“ท่านมหาเซียน เป็นอะไรมากหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อไป๋หลินเดินเข้ามาจากด้านนอกก็เห็นสีหน้าของมหาเซียนซีดขาวนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ทำเอานางตกใจจนทำถ้วยน้ำชาในมือตกลงบนพื้น จากนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปพยุงเขาขึ้นมาจากพื้น
“ไป๋หลิน? อึ้ก……” มหาเซียนพิงอยู่ที่ไหล่ของไป๋หลิน พลางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เพียงเขาเอ่ยปากออกมาสองคำ เลือดสดสีแดงก็ไหลทะลักออกมาจากปาก
แม้ว่ามหาเซียนจะมีอายุมากแล้ว แต่ที่ผ่านมาร่างกายแข็งแรง จึงไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ไป๋หลินจึงเริ่มร้อนใจ จากนั้นจึงวางมหาเซียนให้กลับไปนอนบนพื้นก่อนจะวิ่งออกไปตามคนมาช่วย
“ไป๋เห้อ! ไป๋เห้อ! พี่รีบมาที่นี่เร็วเข้า ท่านมหาเซียนแย่แล้ว!”
ตอนนี้ไป๋เห้อกำลังหันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสำนึกผิดอยู่ เมื่อได้ยินเสียงของไป๋หลินดังแว่วมาจึงหลับตาเพียงครู่เดียว เมื่อลืมตาขึ้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋หลินแล้ว
เขารีบผลักไป๋หลินออกไป แล้ววิ่งโซซัดโซเซเข้าไปในห้องของมหาเซียน
“ท่านมหาเซียน! ท่านมหาเซียน! ท่านเป็นอะไรไป”
เมื่อเห็นสภาพของมหาเซียนเป็นเช่นนั้น ไป๋เห้อ เองก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เช็ดเลือดที่ปากจนสะอาด จากนั้นประคองร่างของเขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิเอาไว้
จากนั้นจึงยกฝ่ามือขึ้นมาทำท่ารวมปราณ แล้วเอาฝ่ามือของตนทาบไว้บริเวณกลางหน้าอกของมหาเซียน ถ่ายพลังไปยังร่างของมหาเซียน
“ไป๋เห้อ เราไม่เป็นไร เรารู้จักร่างกายของตัวเองดี เจ้า แค่กๆ …… เจ้าไปเรียกคนพวกนั้นเข้ามา เรามีเรื่องอยากคุยกับพวกเขา”
หลังจากได้ซึมซับพลังจากไป๋เห้อ สติสัมปชัญญะของมหาเซียนก็ค่อยๆ กลับมา จึงหายใจหอบพลางกล่าวกำชับ
“ท่านมหาเซียน ตอนนี้ท่านเป็นอย่างนี้ไปแล้ว อย่าไปสนใจพวกคนนอกนั่นเลย” ไป๋เห้อ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ของท่านมหาเซียนอย่างมาก
เขากับไป๋หลินสองคนติดตามมหาเซียนอยู่บนเขาภูเขาหลินแห่งนี้มาตั้งแต่จำความได้ สำหรับพวกเขาแล้วมหาเซียนไม่ได้เป็นเพียงผู้อาวุโสที่น่าเคารพมากที่สุดในเผ่ากู่เท่านั้น แต่เป็นเสมือนครอบครัวของพวกเขา
ในสายตาของพวกเขา มหาเซียนสำคัญกว่าทุกคน เวลานี้เมื่อเขาบาดเจ็บ ไป๋เห้อก็ได้แต่หวังว่ามหาเซียนจะหายป่วยกลับมาโดยเร็วที่สุด และไม่อยากให้เรื่องภายนอกใดๆ ก็ตามเข้ามารบกวน
“เด็กดี ข้าไม่เป็นไร ไปเถิด” มหาเซียนรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของไป๋เห้อเป็นอย่างดี จึงยื่นมือลูบศีรษะของไป๋เห้อแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเมตตา
“ไป๋หลิน น้องไปตามพวกเขาเข้ามา” เมื่อเห็นมหาเซียนยืนยันที่จะพบคนพวกนั้น ไป๋เห้อจำต้องรับปากแล้วหันไปสั่งไป๋หลิน จากนั้นจึงพยุงมหาเซียนไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือด้านข้าง
“แม่นางไป๋หลิน เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ท่านมหาเซียนเป็นอะไรไป”
เมื่อครู่นี้ไป๋หลินตะโกนเสียงดัง จึงทำให้พวกส้าวส้วยกับกู่ยี่เทียนได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาจึงปรึกษากันและตั้งท่าจะไปสอบถามสถานการณ์ เพราะเทพอ้านและพลังกลืนในตัวของหลี่ฝางยังต้องการให้มหาเซียนช่วยกำจัดออกไป
หลังจากหลี่ฝางพักผ่อนไปเมื่อครู่บ้างแล้ว เรี่ยวแรงของเขาก็ฟื้นฟูกลับมา แม้ว่ากู่ยี่เทียนจะบอกให้เขารออยู่ด้านในห้อง ทว่าตัวเขากลับนั่งไม่ติดจึงขอติดตามมาด้วย
ไป๋หลินแอบเหลือบมองส้าวส้วยด้วยแววตาอ่อนโยน แต่นางก็รีบซ่อนแววตาของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วหันไปกล่าวกับหลี่ฝาง
