ในคืนก่อนเกิดเหตุ ควินน์หลับไปสักพักหนึ่งแล้วขณะที่รอเพื่อนทั้งสองคนกลับห้อง ปีเตอร์ได้ถูกกลุ่มนักเรียนชั้นปีเดียวกันเรียกตัวไป พวกนั้นเพิ่มเขาเป็นเพื่อนในนาฬิกาสื่อสารที่เขาสวมอยู่ที่ข้อมือ และสามารถส่งข้อความถึงปีเตอร์ได้ตลอดตามที่พวกเขาต้องการ
คืนนั้น พวกเขาเรียกปีเตอร์ให้ไปเจอกันด้านข้างตึกของหอพัก โดยมีนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งจำนวนห้าคนยืนรออยู่ข้างนอกนั่น รวมไปถึงเอิร์ล
“ดูเหมือนว่าเพื่อนของแกจะยังเชื่อใจแกอยู่สินะ และแกก็ยังได้ร่วมทีมกับพวกมันด้วยใช่ไหม?” เอิร์ลพูดขณะที่ยกมือขึ้นมองนาฬิกาของเขา “โอ้ ฉันไม่ได้บอกเหรอว่ามาเจอกันที่นี่ตอนสี่ทุ่มครึ่ง รู้ไหมว่าแกมาสายไปสองนาที”
นักเรียนชั้นปีเดียวกันสองคนจับตัวปีเตอร์เอาไว้ทันที คนหนึ่งจับมือข้างซ้ายของเขาไขว้หลัง ส่วนอีกคนจับมือขวายื่นออกไปด้านหน้า
“ช้าไปสองนาที หมายความว่าต้องหักสองนิ้ว” เอิร์ลจึงจับนิ้วของปีเตอร์หนึ่งนิ้ว
“เดี๋ยวก่อน ฉันขอโทษ ฉันจำเป็นต้องระวังตัวเพื่อให้แน่ใจว่าวอร์เด็นจะตามมาไม่ได้ อย่างที่นายสั่ง” ปีเตอร์คร่ำครวญ
“ก็ได้ๆ พอดีฉันเป็นคนใจกว้าง” เอิร์ลพูดขณะที่ดันนิ้วของปีเตอร์ลงจนหัก ก่อนที่ปีเตอร์จะร้องให้ออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจ เขากัดลิ้นตัวเองทันที เพราะกลัวคนพวกนี้จะทำอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม หากมีคนได้ยินเสียงร้องของเขา
คนอื่นๆที่กำลังดูอยู่ ก็สะดุ้งที่ได้เห็นแบบนั้น แม้ว่าพวกเขาจะช่วยเอิร์ล แต่พวกเขากลัวอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่คนๆหนึ่งจะสามารถทำร้ายร่างกาย หรือหักกระดูกของใครบางคนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ทว่าเอิร์ลกลับทำมันได้ง่ายๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สำหรับตอนนี้ เราจะหักมันแค่นิ้วเดียว แต่แกรู้แล้วใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าแกมาสายอีก”เอิร์ลกล่าวขณะที่นักเรียนชั้นปีเดียวกันเดินมาและทำการรักษานิ้วมือของควินน์
ขณะนั้น นักเรียนที่กำลังทำการรักษานิ้วของปีเตอร์ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของปีเตอร์กำลังสั่นกลัว แววตาของเขานั้นราวกับคนที่ตายไปแล้ว เด็กผู้ชายจึงอยากจะบอกว่าเขาเสียใจมากจริงๆ แต่พวกเราต่างก็รู้ดีว่าโลกในตอนนี้มันเป็นอย่างไร
ทั้งหมดที่เขาทำได้คือทักษะต่างๆในการฟื้นฟูรักษา เขาไม่มีพลังมากพอจะต่อสู้และไม่มีทางเลือกนอกจากต้องติดตามคนที่แข็งแกร่งกว่าเขา มิฉะนั้น ในสถานการณ์นี้ มันจะกลายเป็นเขาแทนที่จะเป็นปีเตอร์
“ฉันเรียกแกมาที่นี่ เพราะท่านนายพลมีเรื่องที่อยากจะคุยกับแก” เอิร์ลอธิบาย
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งทั้งห้าคนรวมไปถึงปีเตอร์ เริ่มเดินนำเขาไปในบริเวณของโรงเรียน ซึ่งตอนนั้นเอง ปีเตอร์สังเกตเห็นว่าพวกเขาได้พาตัวเองออกจากเขตอาคารของชั้นปีที่หนึ่ง และเข้าไปในเขตอาคารของชั้นปีที่สอง
แทนที่จะเข้าประตูด้านหน้า พวกเขากลับพาไปยังประตูด้านหลังและขึ้นบันไดของทางออกฉุกเฉิน การเดินขึ้นไปนั้นใช้เวลาพอสมควร จนในที่สุด พวกเขาก็มาถึงห้องเจรจาส่วนตัวของนักเรียนชั้นปีที่สอง
