“เมื่อก่อนเราก็เคยผ่านด่านเคราะห์สวรรค์มาก่อน เมื่อได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ก็คิดว่าเมื่อได้เป็นเทพแล้ว ตัวเองจะทำเรื่องอะไรก็ได้ตามใจ แต่เมื่อเราประสบความสำเร็จ เรากลับพบว่าการเป็นเทพไม่สู้การเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
“ในยุคของเรา เทพไท่จี๋มีเทพใต้บัญชาสามคน คือ เทพหมิง เทพอ้านและเรา เมื่อนึกถึงตอนนั้นที่เทพไท่จี๋ยังอยู่ พวกเราทั้งสามคนพี่น้องต่างรักใคร่กลมเกลียว ไม่ว่าจะตอนกินหรือตอนนอนก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่หลังจากนั้นเมื่อเทพไท่จี๋ใกล้ถึงอายุขัย เทพหมิงและเทพอ้านก็ค่อยๆ ปรากฏความขัดแย้งกัน”
“แน่นอนว่าคนกลางอย่างเราย่อมไม่อยากเห็นพวกเขาทะเลาะกันเอง แต่ไม่ว่าจะกล่าวเตือนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ต่อมาเทพไท่จี๋จึงจับตัวเทพหมิงและเทพอ้านไปยังซากปรักหักพังลึกลับ และสั่งให้พวกเขาอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต ห้ามหวนกลับมา”
“ส่วนเราเองก็พาลูกศิษย์ที่เหลือมาเก็บตัวอยู่ที่ป่าลึกและไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวใดๆ ทางโลกทั้งสิ้น คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาจะผ่านมาหลายพันปีแล้ว”
ฟังเรื่องเล่าของมหาเซียนไปเงียบๆ หลี่ฝางก็ตกใจจนพูดไม่ออก เขานึกไม่ถึงว่ามหาเซียนผู้นี้จะเป็นเทพ แถมยังมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ในตอนนี้มหาเซียนกำลังหลุดเข้าไปยังโลกของตัวเอง เขาไม่ได้สนใจว่าหลี่ฝางกำลังฟังตนพูดอยู่หรือไม่ จึงเอาแต่พูดต่อไปคนเดียวไม่หยุด
“เวลาหลายพันปีที่ผ่านมานี้ เราไม่ได้ใช้เวลาไปเปล่าๆ เรารู้ว่าเทพอ้านได้ฝึกฝนพลังกลืน จึงครุ่นคิดหาวิธีอย่างหนักเพื่อจะปราบเขาลงให้ได้ แต่เมื่อเราหาวิธีได้แล้วกลับสายเกินไป”
“เดิมทีคิดว่าหลังจากศึกระหว่างเทพหมิงกับเทพอ้านจบลง เรื่องราวจะยุติ แต่นึกไม่ถึงอีกว่าเวลาผ่านไปหลายพันปี ผู้สืบทอดของพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น และไม่เคยคิดว่าสุดท้ายเราจะเป็นผู้ที่ฆ่าเทพอ้านลงกับมือของตัวเอง”
ประโยคนี้หากไม่ตั้งใจฟังดีๆ จะไม่รู้สึกว่ามีความผิดปกติอะไร แต่คนที่ละเอียดลอออย่างส้าวส้วยกลับจับความผิดปกติในคำพูดของมหาเซียนได้อย่างรวดเร็ว
มหาเซียนเอ่ยว่าผู้สืบทอดของพวกเขา ไม่ใช่ผู้สืบทอดของเทพอ้าน
นี่หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า เทพหมิงเองก็มีทายาทเช่นกัน
“ผู้สืบทอดของเทพหมิงคือใครหรือ” ส้าวส้วยมองหน้ามหาเซียนแล้วถามออกไปด้วยความประหลาดใจ
มหาเซียนเงยหน้าขึ้นมองส้าวส้วย แววตาปรากฏแสงวับไหว จากนั้นจึงเอ่ยคำพูดที่ทำให้พวกหลี่ฝางได้ยินแล้วต้องอ้าปากค้าง
มหาเซียนค่อยๆ ชี้นิ้วมาที่ส้าวส้วยแล้วเอ่ยว่า “คือเจ้า”
สายตาของหลี่ฝางและส้าวส้วยเปลี่ยนเป็นหรี่เล็กลงอย่างกะทันหัน
“ท่านอย่าพูดล้อเล่นเลย จะเป็นส้าวส้วยไปได้อย่างไร” หลี่ฝางเอ่ยปฏิเสธก่อนในตอนแรก เพราะในความทรงจำของเขา ไม่มีเหตุการณ์ใดที่ส้าวส้วยมีความข้องเกี่ยวกับเทพหมิงเลย
“ท่านมหาเซียน เรื่องนี้จะกล่าวลอยๆ ไม่ได้” แน่นอนว่าส้าวส้วยไม่เชื่อ เพราะรู้ว่าตอนจบของเทพหมิงกับกับเทพอ้านไม่ดีนัก คนหนึ่งถูกผนึกอีกคนหนึ่งดับสลาย แถมคนทั้งสองยังมีปากเสียงกัน เขาไม่อยากมีจุดจบแบบนั้นกับหลี่ฝาง
