หลังจากผ่านประตูหน้าที่ทําจากมากลาสเทียม ทั้งกลุ่มก็ช่วยกันยกประตส่วนบนที่ถูกฟันทิ้งขึ้นมา มันหนักมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือของเฮย์ลี่ย์ ทําให้ชิ้นส่วนประตูนั้นเบาหวิวพวกเขาจัดแจงให้มันกลับเข้าที่ราวกับเป็นจิ๊กซอว์
มันอาจจะป้องกันสัตว์อสูรได้ไม่อยู่หมัด แต่อย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งไม่ให้พวกมันเข้ามาได้โดยง่าย
เดลมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกอิจฉา และคิดว่าเฮย์ลี่ย์สวมอุปกรณ์ที่มีเลเวลสูงมากแค่ไหนกัน ถึงได้ยกประตูที่หนักขนาดนั้นได้ง่ายๆ
พวกเขายังคงเดินต่อไปในโถงทางเดินภายใต้ความมืดมิดรอบด้าน ถึงแม้ลีโอจะเป็นคนนําทางก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่
ทว่าในขณะที่กําลังเดินอยู่ เดลไม่สามารถสลัดความคิดหนึ่งภายในหัวออกไปได้ ว่าลีโอสามารถฟันประตูให้ขาดครึ่งแบบนั้นได้ยังไง เดลไม่ใช่นักเรียน เขาเองก็มีตําแหน่งเป็นอาจารย์คนสําคัญเช่นกัน ทั้งยังเคยเข้าร่วมสงครามมาแล้ว ซึ่งเขาก็ยังไม่เคยเห็นอะไรอย่างที่เคยเห็นในวันนี้มาก่อน
“หรือมันจะเป็นอาวุธขั้นปีศาจ?” เขาคิด
แต่แล้ว เขาก็รีบสรุปโดยทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้มีอาวุธระดับปีศาจอยู่เพียงแค่สองชิ้นเท่านั้นหนึ่งในนั้นเป็นของกองทัพ ส่วนอีกชิ้นเป็นของสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม “ผู้บริสุทธิ์
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เคลได้เห็นค่อนข้างชัดเจน ว่าอาวุธที่ลีโอใช้ อย่างน้อยจะต้องเป็นอาวุธสัตว์อสูรที่อยู่ระดับท็อปแน่ๆ
พวกเขาเดินเข้ามายังบริเวณแผนกต้อนรับ โดยมีทางเข้ามากมายนําไปสู่ส่วนต่างๆของศูนย์ฝึกซ้อมบริเวณด้านหน้ามีโต๊ะประชาสัมพันธ์และมีทางเดินแยกสองทางนําไปสู่สนามประลอง ถัด มาก็มีห้องรับแขกที่เชื่อมต่อไปยังศูนย์อาหารและห้องพักผ่อนชั่วคราว
“เดี่ยว หยุดก่อน” เฮย์ลี่ย์พูดกับเฟย์และลีโอที่เดินนําหน้า
เธอก้มลงเพื่อวิเคราะห์สิ่งที่อยู่บนพื้น
“คุณเห็นไหม ว่านี่มันคืออะไร? มันคือรอยเลือด ซึ่งมันนําไปทางนั้น”
“คุณรู้ได้ยังไง รอยมันมาทางสนามประลองด้วยนะ?” เดลถาม
“ดูดีๆสิ เส้นทางของเลือด คุณจะเห็นว่ามันมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ฉันบอก เพราะรอยเลือดเด่นชัดมากขึ้นราวกับมีคนถูกลากไปยังทิศทางนั้น”
“เร็วเข้า รีบไปกันเถอะค่ะ อาจจะเป็นนักเรียนสักคนก็ได้” เฟย์พูด
พวกเขาเดินกันอย่างรอบคอบและไม่รีบร้อนจนเกินไป ทั้งยังมุ่งหน้าตามรอยเลือดนั้น ไปเรื่อยๆหากมีสัตว์อสูรสักตัวอยู่ข้างใน พวกเขาต้องแน่ใจว่าจะไม่ทําให้มันรู้ตัว
