เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรระดับกลางกำลังเดินวนเวียนแถวๆคลังเก็บอุปกรณ์ เอียนและวอร์เด็นจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปอาคารอื่นแทน ซึ่งเป็นอย่างที่เอียนพูดไว้ ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ประตูมิติอาจไม่ได้อยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก
แม้ว่าประตูมิติจะอยู่ในพื้นที่อันตราย แต่อีกมุมหนึ่งประตูก็ต้องอยู่ในสถานที่ๆปลอดภัยเพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์อสูรจากดาวเคราะห์อื่นจะไม่สามารถผ่านเข้ามา หรือทำลายมันทิ้งได้ แน่นอน สำหรับกลุ่มที่เดินทางกันเป็นทีมจะนำเครื่องวาร์ปไปติดตั้งเพื่อกลับสู่โลกได้ด้วยตัวเอง แต่ของเหล่านี้มันมีราคาที่ต้องจ่ายสูงลิบลิ่ว
บางคนในระดับเช่นเดียวกับเอียนก็ไม่มีของแบบนั้น เพราะเมื่อพวกเขากำหนดเส้นทางแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถนำมันกลับมาได้อีก เป็นเครื่องวาร์ปที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว
“นึกที่อื่นออกรึเปล่าครับ ว่าประตูมิติอยู่ที่ไหน?” วอร์เด็นถาม
“ฉันเดาว่ามันอาจจะอยู่ใต้ดิน เพราะดูปลอดภัยที่สุดจากพวกสัตว์อสูรด้วยวิธีนั้น ส่วนมาก มันจะมีอาคารที่ดูพิเศษเหมือนกับอาคารอื่นๆ แต่มีทางเข้าลับ”
“เดี๋ยวก่อน คุณกำลังจะบอกว่าต้องไปหาอาคารต่อไปงั้นเหรอ?”
“ก็เราสามารถแยกแยะอาคารและที่อยู่อาศัยออกมาจากกันได้ยังไงล่ะ เพราะพวกเขาไม่มีทางสร้างฐานขนาดใหญ่ไว้ใต้บ้านเรือนธรรมดาและตึกเล็กๆแบบนั้นหรอก หรือถ้าเป็นพื้นที่อันตรายอื่นๆนายก็คงแยกแยะมันได้เหมือนกัน จะมีแค่อาคารขนาดใหญ่ที่มีขนาดกว้างมหาศาลพอที่จะซ่อนฐานเอาไว้ใต้ดินได้”
พวกเขาทั้งสองคนจ้องมองเข้าไปในอาคารแล้วอาคารเล่า แต่ก็โชคไม่ดี มันไม่มีวี่แววของห้องลับที่ว่า จนกระทั่งในที่สุด พวกเขาก็ได้เข้ามายังสถานที่ๆดูเหมือนกับห้องสมุด แม้ว่าหนังสือมากมายจะถูกทำลายและชั้นหนังสือก็ล้มลงระเนระนาดก็ตาม
“ฉันคิดว่าเราเดินทางกันมาได้สักพักแล้ว ทำไมเราไม่พักที่นี่สักคืนล่ะ ดูเหมือนจะไม่มีสัตว์อสูรอยู่แถวนี้แล้ว ซึ่งเราก็สร้างที่มั่นได้เลย” เอียนกล่าว
ทั้งสองคนจึงขึ้นไปยังชั้นสองของหอสมุดเเห่งนี้ มีช่องว่างขนาดใหญ่และกำแพงที่พังลงมาในชั้นล่างที่เอื้อให้พวกสัตว์อสูรโจมตีพวกเขาได้ง่ายๆ เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนชั้นบน ทั้งสองคนก็เริ่มยกชั้นหนังสือขึ้นสองสามชั้น
ดูเหมือนว่าเอียนจะมีทักษะที่แข็งแกร่งมาก เมื่อเห็นว่าเขาย้ายชั้นหนังสือหนักๆได้ง่ายแค่ไหน แค่วอร์เด็นรู้ดีว่านั่นไม่จริงเลย เหตุผลที่เอียนดูมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะชุดเกราะสัตว์อสูรที่เขาสวมใส่