“พวกคุณมาพอดีเลย ท่านมหาเซียนกำลังตามตัวคุณอยู่ ตามฉันมาทางนี้”
เมื่อเอ่ยจบ ไป๋หลินก็หันตัวไปอีกด้านเพื่อนำไปยังทิศทางของห้องมหาเซียน ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยปรายตามองกู่ยี่เทียนเลยสักครั้ง นี่เองทำให้กู่ยี่เทียนรู้สึกอัดอั้น แล้วแอบคิดในใจว่า ตัวเขาทำอะไรผิดต่อแม่นางไป๋หลินคนนี้กันแน่
เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว พวกเขาก็มาถึงห้องของมหาเซียน ตอนนี้มหาเซียนได้กินยาตานที่ตนเป็นคนกลั่นออกมา สีหน้าจึงดีขึ้นมาก เมื่อเห็นหลี่ฝางเดินเข้ามาด้านในจึงโบกมือเรียกเขา
“หลี่ฝาง เจ้ามานี่”
แต่เป็นเพราะบทเรียนจากฝ่ามือเมื่อครู่นี้ ทำให้หลี่ฝางยังคงมีท่าทีระแวดระวังต่อมหาเซียนอยู่ จึงเอ่ยตอบมหาเซียนไปโดยยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ท่านมหาเซียนมีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถิด ผมอยู่ตรงนี้แหละ”
เมื่อเห็นหลี่ฝางมีท่าทีไม่เชื่อใจตัวเอง มหาเซียนจึงหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปาก แล้ววางถ้วยยาในมือลง
“เจ้าคงสงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมเมื่อครู่นี้เราถึงปล่อยเทพอ้านออกมา และคงอยากรู้ว่าเราเอาอะไรเข้าไปในอกของเจ้าเมื่อครู่นี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ฝางจึงเลิกคิ้วแล้วแอบคิดในใจ
นี่นับว่าเป็นคำพูดไร้สาระหรือไม่ จู่ๆ ก็ใช้ฝ่ามือกระแทกเข้าที่อกของเขา แถมยังเอาดวงจิตของเขาขังไว้ในที่ว่างเปล่าไร้รูปร่าง สุดท้ายยังเอาอะไรไม่รู้ใส่ไว้ในอกของเขาอีก ความเจ็บปวดราวกับวิญญาณจะแตกสลายเมื่อครู่นี้ทำให้เขาคิดอยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่อเห็นหลี่ฝางไม่ยอมเดินเข้ามาใกล้ มหาเซียนก็ไม่ได้บีบบังคับ เมื่อยาออกฤทธิ์แล้วจึงจะเอ่ยปากต่อไปว่า
“เรื่องเกี่ยวกับเทพหมิงและเทพอ้าน เราคิดว่าพวกเจ้าคงพอรู้มาบ้างแล้วจากซากปรักหักพังลึกลับ ก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึงเผ่ากู่ พวกเจ้าก็คงได้ข้อมูลเรื่องของเทพไท่จี๋มาจากผู้อาวุโสบ้างแล้ว ดังนั้นเรื่องราวและฐานะของพวกเขา เราคิดว่าเราคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากแล้วกระมัง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ในใจของพวกหลี่ฝางก็รู้สึกตื่นตะลึง ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว คนในเผ่ากู่ตัดขาดจากโลกภายนอกมานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาน่าจะไม่รู้เรื่องราวจากโลกภายนอกจึงจะถูก
แต่มหาเซียนผู้นี้ ไม่เพียงรู้ว่าพวกเขาไปที่ซากปรักหักพังลึกลับมาเท่านั้น แต่ยังรู้อีกว่าผู้อาวุโสให้ข้อมูลกับพวกเขามาด้วย
เรื่องนี้มันพิลึกเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ออกมาเลย
“พวกเจ้าอยากเลื่อนขั้นเป็นเทพใช่หรือไม่” เมื่อกล่าวจบในตอนแรก มหาเซียนก็โพล่งถามคำถามนี้ออกมาอีก นี่ยิ่งทำให้พวกหลี่ฝางสงสัยกันมากขึ้นไปอีก
ความหมายของเขาคืออะไร
“นักรบคนใดก็ตามต่างอยากเป็นเทพทั้งนั้น” หลี่ฝางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตอบออกมา
มหาเซียนไม่ได้แสดงความเห็นอะไรกับคำตอบนี้ เพียงยิ้มแล้วกล่าวต่อไปว่า
“ใช่แล้ว การได้เลื่อนขั้นเป็นเทพถือเป็นความฝันขั้นสูงสุดของผู้เป็นนักรบ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันผู้ฝึกปฏิบัติมีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าผู้ได้เลื่อนเป็นเทพนั้นมีน้อยจนนับตัวได้ โดยเฉพาะในหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ พรสวรรค์ของพวกเจ้าทั้งสามคนสูงมาก การจะเลื่อนเป็นเทพได้เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น”