ในขณะที่วอร์เด็นยังค้นหาประตูลับในสนามประลอง ควินน์ก็แกล้งมองหาด้วยเช่นกัน พร้อมกับเดินวนเวียนไปจนทั่ว เขาอยากจะตรวจสอบตำราแห่งทักษะที่เขาได้รับก่อนหน้านี้จากตู้คอนเทนเนอร์
ทันทีที่เขานึกถึงมัน หน้าจอ ‘ช่องเก็บของ’ ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา จากนั้นเพียงแค่คิดเกี่ยวกับ ‘รายการสิ่งของ’ ระบบก็เด้งข้อความขึ้นมา
[ คุณต้องการนำตำราแห่งเงา เลเวล 6 ออกมาหรือเปล่า? ]
คราวนี้ แทนที่จะเป็นเสียงหุ่นยนต์ เสียงดังเดิมที่เคยได้ยินเป็นประจำ มันกลับเป็นเสียงของชายหนุ่มผมบลอนด์ ซึ่งฟังดูน่าหงุดหงิด
[ ตรวจสอบ ]
[ ตำราแห่งเงา เลเวล 6 สามารถเรียนรู้ได้เฉพาะผู้มีพันธะทางสายเลือดเท่านั้นครับ ]
เมื่อควินน์ใช้สกิลตรวจสอบของเขา คำแปลกๆคำหนึ่งถูกเพิ่มเข้ามาในท้ายประโยค ผู้มีพันธะทางสายเลือด? อาจเป็นชื่อเรียกสำหรับแวมไพร์หรือเปล่า? เพราะในตอนที่เขาลองใช้ตำราแห่งทักษะเล่มอื่นๆ เขาไม่สามารถเรียนรู้ตำราเหล่านั้นได้เลยสักเล่ม
มันเริ่มทำให้ควินน์ตั้งคำถามเกี่ยวกับตำราแห่งทักษะเล่มนี้มากขึ้น ทำไมทางกองทัพถึงเก็บตำราระดับสูงเช่นนี้ไว้เป็นความลับ? เป็นเพราะทุกคนตายกันหมด หรือวางแผนที่จะขายทิ้งในอนาคตกันแน่? ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาไม่เคยได้ยินทักษะพิเศษเกี่ยวกับเงามาก่อน
ทันใดนั้น เสียงที่น่ารำคาญก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
[ ดูเหมือนว่า คุณอยากจะรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตำราเล่มนี้ใช่ไหม? ผมบอกคุณได้นะครับ คุณอยากจะรู้หรือเปล่า? ]
ระบบ AI นี้ ดูเหมือนจะน่ารำคาญพอๆกับตัวคนเอง
“ได้โปรด…” ควินน์เอ่ยขณะที่กัดฟัน
[ การคาดเดาของคุณถูกต้องแล้ว ผู้มีพันธะทางสายเลือด คือผู้ที่ได้รับพรหรือถูกสาบ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามจะต้องมีสายเลือดของแวมไพร์อยู่ ไม่สำคัญว่าจะเป็นผู้ที่มีเลือดผสม หรือเป็นลอร์ดแวมไพร์ หรือแม้แต่ผีดิบ ตราบใดที่พวกเขามีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ก็สามารถเรียนรู้ทักษะนี้ได้ครับ ]
“นายรู้ไหม ว่าทำไมตำราเล่มนี้ถึงอยู่ที่นี่”
[ ผมไม่มีเบาะแสหรอกครับ ]
ระบบ AI ให้รายละเอียดข้อมูลได้ดีและตอบโต้ได้น่าประหลาดใจมาก ซึ่งมันเป็นอย่างที่ชายผมบลอนด์พูดเอาไว้ ในขณะที่สกิลตรวจสอบสามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับไอเท็มได้เช่นกัน แต่ระบบ AI จะทำการชี้แจ้งสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับมันให้เขาทราบมากยิ่งขึ้น
ควินน์ยังไม่มั่นใจนักที่จะเรียนรู้ทักษะพิเศษนี้ เพราะเขายังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอีก ซึ่งดูเหมือนว่า AI จะเป็นระบบที่ดีที่สุดที่จะถาม
“นี่เป็นตำราแห่งทักษะเล่มเดียวที่แวมไพร์เรียนรู้ได้หรือไม่? และแวมไพร์สามารถเรียนรู้ทักษะได้มากกว่าหนึ่งทักษะหรือเปล่า?”