ชุดเกราะสัตว์อสูรบางชุดที่เหนือกว่าชุดเกราะระดับทั่วไปมักจะมีคุณสมบัติพิเศษเสมอ หากผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานคุณสมบัติของมันได้ ก็จะสามารถเพิ่มค่าความแข็งแกร่งพื้นฐานให้กับผู้ใช้คนนั้น ทำให้เขามีพละกำลังมากขึ้น ความเร็วก็มากขึ้น ซึ่งโดยรวมแล้ว มันทำให้เขาพัฒนาขึ้นไปในฐานะคนธรรมดาจนแทบจะทำให้เขากลายเป็นยอดมนุษย์ได้เลย
วอร์เด็นเห็นเอียนค่อนข้างทุลักทุเล เพราะส่วนใหญ่มันมากจากอาการบาดเจ็บของเขา แต่ไม่มีทางที่เขาจะเคลื่อนย้ายชั้นหนังสือขนาดใหญ่ได้ง่ายแบบนั้น ดังนั้น ในทางกลับกัน วอร์เด็นเลยช่วยเอียนด้วยวิธีของเขา โดยการเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ ทำการย้ายหนังสือและกองขยะทั้งหมดออกไป
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมงพวกเขาก็จัดการสถานที่เสร็จ เอียนย้ายชั้นหนังสือเพื่อสร้างฐานที่มั่นเล็กๆรอบตัวพวกเขา
“เป็นบ้านที่ดีใช่ไหมล่ะ?” เอียนเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจกับผลงานของตัวเอง “งั้นรออฝอะไรอยู่ เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ขณะที่วอร์เด็นเดินเข้าไปข้างใน เอียนก็เดินตามหลังเข้าไปเช่นกันพร้อมลากชั้นหนังสือมากั้นไว้รอบๆพวกเขาเพื่อกั้นเป็นทรงลูกบาศก์ที่ล้อมรอบไปด้วยชั้นหนังสือมากมาย โดยตอนนี้ห้องที่พวกเขาอยู่นั้นมืดสนิทไร้แสงไฟ
แล้วเอียนก็ชกส่วนหนึ่งของชั้นหนังสือด้วยกำปั้นของเขาเพื่อสร้างรูทั้งสี่ทิศทางให้แสงจันทร์ส่องเข้าเล็กน้อย แต่ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขาจะใช้สำหรับเฝ้าสังเกตการณ์และดูว่ามีอันตรายคลืบคลานเข้ามาหาพวกเขาหรือไม่
ต่อมา เขาก็นำหินเล็กๆก้อนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อและวางไว้ที่พื้นตรงกลางของป้อมปราการเเห่งนี้ เขาเคาะหินไปหนึ่งครั้งและแสงสีส้มอบอุ่นก็ทอประกายออกมาจากหิน แสงมันไม่ส่องสว่างมากนัก แต่ในห้องที่มืดมิดมันสร้างความแตกต่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“เอานี่ไป” เอียนพูดขณะที่เขายื่นเม็ดยากลมๆเล็กๆให้กับวอร์เด็น
“มันคืออาหารเสริมหรือครับ?” วอร์เด็นถาม
“ใช่ ถ้านายมาที่นี่โดยบังเอิญคงไม่มีอะไรติดตัวมาด้วยใช่ไหมล่ะ”
วอร์เด็นมองไปที่เม็ดยาก่อนจะกลืนมันลงไปในท้อง อาหารเสริมนี้เป็นยาเม็ดที่มีสารอาหารที่มนุษย์ต้องการเพื่อการดำรงชีวิต ตราบใดที่คนๆนั้นกินวันละหนึ่งเม็ดก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหารอีกต่อไป
ถึงแม้มันจะให้แคลอรี่และวิตามินเพียงพอแก่มนุษย์ แต่มันไม่ได้ให้ประโยชน์ด้านสารอาหารที่เป็นน้ำเลย พวกเขาต้องหาน้ำดื่มด้วยตัวเอง โชคดีที่ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ดูเหมือนน้ำประปาแทบทุกตึกจะยังใช้งานได้
ดังนั้น ถือว่าไม่เป็นปัญหาสำหรับเอียนและวอร์เด็น
“นายนอนก่อนได้เลย ฉันจะดูต้นทางให้แล้วค่อยงีบทีหลัง” เอียนพูด “ฟังดูดีไหม?”
“ครับ”
****
เมื่อควินน์ได้ยินเสียงประตูปลดล็อค รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาจนหุบยิ้มไม่ได้
“ผมรักคุณจริงๆระบบ ผมสาบานเลยว่าจะไม่พูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับคุณอีก” ควินน์พูดขณะที่เขาก้าวขาเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์
แต่เมื่อเขาก้าวเข้ามา ความหวังของเขาที่จะได้พบอาวุธอสูรในตำนานหรือคริสตัลสัตว์อสูรต่างๆนั้นพลันหายไปชั่วพริบตา เพราะภายในตู้คอนเทนเนอร์เต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือและไม่มีอะไรเลยนอกจากหนังสือเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ควินน์หยิบหนังสือที่ใกล้ที่สุดจำนวนหนึ่งออกมา ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
[ ตำราทักษะธาตุดิน เลเวล 1 ]
[ ไม่สามารถเรียนรู้ได้ คุณต้องการแปรสภาพเป็น 10 Exp หรือไม่? ]
มันคือตู้คอนเทนเนอร์ที่เต็มไปด้วยตำราแห่งทักษะและตำราสกิลมากมาย แม้ว่าควินน์จะไม่สามารถเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ได้ แต่เขาสามารถแปรสภาพหนังสือเหล่านี้ให้กลายเป็น Exp ได้เลย
ควินน์ตัดสินใจแปรสภาพหนังสือให้กลายเป็น Exp โดยทันที หนังสือเล่มหนึ่งจึงเริ่มหายไปจากมือของเขาราวกับมันเสื่อมสลาย มีความรู้สึกที่ได้รับข้อมูลก่อตัวขึ้นภายใน จนกระทั่งข้อความปรากฏขึ้น
[ ได้รับ Exp ]
[ 1150/1600 Exp ]
หลังจากได้รับ Exp จากหนังสือเล่มแรก ควินน์ก็หยิบหนังสือเล่มต่อๆไปออกมา หลังจากแปรสภาพหนังสือไปหลายเล่มแล้ว ควินน์พบว่าตำราสกิลเลเวล 1 จะให้ Exp แก่เขา 5 แต้ม ในขณะที่ตำราแห่งทักษะเลเวล 1 จะให้ Exp กับเขา 10 แต้ม
หากเขาได้อ่านหนังสือที่เหมือนกันอีกครั้งระบบจะไม่แสดงข้อความใดๆขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่หนังสือส่วนใหญ่ในตู้คอนเทนเนอร์ เป็นตำราทักษะธาตุดินที่ทางกองทัพทหารมีอำนาจควบคุมมากที่สุด
ควินน์เข้าไปใกล้ด้านหลังของตู้คอนเทนเนอร์มากขึ้นและพบว่าเลเวลของหนังสือพวกนั้นก็สูงขึ้นเหมือนกัน ตำราแห่งทักษะเลเวล 2 จะให้เขาได้รับ Exp 100 แต้ม ขณะที่ตำราสกิลเลเวล 2 ให้ Exp แก่เขา 50 แต้ม ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆแม้ว่าเขาจะแปรสภาพตำราเลเวลหนึ่งเล่มอื่นไปแล้วก็ตาม
จนกระทั่งในที่สุด หลังจากเเปรสภาพหนังสือเป็น Exp ไปมากมาย ข้อความอื่นจากระบบก็ปรากฏขึ้น
[ 1650/1600 Exp ที่ได้รับ ]
[ ตอนนี้คุณเลื่อนขั้นเป็นเลเวล 6 แล้ว ]