“ท่านมหาเซียนไม่เคยพูดผิด แกเป็นผู้สืบทอดของเทพหมิงอย่างแน่นอน” เมื่อไป๋เห้อเห็นพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของมหาเซียนก็ไม่พอใจขึ้นมาอีก
เขาติดตามอยู่ข้างกายมหาเซียนมากว่ายี่สิบปี ไม่มีครั้งใดเลยที่ท่านมหาเซียนทำนายผิดพลาด
“ในเมื่อแกบอกว่าส้าวส้วยเป็นผู้สืบทอดของเทพหมิง ก็เอาหลักฐานออกมาดูสิ พูดโดยไร้หลักฐาน พวกเราไม่เชื่อหรอก”
กู่ยี่เทียนไม่ชอบหน้าไป๋เห้ออยู่แล้ว เมื่อเห็นเขาทำท่าเคารพนอบน้อมมหาเซียนเช่นนี้ จึงตั้งใจพูดหาเรื่องขึ้นมา
“แกพูดอะไรของแก!” ไป๋เห้อปฏิบัติต่อมหาเซียนอย่างเคารพนบนอบมาโดยตลอด เวลาสนทนาด้วยก็ต้องพูดอย่างให้เกียรติ หรือไม่ว่าจะทำอะไรล้วนต้องใส่ใจระมัดระวัง
แต่กู่ยี่เทียนตั้งแต่ขึ้นมาบนเขาภูเขาหลิน ก็มีท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน เวลาสนทนากับมหาเซียนก็ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ นี่เองที่ทำให้ไป๋เห้อหัวเสีย
“ฉันจะพูดอย่างไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ” กู่ยี่เทียนกลอกตาใส่ไป๋เห้อ แล้วใช้สายตาอย่างสุดจะทน
“รนหาที่ตาย!” ไป๋เห้อได้ยินคำพูดเช่นนี้สีหน้าก็หมองคล้ำ หลังจากกัดฟันพูดออกไปแล้วก็ตั้งท่าจะลงมือ
มหาเซียนกับหลี่ฝางเห็นดังนั้นก็รีบห้ามปรามพวกเขาทั้งสอง
“ไป๋เห้อ”
“เหล่ากู่”
เมื่อได้ยินของทั้งสองคน ไป๋เห้อกับกู่ยี่เทียนจึงสบตากันอย่างมาดร้าย สุดท้ายจึงได้แต่ถอนใจดังๆ แล้วหันหน้าหนีไม่สนใจอีกฝ่าย
“ท่านมหาเซียน เมื่อครู่นี้เหล่ากู่เสียมารยาทไป ท่านได้โปรดอย่าถือสา แต่ผมคิดว่าคำพูดของเหล่ากู่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ท่านบอกว่าส้าวส้วยเป็นผู้สืบทอดของเทพหมิง ท่านมีหลักฐานหรือไม่”
หลี่ฝางขอโทษแทนกู่ยี่เทียนในตอนแรก จากนั้นถึงจะถามหาหลักฐานจากมหาเซียน
มหาเซียนเองก็ไม่ได้เก็บเอาท่าทีเสียมารยาทของกู่ยี่เทียนมาใส่ใจ ในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกว่านิสัยของกู่ยี่เทียนคล้ายตนตอนวัยรุ่น ทั้งยังแอบรู้สึกพอใจในตัวเขาด้วยซ้ำ
เขาโบกมือใส่หลี่ฝางแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เรารู้ว่าลำพังเพียงคำพูดของเรา พวกเจ้าย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว หากพวกเจ้าต้องการหลักฐาน เราสามารถให้พวกเจ้าได้ พวกเจ้าตามเรามา”
เมื่อเอ่ยจบ มหาเซียนก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินนำพวกหลี่ฝางตรงไปยังทิศทางด้านหลังวัด
เส้นทางเดินเข้าไปในวัดเคี้ยวคดลดเลี้ยว พวกหลี่ฝางเดินตามมหาเซียนเข้าไปประมาณสิบกว่านาทีก่อนจะไปถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง มหาเซียนจึงหยุดฝีเท้าลง
“ที่นี่ก็เป็นแค่หน้าผา ไม่เห็นมีอะไรเลย มหาเซียนพาพวกเรามาทำอะไรที่นี่ คงไม่ได้จะให้พวกเจ้ากระโดดลงไปหรอกนะ”
กู่ยี่เทียนมองหน้าผาลึกไม่เห็นก้นเหว จากนั้นจึงเข้าไปกระซิบกับหลี่ฝาง
“ชู่ว หยุดพูด” หลี่ฝางจ้องกู่ยี่เทียนอย่างอับจนคำพูด เพื่อส่งสัญญาณให้เขาหยุดพูดเหลวไหล
แม้ว่าตอนนี้มหาเซียนจะปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไม่เลวนัก แต่ใครจะรู้ว่าวินาทีถัดไปเขาจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือหรือไม่