ก่อนที่เดลจะแจ้งให้นักเรียนทราบเกี่ยวกับการฝึกอบรมเรื่องประตูมิติที่นักเรียนในชั้นเรียนของเขาจะต้องเข้าร่วม เขาจำเป็นต้องอธิบายให้นักเรียนเข้าใจก่อนว่าประตูมิติต่างๆนั้นทำงานยังไง อย่างไรก็ตาม นี่แทบจะเป็นครั้งแรกสำหรับนักเรียนทุกๆคน ยกเว้นแค่กับบางคนที่รู้ข้อมูลอยู่แล้ว
ประตูมิติทั้งหมด จะอนุญาตให้มนุษย์เดินทางไปและกลับได้จากสถานที่ๆมนุษย์เคยไปมาก่อน พวกเขามักจะใช้เดินทางไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่นอยู่ประจำ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้รับมาในตอนที่มนุษย์จัดการกับเรือเหาะของดัลกิได้เป็นครั้งแรก และค้นพบว่ามีประตูมิติอยู่ภายในนั้น
โดยปกติแล้ว เมื่อมีการค้นพบเทคโนโลยีระดับสูงเช่นนี้ มนุษย์จะไม่สามารถวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนและประดิษฐ์ซ้ำขึ้นมาได้ เพียงเพราะมนุษย์มีเทคโนโลยีอยู่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร ทว่าต้องขอบคุณนักวิทยาศาสตร์ในตำนานที่ชื่อว่า ริชาร์ด เอโน เขาเป็นคนที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์ทั้งหมดบนเรือเหาะนั้นได้อย่างง่ายดาย
เขาเป็นชายที่ยิ่งใหญ่และมีส่วนร่วมในการต่อกรกับเผ่าพันธุ์ดัลกิในช่วงสงคราม ผู้คนสันนิษฐานว่าชายคนนั้นมีทักษะพิเศษอะไรบางอย่างที่ช่วยให้เขาสามารถรอดมาได้ตลอด แต่มันก็เป็นเพียงข่าวลือและไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงทักษะพิเศษของเขา
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุด คือเขาคนนั้นเป็นชายที่ยอดเยี่ยม เมื่อเขาค้นพบเทคโนโลยีเหล่านี้ เขาไม่ใช่แค่เผยแพร่ให้กับกองทัพเท่านั้น แต่ยังเผยแพร่มันให้กับบริษัทเอกชนด้วย เขาอยากมั่นใจว่าพลังงานดังกล่าวจะไม่สิ้นสุดลงเพียงแค่คนกลุ่มเดียว
โลกในอดีต มนุษย์ทุกคนต่างต่อสู้กัน แต่ใครจะรู้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นหลังสงครามสิ้นสุด
โลกในปัจจุบัน โดยทั่วไปจะมีกลุ่มคนอยู่ 3 กลุ่ม ที่เป็นเจ้าของประตูมิติต่างๆ และกองทัพทหารก็คือกลุ่มแรกที่เป็นเจ้าของมัน
ถัดมา ก็คือบริษัทเอกชนต่างๆ ปกติแล้วบริษัทเหล่านี้จะถูกหนุนหลังด้วยตระกูลของ ‘ผู้มีทักษะโดยกำเนิด’ ที่มีทั้งพลังและอำนาจอย่างเทียบไม่ได้ และบริษัทเอกชนหลายแห่งมักจะทำงานร่วมกัน สร้างกลุ่ม ‘นักเดินทาง’ ที่แข็งแกร่งขึ้นมากมาย เพื่อส่งพวกเขาไปสำรวจดาวเคราะห์ดวงอื่น
และสุดท้าย กลุ่มที่รู้จักกันในชื่อ ‘ผู้บริสุทธิ์’ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ไม่เชื่อในพลังและความสามารถพิเศษใดๆ
ประตูมิติมีทั้งหมด 3 ประเภทและมีสีที่ไม่เหมือนกัน ได้แก่ สีเขียว สีส้ม และสีแดง ซึ่งแต่ละประตูมิตินั้นก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไป
สีเขียวหมายถึงดาวเคราะห์ที่ได้รับการสำรวจแล้ว โดยมีที่อยู่อาศัยที่มนุษย์สร้างขึ้น คนพวกนี้จะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นั่นได้ตราบที่พวกเขาต้องการ หรือจะพักชั่วคราวก็ได้เช่นกัน
ต่อไปคือสีส้ม หมายถึงดาวเคราะห์ที่ยังทำการสำรวจไม่สมบูรณ์ และมีสถานที่พักพิงอยู่พอประมาณ แต่ระดับของสัตว์อสูรอาจจะสูงเกินไปในบางบริเวณ หรือพวกเขาก็แค่ยังไม่ได้ไปสำรวจบริเวณนั้นๆ
สุดท้ายคือประตูมิติสีแดง ประตูมิติสีแดง ถือเป็นดาวเคราะห์ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ และไม่มีสถานที่พักพิงให้มนุษย์อยู่อาศัย มีเพียงกลุ่มนักเดินทางและคนของทหารเท่านั้นที่จะเข้าไปในประตูมิตินี้ได้ และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับพวกเขา คือพวกเขาไม่รู้เลยว่าดัลกิจะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วยหรือไม่
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์ดัลกิก็มีเทคโนโลยีเช่นกัน ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่จะพบตัวพวกมัน และถึงแม้จะอยู่ภายใต้สนธิสัญญาสงบศึก หากมีมนุษย์สักคนหายไปบนดาวเคราะห์ที่ไม่รู้จัก มันก็ยากมากที่จะพิสูจน์ได้ว่าดัลกิเป็นตัวการทำให้คนๆนั้นหายไป ที่สำคัญมนุษย์ยังไม่พร้อมสำหรับสงครามที่จะเกิดขึ้นอีก
