หลังจากทดสอบสิ่งของเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว เรย์ร่าก็กะตือรือร้นที่จะทดลองกับสิ่งของอย่างอื่นที่เธอนำติดมาด้วย
“ฉันต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้จริงๆใช่ไหม?” ควินน์พูดขณะที่หยิบกระเทียมหนึ่งหัวนั้นขึ้นมา
“ก็ไม่เชิงหรอกนะ จริงๆ ฉันแค่อยากทดลองทุกอย่างดูเฉยๆ แล้วกระเทียมก็มักใช้ขับไล่แวมไพร์มาตั้งนานแล้ว ซึ่งการที่นายถือมันได้แบบนั้นก็แสดงว่ามันไม่ทำให้นายเจ็บปวด”
ในขณะที่ควินน์มองไปที่กระเทียมในมือ เขาก็ตัดสินใจใช้สกิลตรวจสอบเพื่อยันยันให้แน่ชัด หากมีอะไรที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเขา เขาก็มั่นใจได้เลยว่าระบบได้บอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้รู้แล้ว
“ตรวจสอบ”
[ กระเทียม 1 หัว เนื่องจากประสาทสัมผัสของคุณเพิ่มขึ้นมาก เครื่องเทศนี้อาจจะมีรสชาติที่ไม่ดี แต่ปลอดภัยหากจะบริโภค ]
ข่าวดี คือระบบได้บอกให้เขารู้ว่ากระเทียมหัวนี้ไม่มีพิษภัยอะไร ซึ่งหมายความว่าอาหารหรือสิ่งของอื่นๆก็คงจะใช้สกิลตรวจสอบได้เช่นกัน ในส่วนข่าวร้าย เขายังต้องกินกระเทียมเข้าไป เพื่อที่เรย์ร่าจะได้ไม่ต้องสงสัยอีก
เขาแกะกลีบกระเทียมออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะยัดเข้าปาก รสชาติของมันรุนแรงมาก ซึ่งให้ความรู้สึกอย่างกับกินอึสุนัขเข้าไป เขาไม่รู้หรอกว่ารสชาติของอึเป็นยังไง แต่ถ้าเขาต้องจินตนาการก็คงคิดเป็นแบบนั้น
ควินน์เริ่มถ่มน้ำลายลงพื้นทันที เพื่อพยายามเอารสชาตินี้ออกจากปากของเขาให้หมด
“โอเค อย่างน้อยนายก็ไม่เป็นไร” เรย์ร่าพูด
ควินน์คาดหวังผลลัพธ์ของมันก่อนที่จะใช้สกิลตรวจสอบของเขา รสชาติของอาหารเปลี่ยนไปเล็กน้อยตั้งแต่เขาวิวัฒนาการ เพราะตอนนี้ของหวานๆเช่นไอศกรีมและเค้กมีรสชาติที่บางเบาลงราวกับผลไม้
อย่างเดียวที่รสชาติดีสำหรับเขาก็คือเนื้อสัตว์ แม้ว่าทุกอย่างจะค่อนข้างเค็มกว่าเมื่อก่อน เพราะมันก็มีรสชาติที่แอบคล้ายกับเครื่องเทศอื่นๆอยู่เช่นกัน ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปมากสำหรับเขาจริงๆ นั่นคือเลือดได้กลายเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งมันให้ความหวานในตัวของมันราวกับคาราเมล
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ควินน์ก็อยากรับรู้ถึงรสชาติอื่นๆเหมือนเดิม แต่ก็ถือว่าเขายังสามารถควบคุมตัวเองได้ เหมือนใครสักคนที่นึกถึงช็อกโกแลตแล้วอยากได้ช็อกโกแลต แต่สุดท้ายก็ไม่เอาเสียอย่างนั้น
ก่อนจะแตะไปที่สิ่งของอื่นๆ ควินน์ต้องใช้สกิลตรวจสอบของเหล่านั้นในแต่ละชิ้นเพื่อให้มั่นใจ อันดับแรกเลยคือไม้กางเขน
[ สัญลักษณ์ทางศาสนาที่ไม่มีผลใดๆ ] ระบบกล่าว
ถัดมาเป็นโซ่
[โซ่เงิน ที่ทำมาจากโลหะธาตุเงินทั้งหมด 92 เปอร์เซนต์ ]
สิ่งของทั้งสองชิ้นไม่มีคำเตือนอะไร ควินน์จึงสัมผัสพวกมันได้โดยไม่ต้องกังวล เขาเริ่มไว้ใจระบบของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วงหลังๆนี้ระบบมีประโยชน์และก็แม่นยำขึ้นมากจริงๆ
“แล้วเรื่องราวของๆทั้งสองชิ้นนี้คืออะไร?” ควินน์ถาม “ถ้าอย่างฉันก็คงเป็นไม้กางเขน แต่โซ่เงินล่ะ อันนี้มันสำหรับมนุษย์หมาป่าไม่ใช่เหรอ?”