เอิร์ลเคาะประตูห้องก่อนจะเข้าไป และข้างในก็มีเสียงหนึ่งเสียงขานรับออกมา
“เข้ามา” ชายคนดังกล่าวเอ่ย
พวกเขาเข้ามาในห้องที่มีโต๊ะและเก้าอี้อยู่สองตัวตรงข้ามกัน โดยที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวหนึ่งก็คือนายพลดุ๊ก หัวหน้าที่รับผิดชอบนักเรียนชั้นปีที่สองทั้งหมด
“พวกแกออกไปรออยู่ข้างนอก ฉันขอคุยกับปีเตอร์แค่สองคน” ดุ๊กพูด
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งทั้งห้าคนออกไปทันที และรออยู่นอกประตูห้องด้วยความอดทน
“ใจเย็นๆ เชิญนั่งลงก่อน ไม่ต้องกลัว” ปีเตอร์ทำตามที่ดุ๊กสั่งและนั่งลงที่เก้าอี้ โดยที่เขาอดสงสัยไม่ได้เลยว่าทำไมท่านนายพลถึงอยากเจอเขา เพราะนายพลถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่มีตำแหน่งสูงมาก ซึ่งทั้งเมืองมีเพียงคนเดียวที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา นั่นคือ ผู้บัญชาการสูงสุด
“ดูเหมือนพวกนั้นจะอยู่ห่างจากเธอแล้วนะ” ดุ๊กวางมือใหญ่ๆของเขาลงบนโต๊ะและมองเข้าไปในดวงตาของปีเตอร์ “ปีเตอร์ เธออยากจะมีพลังที่ตอบโต้คนพวกนั้นได้ไหม?”
ทันใดนั้น แววตาที่เหมือนกับคนตายของปีเตอร์ก็ได้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาได้ยินคำพูดของนายพลดุ๊ก
“ฉันได้ดูไฟล์ประวัติของเธอแล้ว เธอไม่ทักษะพิเศษอะไรเลยก่อนที่จะมาที่นี่ และพอเธอเข้ามาในโรงเรียนเตรียมทหารแห่งนี้ เราก็ได้มอบตำราแห่งทักษะธาตุดินให้กับเธอ ปัจจุบันเธอเป็นแค่เลเวลหนึ่งก็จริง แต่ฉันเปลี่ยนแปลงมันให้เธอได้นะ” จากนั้นดุ๊กก็หยิบตำราสกิลของธาตุดินออกมาหลายเล่ม และโยนตำราเหล่านั้นลงบนโต๊ะ
“ฉันรู้ว่าเธอพยายามอย่างหนักเพื่อจะรับมือกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ด้วยตำราพวกนี้ เธอจะหลุดพ้นออกจากเลเวล 1 ได้ และแบบนี้ปัญหาต่างๆที่เธอเจออยู่ก็จะหมดไป เธอจะจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารด้วยเกรดดีๆ เข้าร่วมกับบริษัทต่างๆ หรือล่าสัตว์อสูรและรับค่าจ้างดีๆไปตลอดชีวิตได้ ฟังเข้าท่าใช่หรือเปล่า?” ดุ๊กพูดด้วยรอยยิ้มขนาดใหญ่บนใบหน้าของเขา
ปีเตอร์ไม่สามารถละสายตาจากตำราสกิลตรงหน้าได้ ตำราสกิลพวกนี้มีเพียงทหารเท่านั้นที่ใช้ ซึ่งตอนนี้ปีเตอร์มีทักษะธาตุดินอยู่แล้ว วิธีเดียวที่จะพัฒนาทักษะของเขาก็คือตำราสกิลมากมายตรงหน้า และในที่สุด เขาก็จะไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวอีกต่อไป
“แน่นอน ไม่มีอะไรทีได้มาฟรี คนพวกนั้นทำในสิ่งที่ฉันสั่ง ในทางกลับกันฉันก็เสนอความคุ้มครองให้กับพวกเขา ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ไม่ใช่แค่นั้นนะ ฉันจะให้รางวัลแก่พวกเขาถ้าพวกเขาทำงานทีได้รับมอบหมายจากฉันได้ดี” เขาพูดขณะที่หยิบตำราสกิลขึ้นมาหนึ่งเล่ม
“เธอจะออกไปสำรวจนอกประตูเร็วๆนี้ใช่ไหม ฉันจะบอกกับเธอว่าอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ในทุกๆปีจะมีนักเรียนเสียชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่น ซึ่งตอนนี้อาจจะมีใครบางคนหายไปก็ได้ในทีมของเธอ เธอดูเป็นเด็กฉลาด ดังนั้น เธอคงเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดอยู่ เอาล่ะ บางทีคนๆอาจะจะเป็นเธอก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ เธอคิดว่าคนๆนั้นจะเป็นใครล่ะ?”