ลีโอไม่ได้เดินนําทุกคนอีกแล้ว แต่เป็นเฟย์แทน ซึ่งปกติทักษะของลีโอจะทําให้เขาตรวจจับออร่าที่อยู่ภายใต้รัศมีการมองเห็นและพลังงานบางอย่างผ่านกําแพงได้ แต่ไม่สามารถตรวจจับออร่าผ่านวัตถุกลาสเทียมได้ เนื่องจากอาคารทั้งหมดสร้างขึ้นมาจากวัตถุดังกล่าว
แม้ว่าลีโอจะควบคุมสติได้ดี แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามีอันตรายอยู่ข้างหน้าหรือเปล่าจนกว่าจะได้เห็นเข้าจริงๆ
ทั้งหมดเดินไปตามทาง จนในที่สุดรอยเลือดก็พาพวกเขาออกมายังโถงทางเดิน ในบริเวณของ ห้องพักชั่วคราว ซึ่งมีประตูที่พึ่งอยู่ด้านนอกและเก้าอี้เหล็กที่ถูกแยกออกเป็นสองส่วน
เฟย์แอบมองเข้าในห้องที่ประตูฟังไม่เป็นท่า ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว
“คุณเฮย์ลี่ย์ ฉันว่าคุณมาดูสิ่งนี้ด้วยตัวเองจะดีกว่าค่ะ” เฟย์พูดพลางเลี่ยงที่จะมองอีกครั้ง
เฮย์ลี่ย์เดินไปหาและก้าวเข้าไปในห้อง ขณะที่เดลได้เห็น เขาก็เบือนหน้าหนีเช่นเดียวกัน
“คุณเห็นศพนั่นหรือเปล่า?” เดลพูด “ร่างของเขาขาดครึ่งและเครื่องในก็ทะลักออกมา จนหมดเลย”
ลีโอ ที่กําลังยืนอยู่ข้างๆเดล หันหน้ามาสบตากับเขา “ไม่ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ฉันไม่เห็นมันมานานแล้วด้วย”
เฮย์ลี่ย์ยังคงทําการตรวจสอบศพ เธอมองไปรอบๆคอของชายคนนั้น ก่อนจะดึงสร้อยประจําตัวที่อยู่ภายใต้ชุดเกราะสัตว์อสูรที่เขาสวมใส่อยู่ออกมา ในขณะที่หญิงสาวถือสร้อยเอาไว้ในมือเธอก็ทําการตรวจสอบร่างกายของเขาต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งในตอนนั้นเองเธอก็เจอเข้ากับอะไรบางอย่า
“อีกแล้วเหรอ? มีรอยกัดสองจุดที่คอเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ” เฮย์ลี่ย์คิด “มีสัตว์อสูรแฝงตัวอยในโรงเรียนเตรียมทหารที่ไหนสักแห่งจริงๆใช่ไหม มันเป็นตัวเดียวกันกับที่ฆ่าชายคนนี้ ด้วยหรือเปล่า?
เฮย์ลี่ย์ลุกขึ้นจากศพที่เพิ่งตรวจสอบ ก่อนเดินออกมา
“คุณอยากได้ข่าวดีหรือข่าวร้าย?” เธอเอ่ย
“ช่วยแจ้งให้เราทราบทั้งหมดค่ะ” เฟย์ตอบ
“โอเค ข่าวดี ไม่ใช่นักเรียนสักคนของเรา” จากนั้น เฮย์ลี่ย์ดึงแท็กที่พ่วงอยู่กับสร้อยของเขาออกมาและโชว์หราต่อหน้าทุกคน “ข่าวร้าย คือเขามาจากสีตระกูลใหญ่”
หน้าของแต่ละคนซีดเผือดทันทีหลังจากที่ได้ทราบ
“ตระกูลอะไรคะ?” เฟย์ถาม
“ป้ายชื่อสลักคําว่า ทรูดรีม”
เฟย์ต่อยไปที่กําแพงทันทีหลังจากที่ได้ยินในสิ่งที่เฮย์ลี่ย์พูด “ทําไมพวกเขาทั้งหมดถึงถูกส่งมาจากตระกูลนั้นกัน!”
ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูล คือเหล่าตระกูลผู้มีอํานาจมากพอจะต่อกรกับกองทัพทหาร พวกเขาคือผู้มีทักษะโดยกําเนิดที่มีพลังอันมหาศาลและเลือกที่จะไม่แบ่งปันทักษะพิเศษที่พวกเขามีอยู่ให้โลกได้รับรู้ อย่างไรก็ตาม ตระกูลทรูดรีม คือตระกูลที่ไม่เหมือนใครที่สุดในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ทั้งหมด
พวกเขามีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพทหารมากที่สุด มากพอที่จะมีที่นั่งในที่ประ ชุมร่วมกันด้วยซ้ําทั้งหมดนั้นเป็นเพราะผู้นําตระกูลทรูดรีม มีทักษะพิเศษในการขโมยทักษะของคนอื่นได้
หากใครก็ตาม ที่คิดจะต่อต้านกองทัพของเขา คนเหล่านั้นจะได้รับการมาเยือนของผู้นําตระกูลทรูดรีม และเหล่าคนที่น่าสงสารก็จะไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้อีกต่อไป
ปัญหาเดียวของผู้นําตระกูลทรูดรีม คือเขาสามารถช่วงชิงทักษะของคนอื่นมาได้ แต่ไม่สามารถนํามาใช้เป็นของตัวเองได้ ดังนั้น ตัวเขาจึงต้องการพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และนั่นคือเหตุผลที่เขาเข้ามาสนิทชิดเชื้อกับกองทัพทหาร
แล้วเมื่อเขารู้สึกปลอดภัย อีกทั้งได้รับการคุ้มกัน เขาก็เริ่มรวบรวมคนของตัวเอง ซึ่งทักษะพิเศษของเขาเขาจะมอบให้เป็นของขวัญสําหรับคนที่เขาไว้ใจและสํานึกบุญคุณอย่างแท้ จริงเท่านั้นทว่าความกลัวก็มักจะฝังอยู่ในจิตใจของเขาเสมอ เขาอาจจะถูกทรยศด้วยคนของเขาเองก็ได้
เขาเลือกที่จะอยู่ข้างกองทัพ แม้จะไม่มีพลังอะไรก็ตาม
ความเกรงกลัวนี้ทําให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นระเบียบมากขึ้น มันทําให้ผู้คนพึงพอใจกับระบอบของทหารในยุคนี้ ถึงแม้ว่าจะมีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการอันป่าเถื่อน รวมไปถึงนโยบายการข่มขู่และปลอบขวัญ แต่ด้วยเหล่ากองทัพในปัจจุบัน คนพวกนั้นไม่มีทางเลือกอื่นใด
“เราคงต้องทิ้งเขาไว้ที่นี่สักพักค่ะ ซึ่งก่อนที่เราจะกลับ เราต้องนําร่างของเขาส่งมอบให้กับตระกูลทรูดรีม”
“มันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่พวกเขาจะต้องขอบคุณเราที่พาร่างของชายคนนี้กลับไป” เฟย์กล่าว
หลังจากที่ปล่อยร่างของชายดังกล่าวเอาไว้ก่อน พวกเขาก็ตัดสินใจ เดินตามรอยเลือดกลับออกไปข้างนอกและเดินเข้าไปในเขตสนามประลอง ตอนนั้นเอง ที่พวกเขาเห็นเด็กทั้งสองคนนอนอยู่บนลานกว้าง
“พวกเขาอยู่ที่นี่ โชคดีอะไรแบบนี้!” เดลร้องด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งเข้าไปหา
เฮย์ลี่ย์ เฟย์และเดล รีบตรงดิ่งเข้าไปหาพวกเขาทันที ในขณะที่ลีโอเป็นคนเดียวที่เดินรั้งท้าย ณ ใจกลางของลานสนามประลอง เขากําลังมองเห็นออร่าในสีที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนั่นก็ คือ สีม่วง