[ เหมือนกับมนุษย์เลยครับ แวมไพร์สามารถเรียนรู้ทักษะพิเศษได้เพียงทักษะเดียวเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีตำราแห่งทักษะต่างๆเช่นนี้อีก ไม่มีใครรู้ได้ครับ บางทีพวกเขาก็อาจจะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่า หรือพวกเขาอาจจะได้รับพลังที่อ่อนแอกว่าก็ได้ ]
ระบบ AI ก็เป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น แม้ว่าชายคนนี้จะฟังดูฉลาดๆด้วยน้ำเสียงงี่เง่า แต่ก็มีข้อจำกัดในสิ่งที่ตอบได้เช่นกัน
ปัญหาก็คือ ถ้านี่เป็นทักษะอื่นที่ควินน์ไม่สามารถใช้ในโลกภายนอกได้ เขาก็ไม่ต้องการมัน ถ้ามีทักษะที่โลกไม่เคยรู้จักมาก่อนเขาจะต้องตกเป็นเป้าหมายแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคำถามที่ค้างคาใจ ถึงแม้ว่าแวมไพร์จะมีทักษะแค่อย่างเดียวเหมือนกับมนุษย์ก็ตาม
ควินน์ถามคำถามเพิ่มเติมกับ AI โดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลอะไรเพิ่มขึ้นมา แต่เพราะไม่มีเบาะแส มันจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงค่อนข้างประชดประชัน
เมื่อเป็นอย่างที่กล่าวมา มีคนหนึ่งในห้องเรียนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ และเขาก็อาจจะรู้เกี่ยวกับทักษะพิเศษแห่งเงาก็ได้ นั่นคือวอร์เด็น แม้ว่าระบบจะระบุเอาไว้ว่าผู้มีพันธะทางสายเลือดเท่านั้นถึงจะสามารถเรียนรู้มันได้ แต่อาจจะมีแวมไพร์ตนอื่นๆที่เคยใช้ทักษะนี้มาก่อน
ขณะที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันและเดินหาจนทั่วสนามประลองมาสักพักแล้ว ควินน์ก็เริ่มถามคำถาม
“วอร์เด็น นายเคยได้ยินทักษะพิเศษเกี่ยวกับการใช้เงาไหม?”
“เงางั้นเหรอ? บอกตามตรง สัญชาตญานที่ผ่านมาของฉันบอกว่าไม่ หรืออย่างน้อยก็ไม่น่าจะมีอยู่บนโลกนี้อยู่แล้ว แต่ถ้านายซื่อสัตย์กับฉัน ดังนั้น ก็ถึงเวลาที่ฉันจะซื่อสัตย์กับนายเหมือนกัน”
พวกเขาทั้งสองคนจึงนั่งลงเก้าอี้กันคนละตัวที่มีในสนามประลอง ซึ่งเป็นที่นั่งที่ยังไม่กลายเป็นซากขยะจากการต่อสู้
“จำตอนที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ได้ไหมว่าฉันคอยจับตาดูนายอยู่ เพราะฉันไม่สามารถก๊อปปี้ทักษะของนายได้ แต่นายไม่ใช่คนแรกหรอกนะ หรือก็คือไม่ใช่คนแรกสำหรับตระกูลของฉัน” วอร์เด็นพูด “อย่างที่นายรู้ว่าฉันเป็นผู้มีทักษะโดยกำเนิด พลังของเราจึงถูกสืบทอดไปยังรุ่นสุดรุ่นมานานนับหลายร้อยปี ในบันทึกปู่ทวดของฉัน มีครั้งหนึ่งที่เขาบันทึกเอาไว้ ว่าเขาได้พบเจอกับผู้มีพลังพิเศษคนอื่น ซึ่งพอย้อนกลับไปในตอนนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะทั้งโลกยังไม่รู้เลยว่ามนุษย์มีพลังพิเศษ แต่ทุกครั้งที่เราเจอใครสักคน ตระกูลเราจะทำการบันทึกทักษะของพวกเขาเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราสามารถพึ่งพาคนๆนั้นได้อย่างเต็มที่”
“เป็นครั้งแรกเลย ที่เขาได้พบกับใครบางคนที่เขาไม่สามารถลอกเลียนแบบทักษะได้”
“นั่นคือเหตุผลที่นายสนใจในตัวฉันงั้นเหรอ?”