ทันใดนั้นดวงตาคู่ของเรย์ร่าก็เริ่มเปล่งประกาย
“ฉันดีใจนะที่นายถาม เพราะตำนานของแวมไพร์น่ะ ย้อนกลับไปไกลกว่าที่นายคิด แม้แต่ในเทพนิยายกรีกก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์เช่นกัน แวมไพร์ตนแรกได้รับการกล่าวขานว่าถูกสาบให้โดนแสงอาทิตย์แผดเผาโดยเทพเจ้าอพอลโล ต่อมา ขณะที่ชายคนนั้นพยายามสัมผัสธนูของอาร์เทมิส นางก็สาปชายคนเดิมให้ได้รับผลกระทบอันร้ายแรงจากโลหะธาตุเงิน” เรย์ร่าอธิบาย “แน่นอนว่ามีเหตุผลอื่นอีกมากมาย แต่เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เก่าแก่ที่สุด แล้วสำหรับไม้กางเขน แวมไพร์ถูกมองว่าเป็นทาสรับใช้ให้กับปีศาจ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการดูดเลือดเพื่อดำรงอยู่ อย่างว่าพระเจ้าในสายตามนุษย์เป็นผู้ต่อกรกับสิ่งชั่วร้าย ไม้กางเขนจึงถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า”
จากนั้น เรย์ร่าก็หยิบสิ่งของทั้งสองอย่างจากควินน์และเอากลับใส่กระเป๋าของเธอตามเดิม
“แต่ตอนนี้ พอมองไปที่นาย เห็นได้ชัดเลยว่าของทั้งหมดมันเป็นแค่ขยะ” เรย์ร่าพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อยจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้รับ “จุดอ่อนเดียวของแวมไพร์ที่นายมีดูเหมือนจะเป็นแสงอาทิตย์ ซึ่งฉันก็ต้องยอมรับว่านั่นค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ อีกอย่างนายไม่ได้รู้สึกแก่ขึ้นเลยใช่ไหม?”
“อะไรนะ?” ควินน์เอ่ยอย่างงงๆ “ฉันจะรู้ได้ไงล่ะ มันเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเอง คือฉันหมายถึง ฉันไม่ได้รู้สึกแก่ขึ้นอะไร แต่ฉันบอกได้เลยว่าจากนี้ไป ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน เธอจะแก่ขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”
ตอนนั้นเอง ความคิดที่หน้ากลัวก็ผุดขึ้นมาในใจของควินน์ ถ้าหากอายุของเขาไม่เพิ่มขึ้นแล้วจริงๆ ก็หมายความว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะยังเหมือนเดิมใช่หรือไม่? เขาจะดูเหมือนเด็กวัยรุ่นตลอดชีวิตที่เหลือเลยใช่หรือเปล่า?
เมื่อผ่านการทดสอบทุกอย่างแล้ว ก็ถึงเวลาที่ทั้งสองคนจะต้องมุ่งหน้ากลับหอพักของตัวเอง ควินน์ตัดสินใจกลับไปที่ห้องพักเพื่อดูว่าวอร์เด็นกับปีเตอร์ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนหรือทำอะไรในช่วงเย็นบ้าง
ทว่าเมื่อเขามากลับถึงห้อง เป็นอีกครั้งที่วอร์เด็นและปีเตอร์ไม่ได้อยู่ที่นี่ สำหรับวอร์เด็น ควินน์ไม่ได้กังวลอะไรมากมาย แม้ว่าช่วงหลังๆเขาจะมีปัญหากับนักเรียนชั้นปีที่สอง แต่จนถึงตอนนี้รุ่นพี่พวกนั้นก็ยังไม่ยุ่งกับเขาตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ปีเตอร์นี่สิ ที่ทำให้ควินน์กังวลมากๆ เขาหวั่นใจว่าเพื่อนใหม่ของปีเตอร์ไม่ใช่เพื่อนของเขาจริงๆ และสงสัยว่าพวกนั้นจะทำอะไรต่อไป
จากนั้นควินน์จึงตัดสินใจหลับสำหรับค่ำคืนนี้และรอจนถึงวันรุ่งขึ้น
****
เมื่อเขาตื่นขึ้น เขารู้สึกดีที่เห็นทั้งสองคนกลับมาที่ห้องได้ในช่วงกลางดึก ครั้งนี้ทั้งสามคนตัดสินใจลงไปทานอาหารเช้าพร้อมๆกันและได้ใช้เวลานานในการกินอาหารอย่างไม่เร่งรีบ พร้อมกับพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวานไปด้วย
เมื่อทั้งสามคนทานอาหารเสร็จ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องเข้าเรียนกับครูประจำชั้น ในตอนเช้าของวันจันทร์พวกเขาจะเข้าร่วมชั้นเรียนกับอาจารย์เดล ซึ่งวิชานี้ คือวิชาที่บอกเล่าเกี่ยวกับทฤษฎีที่อ้างอิงตามประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หรือ แจ้งข่าวให้นักเรียนทราบได้แม้แต่เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทั้งสามคนนั่งอยู่ด้านหลังของชั้นเรียนตามปกติ ในขณะที่เรย์ร่านั่งอยู่ด้านหน้าโดยมีเอรินนั่งอยู่ข้างๆเธอ นักเรียนทั้งหมดรออย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งเดลมาถึงในที่สุด
“เอาล่ะ ผมมีประกาศสำคัญที่ให้จะพวกคุณทราบ การเตรียมการณ์สำหรับการออกนอกประตูมิติเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถึงเวลาสักที ที่เด็กๆอย่างพวกคุณจะต้องออกไปสำรวจจักรวาลกันสักหน่อย”