****
เมื่อคืน ปีเตอร์เข้าใจแล้วว่านายพลดุ๊กพูดถึงอะไร เขาจะทำตามที่ดุ๊กพูด หรือไม่มันจะกลายเป็นเขาเองที่หายไป แต่เป้าหมายนั้นไม่ใช่ควินน์ เป้าหมายคือวอร์เด็นมาตั้งแต่แรก
ในตอนที่ควินน์ตะโกนและพบว่าทั้งหมดอยู่ในแผนการของปีเตอร์ เขาก็ตื่นตะหนกทำอะไรไม่ถูก จึงผลักควินน์เข้าไปในประตูมิติ
ซึ่งตอนนี้ มือของเขาสั่นไม่หยุด เมื่อตระหนักได้ว่าเขาทำร้ายเพื่อนของตัวเอง
“นายทำบ้าอะไรของนาย!?” วอร์เด็นตะโกน
“ฉันขอโทษ” ปีเตอร์พูด “นายไม่เข้าใจหรอกว่าฉันจำเป็นต้องทำ!”
“แล้วจะให้ฉันคิดว่ายังไง เพราะนายถูกรังแกงั้นเหรอ? หรือเพราะนายถูกข่มขู่ใช่ไหม?” วอร์เด็นยังคงตะโกนและเดินเข้าไปหาปีเตอร์ใกล้ๆ ในขณะเดียวกันปีเตอร์ก็ถอยร่น
“นายไม่คิดเหรอว่าควินน์จะเจอเรื่องพวกนี้เหมือนกันกับนาย! เขาก็อยู่เลเวลหนึ่งนะ แล้วนายคิดเหรอว่าพวกมันไม่ได้พยายามข่มขู่ฉันในตอนที่ฉันถูกจับและล่ามโซ่เอาไว้แบบนั้น เพราะงั้น ต่อให้พวกมันทำร้ายนาย หรือต่อยนายจนทำให้นายเลือดออก ตราบใดที่นายยังมีชีวิตอยู่ นายก็ควรจะตอบโต้กลับไปซะบ้าง!”
วอร์เด็นจึงชี้ไปที่ประตูมิติสีแดง
“แต่ดูสิ่งที่นายทำสิ นายได้ส่งควินน์ไปสู่ความตาย ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางกลับมาจากความตายได้อยู่แล้ว ตอนนี้เขาสู้ไม่ได้อีกแล้ว นายล่ะ พยายามที่จะสู้กลับบ้างไหม?”
ปีเตอร์คุกเข่าลงไปขณะที่ภายในใจของเขามีแต่ความสับสนไปหมด วอร์เด็นกับควินน์รู้หรือเปล่า ว่าการใช้ชีวิตในโรงเรียนนี้ของเขาเป็นยังไง? สิ่งที่ปีเตอร์อยากได้คือการใช้ชีวิตในโรงเรียนตามปกติ โดยไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
แล้วเมื่อมีคนเสนอสิ่งนั้นให้กับเขา บางทีเขาอาจจะหาทางออกกับเรื่องพวกนี้ได้ง่ายๆ ทว่าเขายังไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เขาเคยผ่านความทุกข์ทรมานมาแล้วก่อนที่จะเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมขณะที่เขาอยู่ที่นี่ ทำไมเขายังต้องตกเป็นเป้าหมายของเอิร์ลและคนอื่นๆอีก?
แต่เรื่องหนึ่งที่วอร์เด็นด่าทออย่างฉุนเฉียวใส่ปีเตอร์นั้น เขาพยายามตอบโต้จริงๆหรือเปล่า? เขามักคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ เพราะผลของมันได้ถูกตัดสินไปแล้ว ดังนั้น ทำไมจะต้องเจ็บปวดมากกว่านี้อีก
บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ดุ๊กและคนอื่นๆ คิดว่าเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายดายตั้งแต่แรก
ทันใดนั้น วอร์เด็นก็เริ่มกุมขมับของตัวเอง เขาเริ่มเดินไปเดินมาทั่วห้อง และสะบัดศีรษะด้วยความหัวเสีย
‘ฉันเอาเขากลับมาไม่ได้อีกแล้ววอร์เด็น!’
‘นายก็ลองดูสิ ถ้าเจ้านั่นรับช่วงต่อล่ะก็ ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่จะฉันจะได้ควบคุมร่างกายอีกครั้ง’
‘มันคงช็อคน่าดูสำหรับเขา การที่เขามองไปที่ปีเตอร์แบบนั้นแค่ทำให้อารมณ์ของเขาสงบลง’
เมื่อวอร์เด็นเงยหน้าขึ้นมองปีเตอร์ ก็เห็นว่ารอบดวงตาของเขา เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าโศก
จากนั้น วอร์เด็นได้มองตรงไปที่ประตูมิติ
“ไม่นะ นายคิดจะทำอะไร!?” ปีเตอร์ตะโกน
วอร์เด็นจึงหันกลับมามองปีเตอร์
“ปีเตอร์ นี่เป็นเพราะเห็นแก่นายนะ แต่นายคงหวังว่าฉันจะไม่กลับมาที่นี่แบบมีชีวิตล่ะสิ!”
ทันใดนั้น วอร์เด็นก็วิ่งเข้าไปในประตูมิติสีแดง และร่างของเขาก็หายไปจากห้องนี้