“และนี่คือข้อมูลทั้งหมดที่พวกเธอต้องรู้เกี่ยวกับประตูมิติ” เดลกล่าว
จากนั้นนักเรียนคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น ซึ่งเขานั่งอยู่ตรงกลางของชั้นเรียน
“ว่าไง!” เดลขานตอบ
“แล้วสัตว์อสูรที่เราค้นพบได้บนดาวเคราะห์พวกนั้น เราจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกมันได้ยังไงเหรอครับ?” นักเรียนคนนั้นกล่าว
“สำหรับตอนนี้ ทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องรู้ ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับประตูมิติต่างๆ ใช่แล้วล่ะ เพราะมันจะทำให้เราค้นพบสัตว์อสูรบนดาวเคราะห์นั้นๆ และพวกมันคือวัสดุที่เราต้องใช้ในการสร้างอาวุธอสูรของตัวเอง ซึ่งคุณจะได้รับรายละเอียดเพิ่มเติมแน่นอนเมื่อเวลานั้นของคุณมาถึง” เดลอธิบาย “อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะบอกพวกคุณ ว่าคุณสามารถขอบคุณ ริชาร์ด เอโน ได้เช่นกัน สำหรับการสำรวจในครั้งนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น”
จากนั้นเดลก็ปิดการนำเสนอที่ฉายอยู่ข้างหลังเขา
“ตอนนี้ส่วนสำคัญที่สุดเลย การเดินทางไปสำรวจนอกประตูมิติกำลังจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า แต่ก่อนที่จะถึง พวกคุณจะต้องจัดทีมของตัวเองจำนวน 5 คน ถึงแม้ในการเดินทางครั้งนี้จะไปทั้งชั้นเรียน แต่คุณก็ต้องมีทีมและอยู่ด้วยกัน แม้แต่ประตูมิติสีเขียว ก็ยังถือว่าเป็นสถานที่ๆอันตรายและเต็มไปด้วยสัตว์อสูรต่างๆ แล้วก็อีกอย่าง เครื่องติดตามบนนาฬิกาข้อมือของคุณจะใช้การไม่ได้นอกโรงเรียนเตรียมทหาร พวกเราไม่สามารถช่วยคุณได้นะหากเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณไปไหนมาไหนคนเดียว”
นักเรียนคนเดิมยกมือขึ้นอีกครั้ง และเดลก็หันไปมองหน้าเด็กคนนั้นเหมือนกับว่าเขาเริ่มรำคาญ
“ว่าไง”
“อาจารย์รู้ไหมครับว่าเราจะไปที่ไหน?”
“ข้อมูลนี้จะเปิดเผยกับคุณในวันเดียวกันที่จะเดินทางไป เพราะพวกคุณหลายคนในที่นี้ยังมีสมาชิกครอบครัวอยู่ แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าคุณจะถูกส่งไปที่ไหน ครอบครัวของคุณก็จะส่งผู้คุมกันไปปกป้องคุณที่ดาวเคราะห์ดวงนั้น แต่นั่นคงไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เรากำลังทำการประเมินเกี่ยวกับความสามารถของคุณอยู่”
นักเรียนยกมือขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เดลจ้องเขม็งไปที่เขา เพื่อบังคับให้เขาค่อยๆลดมือลง
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีคำถามอะไรเพิ่มเติมแล้ว คาบเรียนวิชาต่อสู้ของวันนี้จะถูกยกเลิกไป คุณจะต้องจัดทีมให้ได้ห้าคนและกลับมารายงานให้เราทราบ ก่อนตะวันตกดิน”
จากนั้น เดลจึงเดินออกจากห้องเพื่อไปทำธุระอื่น ในขณะที่ปล่อยให้นักเรียนทั้งหมดตั้งกลุ่มของตัวเอง
วอร์เด็นหันควับทันที
“เฮ้ ควินน์ นายอยากอยู่กับ….”
ทว่า ที่ยืนอยู่ข้างควินน์ก็คือเรย์ร่า เธอวิ่งมาจากหน้าห้องจนถึงหลังห้อง
“นี่ นายอยากจะสร้างทีมกับฉันไหมควินน์?” เรย์ร่าเอ่ยพลางยิ้มๆ
“เอ่อ ก็ได้นะ” ควินน์ตอบ
จริงๆแล้ว ควินน์ต้องการให้เรย์ร่าอยู่ในทีมเดียวกัน พวกเขาไม่รู้ว่าการประเมินครั้งแรกนี้ใช้เวลานานขนาดไหน และถ้าเขาบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายขึ้นมา เขาก็จำเป็นต้องได้รับแหล่งเลือดจากที่ไหนสักแห่ง
แม้ว่าวอร์เด็นจะไม่พอใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันต้องเกิดขึ้น
“เฮ้ ควินน์ จะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะร่วมทีมกับนายด้วย” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และพยายามซ่อนความรำคาญเอาไว้
“แน่นอนอยู่แล้ว ปีเตอร์ก็เหมือนกัน”
ใบหน้าของปีเตอร์แสดงความตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขา และในขณะเดียวกันเขาก็มีความรู้สึกที่สับสน
“ใช่ นั่นคงจะดีนะ” ปีเตอร์พูด
ในตอนนั้นเอง ขณะที่คนอื่นๆกำลังคิดว่าสมาชิกคนที่ 5 ควรจะเป็นใคร เอรินก็เดินเข้ามาหาวอร์เด็นท่ามกลางทุกคนในห้อง
“ฉันต้องการจะสร้างทีมกับนาย”
แจ้งจากผู้แปล : เปลี่ยนจาก ‘นักท่องเที่ยว’ ในตอนที่แล้วเป็น นักเดินทาง’ ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