกตาของนายได้ก็เถอะ แต่เราทาครีมในดวงตาของนายไม่ได้นะ” เรย์ร่าพูด “อืม..ทำยังไงดี?”
รอบนี้ไม่มีผลลัพธ์อย่างที่คิดไว้ เมื่อเขาเปิดค่าสถานะขึ้นมาดู ครีมกันแดดไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่น้อย ควินน์ยังคงรู้สึกอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อและค่าสถานะก็ยังลดลงไปครึ่งหนึ่ง
“ดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับแสงยูวีเลย แม้ว่าร่มจะใช้งานได้ดีเพราะมันป้องกันแสงยูวีได้มากพอเหมือนกับครีมกันแดด ฉันก็เลยคิดว่ามันจะมีผลลัพธ์อะไรบ้าง แต่พอเป็นแบบนี้ก็อาจจะมีคุณสมบัติอื่นๆของดวงอาทิตย์ที่เราไม่รู้จักก็ได้นะ”
บอกตามตรง ควินน์รู้สึกขอบคุณที่ครีมกันแดดไม่ได้ผล เมื่อนึกได้ว่าต้องตื่นขึ้นมาในแต่ละวันและทำมันเป็นกิจวัตร จนถึงจุดหนึ่งครีมก็จะเสื่อมประสิทธิภาพอยู่ดี
นอกจากนี้ เขาจินตนาการไม่ออกเลย ว่าในระหว่างการต่อสู้เขาจะขอให้อีกฝ่ายรอเขาแล้วทาครีมกันแดดให้ทั่วตัวก่อนได้ยังไง ภาพในหัวของเขา คือการขอให้วอร์เด็นช่วยมาบังให้ ขณะที่เขาเอาครีมกันแดดออกมาหนึ่งขวด
ในที่สุด ก็ถึงเวลาสำหรับการทดสอบครั้งสุดท้าย เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควินน์หวาดระแวงอย่างมาก นั่นคือการทดสอบสวมเสื้อผ้า เขามีเหงื่อและรู้สึกร้อนเช่นเดิม จึงจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะสวมเสื้อผ้าสีดำได้ยังไง แต่เขาคิดว่าคงดีที่สุดถ้ารีบทำๆเพื่อให้มันเสร็จๆไป
อันดับแรก ควินน์ได้สวมเสื้อสเวตเตอร์ท่อนบนของร่างกาย จากนั้นเขาก็สวมกางเกงขายาวสีดำหนาๆ เท้าของเขา แทนที่จะสวมรองเท้าผ้าใบเขาก็เปลี่ยนไปใส่รองเท้าบูทสีดำ มือของเขาก็แทนที่ด้วยถุงมือหนังขนสัตว์สีดำอีกเช่นกัน จนในที่สุด ศีรษะของเขาก็สวมหมวกทรงสูงขนาดใหญ่
เมื่อมองไปที่ควินน์ เรย์ร่าแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะของเธอไม่ไหว เขาดูตลกมากจริงๆ
“ฮึบไว้ หายใจเข้าเรย์ร่า” เธอพึมพำเบาๆ “เอาล่ะ ใส่เสื้อผ้าตรงไหนได้อีก?”
“ไม่มี ไม่ใส่อะไรเพิ่มแล้ว”
“ได้ไง เราน่าจะลองปิดส่วนที่เหลือให้หมดนะ”
จากนั้นเรย์ร่าก็แต่งตัวให้กับควินน์ต่อไป เธอคลุมใบหน้าของเขาเอาไว้ด้วยหมวกเหล็กครอบไปทั้งหัว แม้แต่ดวงตาของเขา เธอก็แปะที่มาสก์หน้าให้ และยังสวมหมวกทับขึ้นไปอีก ซึ่งตอนนี้ผิวหนังของเขาก็ถูกปกปิดจนหมดแล้ว
“เหลือตรงไหนอีก?”
“ไม่มีแล้ว!” ควินน์ตะโกนแต่เสียงนั้นอู้อี้ออกมาผ่านเสื้อผ้า
อย่างไรก็ตาม เรย์ร่าก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอรู้สึกว่าถ้าร่มใช้งานได้ผล วิธีแบบนี้นี้ก็ต้องได้ผลเช่นกัน เธอยังคงสวมเสื้อผ้าทั้งหมดที่นำมาให้กับควินน์ จนในที่สุด ขณะที่เธอสวมเสื้อผ้าทับไปเรื่อยๆ ควินน์ก็ตะโกนอะไรบางอย่างออกมา
“รอเดี๋ยว มันได้ผลแล้ว!” ควินน์กล่าว
แม้ว่าเสื้อผ้าทั้งหมดที่ควินน์สวมนั้นใช้การได้ผล ควินน์ก็ต้องสวมมันจนกระทั่งหนาถึง 3 นิ้ว จากนั้นเรย์ร่าจึงช่วยควินน์ถอดเสื้อผ้าพวกนี้ออกอย่างรวดเร็ว เพราะดูเหมือนขาของเขาเริ่มโอนเอนไปมา และกำลังจะสลบแทบทุกวินาที
หลังจากถอดเสื้อผ้าที่สวมทับๆกันออกจนหมด ควินน์ก็หยิบร่มมากางออกและพละกำลังก็กลับเข้าสู่ร่างกายของเขาอีกครั้ง ทั้งสองคนจึงนั่งลงบนพื้นหญ้าที่ตัดสะอาด ก่อนจะพูดคุยกันถึงผลการทดสอบ
“นายห้ามไปไหนในสภาพนี้นะ” เรย์ร่าพูด “นายแทบขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“เห็นด้วย แต่อย่างน้อยก็รู้แล้ว ว่าอะไรสำคัญสุดในการหยุดแสงแดดที่มาโดนตัวฉัน”
ควินน์เริ่มรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับร่ม ว่าบางทีเขาอาจจะหาเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุเดียวกันได้ เพราะปัญหาก็คือวัสดุอ่อนแอเกินไป จึงเป็นสาเหตุที่เสื้อผ้าส่วนใหญ่นั้นใช้ไม่ได้ผล เสื้อผ้าพวกนี้ป้องกันแสงแดดได้ไม่มากพอ เขาต้องการวัสดุที่ทนทานและยืดหยุ่นมากกว่านี้
มีบางอย่างที่อาจจะใช้งานได้ เช่น ชุดยางสีดำหรืออื่นๆ แต่ของแบบนี้ไม่แข็งแรงพอสำหรับการต่อสู้ มันสามารถฉีกหรือขาดออกจากกันได้ง่ายๆ และในตอนนั้นเขาจะกลับไปเป็นควินน์ที่อ่อนแอเหมือนเดิม
ทันใดนั้น ได้มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของควินน์ เขาเริ่มนึกถึงการต่อสู้ที่อยู่ในเกม VR ตอนที่เขาต่อสู้กับแซม ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมที่สามารถป้องกันการโจมตีของสกิลโลหิตฟาดฟันได้ วัสดุนั้นไม่เพียงแต่ยืดหยุ่น แต่ยังทนทานเช่นกัน
เสื้อคลุมตัวนั้นน่าจะทำมาจากสัตว์อสูรบางชนิดในประตูมิติที่ไหนสักแห่ง ถ้าควินน์สามารถหาวัสดุนี้เพียงพอ เขาอาจจะสร้างชุดบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ป้องกันแสงแดดได้ แต่ยังแข็งแกร่งมากพอที่จะใช้มันสำหรับการต่อสู้อีกด้วย
รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของเขา ซึ่งตอนนี้เขาแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะถูกเทเลพอร์ตไปล่าสัตว์อสูรเหล่านั้น