ใบหน้าของวอร์เด็นแดงขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่เขารู้สึกอายเมื่อได้ยินคำพูดของควินน์
“พอนายพูดแบบนั้นมันฟังดูแปลกๆนะ ฉันรับประกันได้เลยว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับนายแบบนั้นแน่ๆ” วอร์เด็นพูดเนิบๆ แต่แล้วใบหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมา “เอาล่ะ ฉันบอกนายเรื่องของฉันแล้ว นายบอกมาสิ ว่าอะไรที่คนทั่วไปไม่รู้เกี่ยวกับมัน แต่ว่านายรู้ใช่ไหม?”
จังหวะนั้นเอง ควินน์ได้นำตำราแห่งทักษะขึ้นมา โดยมีคำว่า ‘พื้นฐานแห่งเงา’ สลักตัวอักษรอยู่บนหน้าปก
ชั่ววินาที วอร์เด็นต้องขยี้ตาเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด เขาคิดว่าบางทีควินน์อาจจะเรียนรู้ทักษะสักอย่างไปแล้วเมื่อเขากลายเป็นแวมไพร์ แต่ในความเป็นจริง เขากลับถือตำราแห่งทักษะไว้ในมือ
“โว้ว นายเจอมันจริงๆด้วยแฮะ ฉันมั่นใจว่ามันต้องเป็นทักษะที่เก่าแก่มาก แต่ในเมื่อมีตำราแห่งทักษะแล้ว จะรออะไรอยู่ล่ะ? เรียนรู้ทักษะเสียเลยสิ! เรามีเวลาเหลือเฟือในโลกนี้ เพราะเราติดอยู่ที่นี่โดยที่ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
“ก็นะ ฉันก็อยากเรียนทักษะนี้อยู่หรอก แต่ปัญหาคือถ้าฉันทำมัน คนอื่นๆก็อาจจะตามล่าฉัน เหมือนกับที่พวกเขาทำกับทักษะพิเศษของแวมไพร์”
วอร์เด็นเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก หากมีอะไรที่เขาทำได้เพื่อช่วยควินน์ เขาก็อยากทำมัน แล้วแผนการบางอย่างก็แล่นเข้ามาในความคิดของวอร์เด็น
“ฉันคิดว่าเราใช้สถานการณ์แบบนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวนายได้นะ” วอร์เด็นพูด “ในตอนนี้ทางโรงเรียนต้องรู้แล้ว ว่าเราถูกส่งมายังดาวเคราะห์ดวงอื่น ซึ่งก็คือดาวเคราะห์ที่ผ่านเข้ามาทางประตูมิติสีแดง มีหลายอย่างที่ยังไม่ถูกพบเจอบนดาวเคราะห์ดวงนี้ นายกล้าพูดได้เลยว่านายไปเจอตำราแห่งทักษะเล่มนี้เข้า นายเลยเรียนรู้มันเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ เพราะพวกเขาทั้งหมดรู้ดีอยู่แล้วว่านายเป็นแค่ไอ้ขยะเลเวลหนึ่ง”
วอร์เด็นชะงักไปสักพัก หลังจากพูดประโยคเหล่านั้นออกมา
“ฉันหมายถึง พวกเขาทั้งหมดคิดว่านายเป็นแค่ผู้ใช้พลังเลเวลหนึ่งใช่ไหม? ฉันจะบอกว่าในขณะที่เราอยู่ในโลกนี้ ฉันจะปกป้องนายเอง และเพื่อเป็นการตอบแทนหลังจากเรียนรู้ทักษะนี้ไปแล้ว นายก็มอบตำราเล่มนั้นให้กับฉัน ด้วยวิธีนี้ คนอื่นๆก็จะไม่มายุ่งวุ่นวายกับนายอีก แต่จะเป็นตระกูลของฉันแทน”
วอร์เด็นยิ้มร่า ราวกับเพิ่งไขคดีที่ยากที่สุดในนวนิยายสอบสวนได้
“นายแน่ใจเหรอ ว่าตระกูลของนายจะโอเคกับเรื่องแบบนี้”
เสี้ยววิเท่านั้นที่ควินน์ได้เห็นใบหน้าของวอร์เด็นพลันซีดลง แต่เมื่อเขากระพริบตาอีกครั้ง มันก็ดูปกติเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แน่อยู่แล้ว พวกเขาจะต้องโอเคและก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เรามาเรียนตำราแห่งทักษะนั้นกันเถอะ ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นใบหน้าของทุกคนเมื่อเราออกไปจากที่นี่”
“ถ้าเราออกไปจากที่นี่ได้ล่ะนะ” ควินน์พูด
“นี่นายต้องมองโลกในแง่ลบขนาดนั้นเลยเรอะ”